ต่อจากนั้นเผยเฉียนก็เริ่มเส้นทางการท่องเที่ยวที่แตกต่างไปจากของอาจารย์พ่อ
ไม่ได้ไปเยือนแคว้นลวี่อิงอันเป็นจุดที่ลำน้ำไหลลงสู่มหาสมุทร
แต่คนทั้งกลุ่มเปลี่ยนไปเยือนเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าจ้วน เผยเฉียนต้องการไปดูจุดที่สองผู้อาวุโสอย่างผู้ฝึกยุทธกู้โย่วและเซียนกระบี่จีเยว่ถามหมัดถามกระบี่กัน
ที่นั่นเผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าแหงนหน้ามองฟ้าอยู่เพียงลำพัง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลี่ไหวกับเหวยไท่เจินยืนอยู่ห่างมาไกล
หลี่ไหวพลันรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะเติบโตแล้วจริงๆ ทำให้เขาที่รู้สึกตัวช้ารู้สึกเหมือนนางเป็นคนแปลกหน้า ในที่สุดนางก็ไม่ใช่แม่หนูน้อยตัวเตี้ยเหมือนฟักแคระผิวดำปี๋เหมือนถ่านอีกต่อไป จำได้ว่าช่วงแรกสุดที่ทั้งสองฝ่ายประลองบุ๋นกัน เพื่อแสดงว่าตัวเองตัวสูง พลังอำนาจข่มทับคู่ต่อสู้ได้ นางจะต้องไปยืนอยู่บนม้านั่ง อีกทั้งยังห้ามไม่ให้หลี่ไหวทำตามด้วย ทุกวันนี้คงไม่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ เผยเฉียนก็เติบโต ส่วนเขาหลี่ไหวก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้กะทันหัน
รอบด้านไร้ผู้คน
เผยเฉียนปลดหีบหนังสือลง วางไม้เท้าเดินป่าลงบนหีบหนังสือ
ใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวแสดงกระบวนท่าหมัดมากมายของวิชาหมัดเขย่าขุนเขา สุดท้ายปิดด้วยกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ เผยเฉียนล้วนกดปณิธานหมัดเอาไว้ตอลดเวลา
ดังนั้นจึงเหมือนว่านางแค่มาเคาะประตูเบาๆ ในเมื่อในบ้านไม่มีคนอยู่ นางแค่ทักทายก็เดินจากมาแล้ว
นับตั้งแต่เดินทางท่องเที่ยวมาด้วยกัน เผยเฉียนบอกว่าทุกก้าวเดินของตัวเองล้วนกำลังใช้ท่าเดินนิ่ง
หลี่ไหวเชื่อเรื่องนี้
จากนั้นเผยเฉียนก็ไปยังภูเขาวานรคำรามที่ถูกปิดภูเขาไปแล้ว ในริมขอบของอาณาเขตภูเขา เผยเฉียนกำไม้เท้าเดินป่าแน่นแล้วชูขึ้นสูง ยกหมัดขึ้นคารวะ บอกลาแต่เพียงเท่านี้
เส้นทางขุนเขาสายน้ำระหว่างเมืองหลวงต้าจ้วนกับภูเขาวานรคำรามนี้ เผยเฉียนพูดคุยน้อยมาก ดังนั้นหลี่ไหวจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย
วันนี้มีหิมะตกหนัก หลี่ไหวถึงตระหนักได้ว่าพวกเขาจากบ้านเกิดกันมานานสามปีแล้ว
และพวกเขาก็ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าถนนต้งเซียนในนครแห่งหนึ่งของแคว้นชิงเฮา
ได้เจอกับหลี่ซีเซิ่งพี่ชายใหญ่ของหลี่เป่าผิง และยังมีเด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้ของเขานามชุยซื่อ
หลี่ซีเซิ่งมอบตำราอริยะปราชญ์เล่มไม่หนาเล่มหนึ่งให้กับหลี่ไหว
แล้วก็มอบยันต์ลายเมฆแผ่นหนึ่งให้เหวยไท่เจิน บนแผ่นยันต์มีตัวอักษรสี่ตัว แต่ไม่ใช่อักขระที่ใช้กันแพร่หลาย กลับเหมือนตัวอักษรที่บัณฑิตสร้างขึ้นมาเองมากกว่า ดังนั้นเหวยไท่เจินจึงไม่รู้จักยันต์แผ่นนี้
บัณฑิตท่าทางสง่างามอ่อนโยนผู้นั้นยิ้มเอ่ยกับเหวยไท่เจินว่า วันหน้าหากฝ่าทะลุขอบเขตจงเรียกยันต์แผ่นนี้ออกมา บางทีอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
เพราะสี่อักษรของยันต์ แท้จริงแล้วคือคำว่า ‘ห้าอสนีถอยให้’
สายลัทธิเต๋าสายแรกของป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว ศิษย์พี่ใหญ่ของเต๋าเหล่าเอ้อร์และลู่เฉินเขียนด้วยลายมือตัวเอง ต่อให้มีใต้หล้าแห่งหนึ่งกางกั้นแล้วจะอย่างไร?
