ตอนที่ 1876 สิ้นหวัง
“สวีจื่อเซวียน เธอพาพ่อเธอไปสำนักทะเบียนก่อนเถอะ!”
เหมยเหมยอดเตือนไม่ได้ สวีจื่อเซวียนจะเป็นจะตายอย่างไรเธอไม่สนใจแต่เธอกลับเห็นใจคุณพ่อสวีมากกว่า คุณพ่อที่น่าสงสารคนนี้จะมีเรื่องให้สะเทือนใจอีกไม่ได้แล้ว!
เพื่อนคนอื่น ๆก็เริ่มเกลี้ยกล่อมสวีจื่อเซวียน อาการของคุณพ่อสวีทุกคนเห็นอยู่กับตาและเห็นว่ามันอันตรายมากจริง ๆ!
แต่สวีจื่อเซวียนกลับคิดสวนทางกับคนอื่นไม่ยอมทำตามที่เพื่อน ๆเกลี้ยกล่อม โดยเฉพาะคนตักเตือนคนแรกคือจ้าวเหมยเธอก็ยิ่งไม่ฟังคำเตือนพลันหมดความอดทนกับพ่อตัวเองขึ้นมาทันที
อยู่โรงพยาบาลดี ๆ ทำไมต้องมาสร้างความอับอายให้เธอที่มหาวิทยาลัยด้วย?
“พ่อ หนูลาออกแล้ว แล้วจะเรียนยังไงอีก? พ่อรีบไปโรงพยาบาลกับหนูเลย!”
สวีจื่อเซวียนพลั้งหลุดปากพูดเรื่องลาออกอย่างอดไม่ได้ชั่วขณะหมายจะให้พ่อของเธอยอมแพ้แล้วกลับไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลกับเธอแต่โดยดี ทว่าเธอดันลืมไปว่าคุณพ่อสวีให้ความสำคัญกับใบปริญญาเธอมากแค่ไหน!
“ลา…ออก…แล้ว…”
คุณพ่อสวีดวงตาจดจ้องสวีจื่อเซวียนแล้วเค้นเสียงพูดออกมาทีละคำ ๆ
“ไม่ใช่หรอก คุณลุงสวีอย่าไปฟังเธอพูดเหลวไหล แค่โดนทัณฑ์บนเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกค่ะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนแย่งตอบเพราะเธอกังวลเรื่องสุขภาพของคุณพ่อสวีจากใจจริง กลัวคนบ้าอย่างสวีจื่อเซวียนจะเอามีดแทงใจพ่อของเธออีก
นักศึกษาคนอื่น ๆที่มุงอยู่ต่างก็ช่วยปั้นคำลวงกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน พวกเขาล้วนดูออกถึงความผิดปกติของคุณพ่อสวีและเห็นใจเขามากเช่นกัน
เรื่องที่ทุกคนต่างเห็นอย่างชัดเจนเข้าใจเป็นอย่างดีแต่คนตัวต้นเรื่องอย่างสวีจื่อเซวียนกลับไม่เข้าใจ กระทั่งเห็นทุกคนกำลังช่วยพูดแทนพวกเหมยเหมยใจก็ยิ่งต่อต้าน ประเภทที่ให้เธอไปทางทิศตะวันออกฉันก็ยืนยันจะไปทางทิศตะวันตกให้ได้แบบนั้น
“ลาออกแล้ว ทางมหาวิทยาลัยประกาศอยู่ป้ายหน้าประตูมหาวิทยาลัยนั่นไงพ่อไม่เห็นเหรอ?” สวีจื่อเซวียนตะโกนพูดอย่างหงุดหงิด
เหมยเหมยลอบสบถในใจ ขณะที่คุณพ่อสวีสลัดมือสวีจื่อเซวียนออก จู่ ๆร่างกายก็กลับมาใช้งานได้ปกติมีสติดีครบถ้วนเลยเดินกะเผลก ๆไปยังหน้าประตูมหาวิทยาลัยอย่างไม่ช้านัก เผยให้เห็นแผ่นหลังที่ดูหัวรั้นและสลดใจ
“พ่อ…พ่อไปทำอะไร? พ่อรีบหยุดเลยนะ…หนูโกหกพ่อเองแหละ ตรงนั้นไม่มีอะไรหรอก…”
คราวนี้สวีจื่อเซวียนถึงสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบแก้ตัว แต่คุณพ่อสวีกลับไม่หยุดเดินแถมเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆเหมือนตุ๊กตาชักใยก็ไม่ปาน ดูงุ่มง่ามเสียจนน่าสงสารจับใจ
ทุกคนเริ่มเดินตามหลังคุณพ่อสวีไปอย่างไม่รู้ตัวและพากันตื่นตระหนกหวาดระแวงกันถ้วนหน้า เหมยเหมยสัมผัสถึงความผิดปกติจึงแอบวิ่งไปตู้โทรศัพท์สาธารณะเรียกรถพยาบาลที่หวังว่าจะมาได้ทันเวลา
ประตูมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ไกลจากถนนย่านการค้านัก ต่อให้เดินช้าก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น กระทั่งในที่สุดคุณพ่อสวีก็เดินมาถึงใต้ป้ายประกาศ เขาเห็นใบประกาศไล่ออกนั้นผ่านกระจกใส
ตัวอักษรสามตัวแรกที่เห็นในสายตาคือสวีจื่อเซวียน จากนั้นก็เป็นตราประทับสีแดงสดรวมถึงมีประโยคดังนี้ว่า ‘โดดเรียนติดต่อกันเกินเจ็ดวัน นักศึกษาสวีจื่อเซวียนถูกไล่ออกจากการเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จึงประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน!’
