ตอนที่ 3039

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3,039 : ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิง!

“เจิ้งหงอี้ผู้นี้ ถึงจะเป็นศิษย์สายตรงคนที่ 3 ของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริง…”

“ไม่น่าแปลกใจเลยไฉนที่ข้าสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงอิจฉาของมัน…ที่แท้มันอิจฉาต้วนหลิงเทียนนี่เอง”

“อย่าว่าแต่มันจะอิจฉาเลย…ข้าเองยังอดอิจฉาไม่ได้!”

ถึงแม้ยอดเซียนอมตะเหล่านี้จะยังไม่ได้เข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่ แต่พวกมันก็ศึกษาเรื่องราวของนิกายอมตะเป้าผู่มาไม่น้อย ย่อมเคยได้ยินเรื่องราวศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่มาก่อน และรู้ดีว่าศิษย์ที่แท้จริงนั้นมีอภิสิทธิ์มากมายเพียงใด

“ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ที่เว้นว่างอยู่…ท่านประมุขตัดสินใจมอบให้เจ้าหนูที่ยังไม่ทันได้เข้าร่วมนิกายผู้นี้ไปแล้วจริงๆหรือ?”

เมื่อเหล่าศิษย์และชนชั้นอาวุโสของนิกายอมตะเป้าผู่มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาของพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะเผยความตกตะลึงทั้งอิจฉาออกมา

“แล้วเจ้าหนูนี่มันเป็นใครมาจากไหนกันแน่?”

“นั่นสิ มันยังไม่ทันได้เข้าร่วมนิกายเราด้วยซ้ำ แต่ท่านประมุขกลับตัดสินใจมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงให้มันแล้ว…ที่สำคัญดูเหมือนท่านรองประมุขจางจะแลดูใจดีกับมันมาก”

“หากข้าจำไม่ผิด กลุ่มคนที่ท่านรองประมุขจางพากลับมาด้วยคราวนี้ สมควรเป็นเหล่ายอดเซียนอมตะที่รอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณใช่ไหม?”

“เจ้าหนูนี่…หรือว่ามันไม่เพียยงแต่จะรอดชีวิตกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณได้ แต่ยังทำผลงานได้ดีจนอยู่ในอันดับสูงๆ?”

“อันดับสูงๆ? เจ้าหนูนี่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ พวกเจ้าจะให้อันดับมันสูงแค่ไหนล่ะ?”

“หืออายุไม่ถึงร้อยปีรึ?”

“มารดามันเถอะ…อายุไม่ถึงร้อยปีจริงๆด้วย!”

“ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดอายุไม่ถึงร้อยปี และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏอย่างความหมายเบื้องต้นแล้ว…แต่ก็ไม่น่าจะทำให้ท่านประมุขประเมินมันไว้สูงถึงขนาดนี้ไม่ใช่หรือไร?”

“นั่นสิ หากทำได้เท่านี้ ถึงแม้กล่าวไปจะยอดเยี่ยมไม่น้อย แต่เรื่องจะให้ดำรงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงของพวกเรา นับว่ายังขาดอยู่บ้าง”

เหล่าศิษย์ลาดตระเวนเริ่มกระซิบกระซาบกันดังระงมปานกบร้อง แต่ละคนสงสัยแคลงใจไม่น้อยว่าไฉนชายหนุ่มชุดม่วงถึงได้รับการปฏิบัติจากรองประมุขและประมุขนิกายของพวกมันดีขนาดนี้

“ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี แต่เขาก็ได้รับอันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณ”

ในฐานะรองประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ พลังฝีมือของจางกวงเจิ้งไหนเลยจะต่ำทรามได้ โสตประสาทรับฟังของมันย่อมไม่ใช่ชั่วเช่นกัน จึงได้ยินเสียงกระซิบกระซาบคุยกันของเหล่าศิษย์ลาดตระเวนชัดเจน

“ที่สำคัญ ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะได้รับอันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณครั้งนี้เท่านั้น แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้ว…”

จางกวงเจิ้งกล่าวสืบต่อ

หลังกล่าวจบ มันก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะต้วนหลิงเทียน อย่าได้สนใจพวกมันเลย…ตามข้าไปพบท่านประมุขนิกายก่อนเถอะ”

“อ่า”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เหลือบมองเจิ้งหงอี้ผ่านๆอีกรอบ ค่อยเลิกสนใจอีกฝ่ายแล้วติดตามจางกวงเจิ้งไปทันที

ตอนนี้เขาก็รู้แล้ว ว่าทำไมเจิ้งหงอี้ถึงแลดูอิจฉาริษยาทั้งเกลียดชังเขานัก!