โองการก็คือโองการ
ฝ่าทะลุขอบเขตทำได้ตามสบาย
แต่หลี่ซีเซิ่งกลับไม่ได้มอบของสิ่งใดให้กับเผยเฉียน
เผยเฉียนยังคงอารมณ์ดี เล่าเรื่องน่าสนใจต่างๆ มากมายตอนที่ได้กลับมาพบเจอกับพี่หญิงเป่าผิงอีกครั้งให้หลี่ซีเซิ่งฟัง
หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้มอบอุ่นรับฟังคำบอกเล่าของเด็กสาวอย่างใจเย็นตลอดเวลา
เพียงแค่นัดหมายกับเผยเฉียนว่าเช้าตรู่ของวันหนึ่งและราตรีของคืนหนึ่งจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับแสงจันทร์ลอยกลางฟ้าด้วยกัน
คนทั้งกลุ่มออกมาจากแคว้นชิงเฮา มุ่งหน้าไปยังยอดเขาสิงโต ในสมุดเล็กๆ เล่มนั้นของเผยเฉียนไม่มีสถานที่ที่จำเป็นต้องไปเยือนอีกแล้ว
ส่วนหลี่ซีเซิ่งนั้นไปเจอกับจินเฟิง อวี้ลู่ในนคร แล้วรั้งพวกเขาไว้ข้างกายตัวเอง
อันที่จริงเผยเฉียนสัมผัสได้มานานแล้ว เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้เท่านั้น
ยอดเขาพาตี้อยู่ห่างจากยอดเขาสิงโตมากเกินไป เผยเฉียนไม่อยากเดินทางอ้อมไปไกล หลี่ไหวไม่เร่งรัดก็ไม่ใช่เหตุผลที่เผยเฉียนจะเดินทางอ้อม
อยู่ด้วยกันมาหลายปี เหวยไท่เจินสนิทกับเผยเฉียนมากแล้ว ดังนั้นคำถามบางอย่างจึงสามารถถามต่อหน้าเด็กสาวได้แล้ว
ยกตัวอย่างเช่นเหตุใดเผยเฉียนถึงได้จงใจอ้อมผ่านภูเขาตระกูลเซียนนอกเหนือจากที่มีเขียนไว้ในสมุด ถึงขั้นที่ว่าขอแค่อยู่ในป่ารกร้างห่างไกลแล้วเจอผู้คน ก็จะต้องเดินอ้อมผ่านไปให้ไกล เรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย หรือกระทั่งภูตผีทั้งหลาย เผยเฉียนก็เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง แค่ต่างคนต่างเดินกันไปคนละทางเท่านั้น
เผยเฉียนบอกตามตรงว่าตัวเองไม่กล้า ด้วยกลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัว เพราะนางรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรไม่รู้หนักเบา อยู่ห่างชั้นจากอาจารย์พ่อและศิษย์พี่เล็กอีกไกลนัก ดังนั้นจึงกังวลว่าตนจะแบ่งแยกคนดีคนเลวไม่ออก ออกหมัดไม่รู้จักหนักเบา ง่ายที่จะทำความผิด ในเมื่อกลัว ถ้าอย่างนั้นก็หลบเลี่ยง ถึงอย่างไรขุนเขาสายน้ำก็ยังคงอยู่ ทุกวันคัดตำราฝึกวิชาหมัดล้วนไม่เคยแอบอู้ เจอหรือไม่เจอผู้คน ไม่สำคัญเลย
เผยเฉียนยังบอกอีกว่าอันที่จริงตนไม่ได้มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบต่อการออกท่องยุทธภพ
เหวยไท่เจินจึงถามนางว่าในเมื่อไม่ได้ถึงขั้นชื่นชอบ แล้วเหตุใดถึงยังต้องมาอุตรกุรุทวีป ต้องเดินทางมาไกลขนาดนี้
เผยเฉียนลังเลอยู่นาน กว่าจะยิ้มเอ่ยว่าในบ้านมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอยู่หลายคน ตนจึงไม่ค่อยอยากฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ที่นั่น เพียงแค่เพราะอาจารย์พ่อชอบอุตรกุรุทวีป นางถึงได้มาท่องเที่ยวที่นี่