คุณพ่อสวีอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยปากที่สั่นระริกไม่หยุด ในที่สุดก็ยืนยันความจริงที่ลูกสาวเขาถูกทางมหาวิทยาลัยไล่ออกสักที
“ลูก…ลูก…”
คุณพ่อสวีชี้ไปที่สวีจื่อเซวียน ซึ่งผ่านไปพักใหญ่แล้วก็เค้นเสียงพูดไม่ออกสักคำ ใบหน้าเริ่มเขียวช้ำดูท่าทางน่าสยองอย่างมาก
สวีจื่อเซวียนตกใจแทบแย่เลยอ้อนวอนด้วยเสียงร่ำไห้ “พ่อ เราไปโรงพยาบาลก่อนเถอะนะ รอพ่อหายแล้วค่อยด่าหนูนะ!”
เหมยเหมยมองไปทางประตูมหาวิทยาลัยอย่างร้อนรน รถพยาบาลยังไม่มาเลย ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว!
“พ่อ…”
เสียงร้องโหยหวนของสวีจื่อเซวียนดังขึ้นพร้อมรีบถลาเข้าไปประคองคุณพ่อสวีที่อยู่ ๆก็ล้มลงไปกับพื้นไว้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดรวมถึงมุมปากของคุณพ่อสวีก็มีร่องรอยของเลือดเช่นเดียวกัน
…………………….…………….…………….
ตอนที่ 1877 โมโหจนตาย
สวีจื่อเซวียนตกใจแทบแย่กอดคุณพ่อสวีไว้ร้องเรียกไม่หยุด เหมยเหมยเห็นท่าไม่ดีเลยพุ่งเข้าไปตะโกนบอก “รีบวางพ่อของเธอลง ตอนนี้เขาขยับตัวไม่ได้ ฉันโทรเรียกรถพยาบาลแล้ว คงใกล้จะถึงแล้ว”
“เธอไม่ต้องมาเสแสร้งเป็นคนดี ฉันพาพ่อของฉันส่งโรงพยาบาลเองได้”
สวีจื่อเซวียนแบกคุณพ่อสวีขึ้นอย่างยากลำบาก แต่สุขภาพกายเธออ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแม้แต่พยุงยังพยุงไม่ไหวด้วยซ้ำ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแบกเลย คุณพ่อสวีผู้น่าสงสารตัวโงนเงนไปมาทำเอาเหมยเหมยที่มองอยู่ใจหล่นวูบ
ถ้าปล่อยให้สวีจื่อเซวียนแบกตัวโงนเงนไปมาแบบนี้อีก ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิดก็ช่วยคุณพ่อสวีไม่ได้แล้ว
“สวีจื่อเซวียนเธอมีความรู้ด้านปฐมพยาบาลสักนิดไหม? พ่อของเธอเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแตก ตอนนี้จะเคลื่อนย้ายตัวไม่ได้ คุณหมอใกล้จะมาถึงแล้ว ถ้าเธอยังขยับตัวพ่อของเธอแบบนี้อีกมีแต่จะทำร้ายเขา!”