ที่แท้เป็นเพราะเขาถูกแต่งตั้งให้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงตั้งแต่ยังไม่ทันได้เป็นศิษย์นิกายอมตะเป้าผู่นั่นเอง!!

ทว่าด้านเจิ้งหงอี้นั้น ทั้งๆที่เป็นศิษย์สายตรงคนที่ 3 ของประมุขนิกาย กลับไม่ได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงด้วยซ้ำ

‘ไม่พ้นเจ้าเจิ้งหงอี้นี่ต้องหมายตาตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 ที่เว้นว่างอยู่แน่นอน แต่อยู่ดีๆข้าที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ดันได้รับตำแหน่งไปหน้าตาเฉย…มันไม่พ้นต้องไม่พอใจเป็นแน่ ที่ประมุขนิกายตัดสินใจอะไรแบบนี้’

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็เดาต้นตอและสาเหตุของเรื่องราวได้ไม่ยาก

และหลังจากต้วนหลิงเทียนติดตามจางงกวงเจิ้งไปได้สักพัก ก็เป็นจางกวงเจิ้งที่เริ่มอธิบายเหตุผลที่เจิ้งหงอี้ไม่พอใจออกมา เป็นการยืนยันข้อสันนิษฐานของเขาทันที

“…หากเจ้าไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เจิ้งหงอี้ก็พอมีลุ้นตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงคนที่ 10 อยู่บ้าง…”
novel-lucky

จางกวงเจิ้งกล่าว

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับจางกวงเจิ้งจากไป นอกจากเชวียจิงอวี่และเจิ้งหงอี้ที่รับทราบความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนแต่แรกแล้ว เหล่ายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลาย ไม่เว้นเหล่าศิษย์ลาดตระเวนพอได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอึ้งค้างไปเป็นแถบ

“แม่เจ้า…บรรลุยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี ก็นับว่าร้ายกาจมากแล้ว…แต่เจ้านั่นมันดันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินได้ 2 ประการแล้วงั้นเรอะ! มันโผล่มาจากนรกขุมใดกัน!?”

“เหอๆ เรื่องได้อันดับที่ 2 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพราะโชคช่วย…แต่มันที่อายุไม่ถึงร้อยปีไม่เพียงบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด แต่ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดินสองประการอีก นี่มันของจริง!!”

“ให้ตายเถอะ สิ่งที่มันทำได้ ข้าว่าให้มองไปทั่วประวัติศาสตร์ของนิกายอมตะเป้าผู่ ไม่ว่าจะอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นกี่ยุคสมัย ก็ไม่มีใครเทียบมันได้เลยมิใช่หรือไร?”

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหนูชุดม่วงนั่นเห็นหน้าหล่อๆแลดูไม่มีพิษมีภัย ที่แท้มันจะร้ายกาจราวสัตว์ประหลาดแบบนี้! ข้าล่ะไม่แปลกใจเลยว่าไฉนท่านประมุขกับรองประมุขจางถึงได้ให้เกียรติมันขนาดนั้น!”

“จังหวะนี้ข้าไม่สงสัยแล้วล่ะว่าไฉนท่านประมุขถึงตัดสินใจมอบตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างอยู่ให้มัน…ที่แท้จะศักยภาพพรสวรรค์หรือไหวพริบปฏิภาณไม่เว้นเชาว์ปัญญาของมันก็สูงส่งขนาดนี้นี่เอง!”

ก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่เหล่าศิษย์ลาดตระเวนเท่านั้น ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดส่วนใหญ่ที่ติดตามมา แทบไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสามารถของต้วนหลิงเทียนเลย พอมาได้รู้ความจริง ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจกันอยู่นานกว่าจะหาย

“แต่เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้วแน่หรือ?”

ยังมียอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดบางคนที่แคลงใจสงสัย อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม

“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก…เพราะก่อนที่แดนสวรรค์ใต้โบราณจะเปิดออก ข้าก็ได้เห็นตอนเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นประมือกับ เชวียจิงอวี่ องค์ชายรองของประเทศหนันฉี่กับตา และเชวียจิงอวี่ยังแพ้พ่ายมันในกระบวนเดียว”

ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่งที่เงียบมาตั้งแต่ต้น สุดท้ายก็คันปากจนทนไม่ไหว เอ่ยให้ข้อมูลออกมาก่อน ค่อยหันไปมองเชวียจิงอวี่แล้วเอ่ยขึ้นสืบต่อว่า “หากพวกเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นลองถามเชวียจิ่งอวี่เพื่อยืนยันได้”