นี่คือคำตอบแบบคลุมเครือที่ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ
จากนั้นเผยเฉียนก็เอ่ยอีกประโยคหนึ่งที่ทำให้เหวยไท่เจินยิ่งมึนงงสับสน นางบอกว่าอาจารย์พ่อชอบที่นี่ แต่อันที่จริงตอนนี้นางเริ่มเสียใจภายหลังแล้ว
เหวยไท่เจินรู้สึกว่าตัวเองยิ่งถาม เผยเฉียนยิ่งตอบ ตนก็ยิ่งเหมือนร่วงลงสู่ผืนเมฆหมอก
เพียงแต่ว่าตอนนั้นเผยเฉียนเริ่มเดินนิ่งอีกครั้งหนึ่งแล้ว เหวยไท่เจินจึงได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าคิดเยอะ
ทุกวันนี้หลี่ไหวเคยชินกับการเฝ้ายามตอนกลางคืนแล้ว พอเห็นเทพธิดาเหวยมีท่าทางมึนงงจึงมองไปยังเผยเฉียน ถามประโยคหนึ่งว่าสามารถพูดได้ไหม? เผยเฉียนฝึกเดินนิ่งต่อ แต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ
หลี่ไหวถึงได้อธิบายให้เทพธิดาเหวยฟังว่า “เผยเฉียนเป็นขอบเขตเจ็ดแล้ว วางแผนไว้ว่าพอไปถึงยอดเขาสิงโตก็จะไปธวัลทวีป พยายามช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาให้ได้ ดูเหมือนว่าพอได้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาแล้วก็จะสามารถช่วงชิงเอาโชคชะตาบู๊อะไรนั่นมาได้”
เหวยไท่เจินรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
หลี่ไหวยิ้มเอ่ย “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเผยเฉียนฝ่าทะลุขอบเขตอย่างไร ไม่ได้จงใจปิดบังเจ้า ก่อนหน้านี้นางเองก็ไม่ได้บอกข้าเหมือนกัน เป็นตอนหลังที่ออกจากแคว้นชิงเฮามาแล้วนางถึงได้เป็นฝ่ายบอกข้า ยังบอกด้วยว่าการฝึกหมัดทุกวันนี้ไม่ได้มีความหมายมากแล้ว คล้ายคลึงกับการเดินนิ่งในตอนนี้ที่ปณิธานหมัดบนร่างถูกแบ่งออกเป็นสองแล้วตีกันเองอะไรทำนองนั้น ก็แค่เป็นความเคยชินที่เกิดจากธรรมชาติเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนางก็คงว่างจนไม่มีอะไรให้ทำ อีกอย่างเรื่องของการฝึกวิชาหมัดได้รับโชคชะตาบู๊ ในฐานะลูกศิษย์ก็ไม่มีเหตุผลให้ควรมีบารมีมากกว่าอาจารย์ สิ่งของอย่างโชคชะตาบู๊นี้ กินมากไปอันที่จริงก็ไม่ได้มีรสชาติอะไร สำหรับนางแล้วอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”
เผยเฉียนที่อยู่ห่างไปไกลเก็บหมัด เอ่ยอย่างระอาใจว่า “พูดมากเกินไปแล้ว แค่ให้เจ้าพูดเรื่องขอบเขตเจ็ดเท่านั้น”
จากนั้นก็เอ่ยกับเหวยไท่เจินว่า “พี่หญิงเหวย อย่าถือสาเลย ไม่ได้จงใจปิดบังเจ้า เพียงแต่ว่าเรื่องดีๆ บางอย่างก็ไม่ได้มีค่าพอให้เอามาพูดถึง”
อาจารย์พ่ออยู่สูงเบื้องบน แล้วยังมีท่านปู่ชุยอยู่เบื้องหน้า
ฝึกหมัดด้วยความยากลำบาก ฝึกวรยุทธฝ่าทะลุขอบเขต ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน
เหวยไท่เจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน
ไม่อย่างนั้นนางจะยังทำอะไรได้อีกเล่า
ยังดีที่เหวยไท่เจินก็รู้เรื่องเกี่ยวกับเส้นทางวิถีวรยุทธไม่มากนัก เพราะถึงอย่างไรบนเส้นทางของการฝึกตน ตัวเหวยไท่เจินเองก็ฝ่าทะลุขอบเขตรวดเดียวจนมาถึงขอบเขตโอสถทอง ดังนั้นจึงยังไม่ถึงขั้นตกใจขวัญกระเจิงเพราะเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตและการได้รับโชคชะตาบู๊ของเผยเฉียน เหวยไท่เจินเพียงแค่ตกตะลึงที่เผยเฉียนมีท่าทีเฉยชาต่อขอบเขตวรยุทธถึงเพียงนี้ นี่ไม่สอดคล้องกับอายุของนางแม้แต่น้อย อีกทั้งการปีนป่ายสู่ที่สูงบนวิถีวรยุทธยังต้องเน้นในเรื่องการเหยียบลงบนพื้นอย่างมั่นคงยิ่งกว่าผู้ฝึกตน หากจะบอกว่าเป็นเพราะคุณสมบัติของเผยเฉียนดีเกินไปถึงได้ฝ่าทะลุขอบเขตเร็วขนาดนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกต้องไปซะหมด เพราะถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ฝึกวิชาหมัดอยู่ทุกวัน อีกทั้งยังเป็นการฝึกที่แปลกประหลาดด้วย ทั้งเดินฝึกหมัด ทั้งเอาปณิธานหมัดมาตีกันเอง หรือเรื่องโชคชะตาบู๊ที่ไร้รสชาติอะไรนั่น ล้วนเป็นสิ่งที่เหวยไท่เจินไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วก็มิอาจจินตนาการถึงได้เลย
การเดินทางไกลล่างภูเขาต่อจากนั้น
ต่อให้เผยเฉียนจะพยายามหลบผู้คนหรือเรื่องราวมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังไปเจอคลื่นมรสุมของเทพเซียนบนภูเขาที่เดือดร้อนลามมายังยุทธภพล่างภูเขาอยู่ดี
ปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่งที่เป็นผู้นำชาวยุทธเกิดทะเลาะเบาะแว้งกับนายท่านเทพเซียนเซียนดินท่านหนึ่ง ฝ่ายแรกเรียกเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำหลายองค์ที่ทางราชสำนักยอมอนุญาตให้ออกจากอาณาเขตมาช่วยหนุนหลัง ฝ่ายหลังก็เรียกพรรคพวกที่เป็นเซียนซือเพื่อนบ้านแคว้นใกล้เคียงมากลุ่มหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นบุญคุณความแค้นระหว่างคนสองคน แต่กลับดึงเอาคนหลายร้อยคนมาคุมเชิงกัน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดอายุเจ็ดสิบปีผู้นั้นใช้สถานะของผู้แห่งนำยุทธภพเรียกระดมพวกพ้อง ส่วนเซียนดินโอสถทองท่านนั้นก็ยิ่งใช้ความสัมพันธ์ควันธูปทั้งหมดที่มี จะต้องทำให้ตาเฒ่าล่างภูเขาที่ไม่รู้จักดีชั่วผู้นั้นได้รู้หลักการบนภูเขาที่บอกว่าฟ้าดินมีความต่างให้จงได้