เหมยเหมยโกรธจนปวดศีรษะ สมองโดนลากระทืบเข้าแล้วจริง ๆ ไม่มีความรู้ด้านการปฐมพยาบาลเลยสักนิด
เพื่อนคนอื่น ๆก็เริ่มเกลี้ยกล่อมตามให้สวีจื่อเซวียนอย่าทรมานพ่อของเธออีก ในเมื่อไม่ใช่ทุกคนที่จะโง่เหมือนสวีจื่อเซวียน
สวีจื่อเซวียนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่พอเห็นคุณพ่อสวีสีหน้าซีดเซียวมากขึ้นเรื่อย ๆ ใจเธอก็ดิ่งวูบไม่กล้าดึงดันอีกต่อไป ตกใจจนต้องรีบวางคุณพ่อสวีไว้บนพื้นแล้วปาดเช็ดน้ำตาอย่างอดไม่ได้
“ทำไมหมอยังไม่มาอีก? พ่อ…อย่าหลอกให้หนูตกใจได้ไหม…หนูจะไม่เถียงพ่ออีกแล้ว…หนูจะไปเรียน…พ่อรีบฟื้นมาสิ…”
บนใบหน้าของสวีจื่อเซวียนเปื้อนเลือดและน้ำตาเต็มหน้าทำให้มองไม่เห็นใบหน้าเดิม ซึ่งเธอเองก็ไม่สนใจ เอาแต่คุกเข่าร่ำไห้ปล่อยเสียงโฮอยู่อย่างนั้น
เหมยเหมยลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เหตุที่มีจุดจบที่น่าสงสารแบบนี้ก็เพราะทำตัวเองทั้งนั้น แต่ถึงอย่างนั้นพอตอนนี้เห็นสภาพย่ำแย่ของสองพ่อลูกสวีจื่อเซวียนก็ไม่ได้สบายใจเท่าไรนัก
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนส่ายศีรษะล้วงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ายื่นให้สวีจื่อเซวียน “เช็ดหน้าก่อนเถอะ”
สำหรับสวีจื่อเซวียนแล้ว ความจริงความรู้สึกของพวกเธอไม่ต่างกันเท่าไร รู้สึกโกรธเคืองที่อีกคนไม่รักตัวเองแต่ก็สงสารกับความโชคร้ายของอีกคน!
แต่คนที่อัปโชคมากที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อสวีที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตบนพื้น ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่เป็นไร
รถพยาบาลมาได้ค่อนข้างเร็วกว่าที่คิด ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นก็มีเสียงวอดังเข้ามาในเขตมหาวิทยาลัย พอคุณหมอเห็นว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินก็รีบทำการช่วยเหลือคุณพ่อสวีทันที แต่ทว่า–
คุณหมอดูรูม่านตาของคุณพ่อสวีแล้วตรวจเช็กอีกรอบ จากนั้นก็ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ “สายเกินไปแล้ว…”
สวีจื่อเซวียนเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเองรวมถึงคนอื่น ๆด้วยเช่นกัน บรรยากาศเงียบสงัด ทั้งกดดันและโศกเศร้า
ความเป็นความตายเป็นเรื่องปกติที่ย่อมมีคนตายจากไปทุกวันและมีชีวิตเกิดใหม่ทุกวัน แต่ตอนนี้ต้องเห็นหนึ่งชีวิตจากไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้…
ทุกคนต่างรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา สีหน้าดูตึงเครียดกันถ้วนหน้า
“ไม่มีทาง…เมื่อกี้พ่อฉันยังคุยกับฉันอยู่เลย เขาไม่ตายหรอก คุณหมอช่วยเขาก่อนสิ ปั๊มหัวใจให้เขาสิ…ไหนบอกว่าปั๊มหัวใจแล้วจะช่วยได้ไม่ใช่เหรอ…”
สวีจื่อเซวียนตะโกนอย่างบ้าคลั่งด้วยสภาพที่รอยเลือดบนใบหน้ายังไม่ทันเช็ดหมดดี พอใบหน้าบูดบึ้งไปตามอารมณ์และปล่อยสยายผมก็ดูเหมือนคนบ้าคนหนึ่งทันที
“ไม่ทันแล้ว คุณช่วยใจเย็นหน่อย พ่อของคุณน่าจะเพิ่งทำการผ่าตัดอาการเลือดคั่งในสมองมาทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ดันมาเจอเรื่องสะเทือนใจอย่างรุนแรงอีก ต่อให้มาทันเวลาก็ใช่ว่าจะช่วยได้จริง ๆ หมอเสียใจด้วย”
คุณหมออธิบายตามหน้าที่ เขามองแวบเดียวก็รู้อาการของคุณพ่อสวีทันทีว่าคงช่วยหนึ่งชีวิตนี้ได้อย่างยากลำบากเพราะอาการโรคหลอดเลือดในสมองก็อ่อนแอเหมือนกระดาษหนึ่งแผ่น หากพักฟื้นดี ๆอาจจะหายได้ แต่วันอากาศร้อนระอุแบบนี้ไม่นอนอยู่โรงพยาบาลดี ๆกลับวิ่งแจ้นออกมาข้างนอกก็เท่ากับฆ่าตัวเองไม่ใช่หรือ?
อีกอย่างจิตใจยังถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงขนาดนั้น หากพูดไม่น่าฟังหน่อยต่อให้อาการกำเริบที่โรงพยาบาลก็ใช่ว่าจะช่วยได้ทัน!
รถฉุกเฉินไปแล้วทิ้งให้สวีจื่อเซวียนกอดคุณพ่อสวีอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ดูอาการไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนัก
เหมยเหมยจำต้องโทรหาเจียงจื้อหรู่ จะว่าไปการตายของคุณพ่อสวีเขาก็มีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน
…………………………..…………….