ทันใดนั้นทุกสายตาก็หันไปตกลงบนร่างเชวียจิงอวี่ทันที

เมื่อพบว่าทุกสายตาจดจ้องมองมาที่ตัว เชวียจิงอวี่ก็พยักหน้าตอบคำ “ไม่ผิด ต้วนหลิงเทียนนั่นเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการแล้วไม่ผิดแน่ แถมความลึกซึ้งของกฏแห่งดินประการที่ 2 ที่มันเข้าใจ สมควรโดดเด่นเรื่องการป้องกันเป็นพิเศษ”

“กระทั่งข้าทุ่มเททุกสิ่งจู่โจมออกไปด้วยพลังทั้งหมดแล้ว ยังไม่อาจฝ่าม่านพลังป้องกันของมันได้เลย มิหนำซ้ำยังโดนมันตีสวนกลับมาจนปลิว…”

เชวียจิงอวี่กล่าว

และ เชวียจิงอวี่ ในฐานะองค์ชายรองของประเทศหนันฉี่ และเป็นอัจฉริยะขอบเขตยอดเซียนอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของประเทศหนันฉี่ ย่อมมีคนรู้จักหรือเคยได้ยินเรื่องราวมันมาไม่น้อย ทำให้รับทราบพลังฝีมือของเชวียจิงอวี่ดี

พอมาได้ยินคำพูดยืนยันจากปากเชวียจิงอวี่ พวกมันจึงไม่เหลือข้อสงสัยใดๆสืบไป

“เอ่าละ พวกเจ้าตามข้ามา…ข้าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนเป็นศิษย์ที่ตำหนักทะเบียน”

เจิ้งหงอี้ที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกล หลังมองจ้องแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนกับจางกวงเจิ้งจนหายลับไปจากสายตา มันก็สูดอากาศเข้าลึกๆ ค่อยหันไปกล่าวกับเชวียจิงอวี่ และเหล่ายอดเซียนอมตะคนอื่นๆ

และในขณะที่มันพาเชวียจิงอวี่และคนอื่นๆไปลงทะเบียนเป็นศิษย์นั้น มันก็เงียบไปไม่พูดจา หากแต่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเย็นเยือกออกมาไม่หยุด

‘ยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดคนหนึ่ง หากออกไปปฏิบัติภารกิจแล้วตกตายก็นับเป็นเรื่องปกติ! และหากมันตกตายเพราะอุบัติเหตุก็ไม่มีใครคิดสงสัยข้าเป็นแน่!!’

ในใจของเจิ้งหงอี้นั้น แม้จะพึ่งพบชายหนุ่มชุดม่วงแค่ครั้งเดียว แต่มันก็ตัดสินโทษตายให้อีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ว่าต่อให้ชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้จะไม่ปรากฏตัวขึ้นมา มันก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงแน่นอน แต่อย่างน้อยๆมันก็มีความหวังเรื่องแข่งขันช่วงชิง

แต่ตอนนี้พออีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นมา ความหวังใดๆของมันล้วนดับสลายหายไปดั่งหมอกควันเบาบางต้องลม…

สถานที่บ่มเพาะของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ย่อมเป็นหนึ่งในสถานทีบ่มเพาะที่ดีที่สุดของนิกายอมตะเป้าผู่ เรียกว่าเพียงเข้าเขตที่พักของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ กลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินในสถานที่แห่งนี้ก็หนาแน่นกว่าด้านนอก 5 เท่าแล้ว

ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความต่างเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย

และสถานที่พักอาศัยรวมถึงบ่มเพาะพลังของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่ง อาณาบริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยแมกไม้ทั้งบุปผานานาพรรณ มีสัตว์น้อยใหญ่ไม่เว้นวิหกส่งเสียงขับขานเจื้อยแจ้ว ให้บรรยากาศสมกับที่เป็นแดนสวรรค์จริงๆ

“ท่านประมุข”
novel-lucky

จางกวงเจิ้งที่พาต้วนหลิงเทียนเดินล่วงลึกเข้ามาในหุบเขา พอถึงบ้านไม้เล็กๆหลังหนึ่ง มันก็ประสานมือโค้งคำนับเอ่ยทักออกไปด้วยท่าทีสุภาพ

“ศิษย์พี่จาง ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้ว ระหว่างข้ากับท่านไยต้องสุภาพมากมารยาทอีก ท่านเรียกข้าเหมือนแต่ก่อนก็ได้…อีกทั้งในกาลก่อนหากมิได้ศิษย์พี่จางยื่นมือช่วยเหลือ ข้าคงตายไปนานแล้ว ไหนเลยจะมีวันนี้ได้!”