ตอนนั้นเผยเฉียนเดินทางผ่านไป อันที่จริงศึกใหญ่ได้ปิดฉากลงแล้ว รู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะ ไม่คิดว่าจะเป็นฝ่ายเซียนซือบนภูเขาที่ต้องหนีกระเซอะกระเซิง ที่แท้ทางราชสำนักก็จัดหาเซียนซือผู้ถวายงานและยอดฝีมือในกองทัพหลายคนมาเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย ดูเหมือนว่าจะเกลียดขี้หน้าเซียนดินที่ชอบเจ้ากี้เจ้าการกับจักรพรรดิผู้นั้นมานานหลายปีแล้ว ท่ามกลางศึกอันน่าสังเวชยังมีเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่เดิมทีควรเป็นสหายสนิทกัน กลับทรยศโอสถทองสหายรัก ตอนที่ศึกใหญ่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดได้ลงมืออย่างอำมหิต เล่นงานจนเซียนดินโอสถทองที่วางอำนาจมาจนชินตั้งตัวไม่ทัน แล้วยังถูกลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งทำลายโอสถทองกับมือตัวเองจนเละ ต้องตายดับไปทั้งอย่างนี้
ภูเขาตระกูลเซียนลูกหนึ่งต้องบ้านแตกสาแหรกขาด กองกำลังพ่ายแพ้เหมือนภูเขาล้มครืนลงมา สรุปก็คือเป็นคลื่นมรสุมที่อาบไปด้วยเลือดสด ไม่ว่าจะบนภูเขาล่างภูเขา ราชสำนักยุทธภพ เทพเซียนมนุษย์ธรรมดา แผนชั่วร้ายแผนโจ่งแจ้ง ล้วนมีครบหมด บางทีนี่คงเป็นดั่งคำว่านกกระจอกแม้จะตัวเล็กแต่ก็มีอวัยวะภายในครบถ้วนกระมัง
ความผิดความถูกทั้งหมดรวมกันเป็นก้อนแป้งเปียก ล้วนอยู่ท่ามกลางความเป็นความตาย
ต่อให้เผยเฉียนต้องการจะถอยออกจากพื้นที่อันตรายแห่งนั้น แต่ก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง
กองกำลังทหารจากราชสำนักแคว้นเล็กซุ่มซ่อนตัวอยู่รอบด้าน ขยับตีวงล้อมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งจะไล่ต้อนปลากลับเข้ามาในแห
เซียนซือบนภูเขากลุ่มหนึ่งหนีมาอยู่ใกล้กับพวกเผยเฉียนสามคน จากนั้นก็เดินสวนไหล่ผ่านกันไป คนหนึ่งในนั้นยังทิ้งหยกประดับตระกูลเซียนที่ส่องแสงแวววาวไว้ที่เท้าเผยเฉียน เพียงแต่ว่าถูกเผยเฉียนตวัดเขี่ย พริบตาเดียวก็ลอยกลับไปที่เดิม
จากนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้ามา ไม่รู้ว่าฆ่าจนเลือดขึ้นตาแล้วหรือว่าตัดสินใจเด็ดขาดว่ายอมฆ่าผิดตัว แต่จะไม่ยอมปล่อยผิดตัวกันแน่ แม่ทัพบู๊วัยกลางคนที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานคนหนึ่งถึงเงื้อดาบฟันเข้ามา
เผยเฉียนไม่หลบไม่เลี่ยง ยื่นมือไปกุมดาบไว้ ถามว่า “พวกเราเป็นแค่คนนอกที่ผ่านทางมา ไม่เข้าร่วมบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเจ้าสองฝ่าย”
แม่ทัพบู๊คนนั้นเพิ่มน้ำหนักบนมือ เพียงแต่ว่าดาบกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เผยเฉียนผลักเบาๆ ทั้งคนทั้งดาบของอีกฝ่ายก็เซกรูดถอยไปด้านหลัง
ห่างไปไกลทางด้านหลังของเผยเฉียน เดิมทีมองดูเหมือนว่าจะเป็นช่องโหว่เพียงหนึ่งเดียวของตาข่ายจับปลา แต่กลับมีปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เฝ้าตอรอกระต่ายปรากฎตัวอย่างเงียบเชียบ คอยไล่สังหารพวกปลาที่หลุดรอดไปจากแห เหลือคนรอดชีวิตไว้แค่ไม่กี่คน
เผยเฉียนกวาดตามองไปรอบด้าน จากนั้นรวมเสียงให้เป็นเส้น พูดกับหลี่ไหวและเหวยไท่เจินว่า “อีกเดี๋ยวพวกเจ้าหาโอกาสจากไปก่อน ไม่ต้องห่วง เชื่อข้า”
เหวยไท่เจินกำลังคิดจะพูดกับเผยเฉียนว่าตนสามารถให้ความช่วยเหลือได้
หลี่ไหวกลับส่ายหน้าให้นาง
ยามที่เจอกับเรื่องยุ่งยากเข้าจริงๆ ขอแค่ไม่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย เผยเฉียนจะไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากใครเด็ดขาด ไม่ว่าจะเหตุผลไหนก็ฟังไม่ขึ้นสำหรับนาง
ส่วนลึกในกระดูกของเผยเฉียนไม่ยินดีติดค้างคนอื่นที่ไม่ใช่อาจารย์พ่อของนางแม้แต่นิดเดียว
ดังนั้นหลี่ไหวจึงมาหยุดอยู่ข้างกายเหวยไท่เจิน กดเสียงลงต่ำถามว่า “เทพธิดาเหวยสามารถรักษาตัวรอดได้ไหม?”
เหวยไท่เจินพยักหน้ารับ “น่าจะสามารถปกป้องคุณชายหลี่ได้”
หลี่ไหวเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็หาโอกาสหนี พยายามอย่าให้เผยเฉียนต้องเสียสมาธิก็พอแล้ว”
เหวยไท่เจินมีสีหน้าลำบากใจ ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “คุณชายหลี่ ทำแบบนี้เผยเฉียนจะเกิดแสลงใจกับท่านหรือไม่?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “เทพธิดาเหวยคิดมากเกินไปแล้ว”
หลี่ไหวเกาหัว ข้านี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ทำอย่างไรดี กลุ้มชะมัด
เผยเฉียนปลดหีบไม้ไผ่ลงเบาๆ วางไม้เท้าเดินป่าลง เผชิญหน้ากับผู้เฒ่าร่างกำยำเส้นผมขาวโพลนคนหนึ่งที่เดินเข้ามา “บอกกับพวกเจ้าไว้ก่อนว่า หากใครกล้าทำร้ายเพื่อนของข้า กล้าทำลายสมบัติสองชิ้นนี้ของข้า ข้าจะไม่ใช้เหตุผล แต่จะออกหมัดสังหารคนโดยตรง”
ผู้เฒ่าผมขาวที่ร่างท่วมไปด้วยเลือดคนนั้นหลุดหัวเราะพรืด “นังหนูอายุไม่มากแต่ลมปากกลับไม่น้อย แค่มอบแผ่นหยกชิ้นนั้นมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เผยเฉียนม้วนชายแขนเสื้อ เอ่ยว่า “ข้าจะยืนนิ่งๆ รับหมัดเจ้าสามหมัด จากนั้นก็ให้พวกเราสามคนจากไป ตกลงไหม?”
แม่ทัพบู๊สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชำเลืองมองฝ่ามือที่ไร้บาดแผลของเด็กสาวแล้วเอ่ยเตือนผู้เฒ่าเบาๆ ว่า “อาจารย์ นังหนูนี่ไม่ธรรมดาสักเท่าไร ก่อนหน้านี้จับดาบก็ยังไม่บาดเจ็บ เรือนกายแข็งแกร่งผิดปกติ”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “กองทัพใหญ่โอบล้อมไว้แล้ว ต่อให้มีปีกก็ยากจะบินหนีได้”
จากนั้นผู้เฒ่าที่ตั้งท่าพร้อมต่อสู้ก็หันมองสตรีสวมหมวกม่าน ยิ้มถามว่า “แม่นางท่านนี้คือเทพเซียนก่อกำเนิดหรือ?”
เหวยไท่เจินไม่ตอบคำ
——