หลังจากจางกวงเจิ้งประสานมือโค้งคำนับเอ่ยคำทัก ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างหนึ่งที่ราวกับผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่าเหนือบ้านไม้ อีกฝ่ายมีรูปลักษณ์เป็นชยวัยกลางคน รูปร่างไม่อ้วนไม่ผอม สวมใส่ชุดคลุมนักพรตเต๋าเก่าๆตัวหนึ่ง

ชายวัยกลางคนนั้นแลดูไปก็ไม่ต่างอะไรจากนักพรตเต๋าธรรมดาๆคนหนึ่ง หากแต่ประกายตาที่สดใสทั้งแหลมคมนั่นกลับให้ความรู้สึกว่าไม่ธรรมดาชวนให้ผู้คนสนใจอยู่บ้าง

‘นี่น่ะหรือ ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่?’

สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง คนที่ปรากฏตัวเบื้องหน้าตอนนี้ สมควรเป็นประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่ไม่ผิดแน่

“มารยาท มิอาจละเลย!”

จางกวงเจิ้งมองชายวัยกลางคนเบื้องหน้า พลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ชายวัยกลางคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆอย่างหมดปัญญา จากนั้นค่อยหันไปมองต้วนหลิงเทียนข้างๆจางกวงเจิ้งพลางกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย “พ่อหนุ่ม เจ้าคือต้วนหลิงเทียนหรือ?”

“ส่วนข้าเจ้าคงเดาได้แต่แรก ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิง”

ชายวัยกลางคนมองทักต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีเป็นกันเอง ความรู้สึกที่ส่งออกมาจากสีหน้าแววตาช่างสบายราวสายลมฤดูใบไม้ผลิ พาลให้ผู้คนรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง

“ยินดีที่ได้พบท่านประมุข”

ได้ยินการแนะนำตัวของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานกล่าวทักกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่จางเล่าเรื่องของเจ้าผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณให้ข้าฟังหมดแล้ว…”

ซุนเหลียงเผิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน จากนั้นก็หยุดลงเล็กน้อยค่อยเอ่ยต่อด้วยสายตาเป็นประกายว่า “แต่ข้ายังคิดจะทดสอบพลังฝีมือเจ้าสักเล็กน้อย…เจ้าคงไม่รังเกียจใช่ไหม?”

เอ่ยถึงจุดนี้ ซุนเหลียงเผิงก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบอะไร เอ่ยเสริมออกมาต่อว่า “แน่นอนว่าข้าจะลดระดับพลังบ่มเพาะให้อยู่ในระดับเดียวกับเจ้า นอกจากนั้นข้าจะใช้ความลึกซึ้งแค่ 2 ประการเหมือนกับเจ้า”

“ย่อมไม่รังเกียจ”

ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำขอของซุนเหลียงเผิง เพราะอย่างไรสิ่งที่อีกฝ่ายรับปากเขาไว้ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก

“มาเถอะ”

ลูกตาซุนเหลียงเผิงทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นร่างวัยกลางคนในชุดนักพรตเต๋าก็ย่ำเท้าขึ้นไปราวไต่บันไดเมฆ พริบตาก็บรรลุถึงความสูงพันหมี่เหนือพื้นดิน

ร่างต้วนหลิงเทียนก็ไหววูบคราหนึ่ง พริบตาก็ไปผุดโผล่ที่น่านฟ้าเหนือผืนดินพันหมี่เช่นกัน

“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน”

ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็ลอบติดต่อกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินในใจ “ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ดูแล้วไม่น่าจะใช่คนธรรมดาๆ…ตอนเจ้าช่วยเสริมพลังป้องกันให้ข้า ช่วยทำให้กลิ่นอายพลังที่แผ่ออกมามันคล้ายความลึกซึ้งของกฏแห่งดินให้ได้มากที่สุด เจ้าพอทำได้หรือไม่?”

“เรื่องขี้ประติ๋วหน่า! จิ๊บๆ!!”

เสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้นอย่างถือดี เห็นชัดว่ามันไม่ได้กังวลเรื่องที่ซุนเหลียงเผิงจะมองพลังของมันออกเลย

“ข้าได้ยินศิษย์พี่จางบอกมาแล้ว ว่าด้วยความลึกซึ้งของกฏแห่งดินประการที่สองทำให้เจ้าเก่งในเรื่องการป้องกันเป็นพิเศษ…เช่นนั้นข้าจะใช้พลังสูงสุดของขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ผสานไปด้วยพลังอำนาจความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 2 ประการ พร้อมด้วยวรยุทธ์อมตะและเวทย์พลังระดับราชาทั้งหมดลงมือกับเจ้า…”

ขณะที่ซุนเหลียงเผิงกับต้วนหลิงเทียนลอยร่างเผชิญหน้ากันกลางฟ้าเหนือหุบเขา ซุนเหลียงเผิงก็ผายมือออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ปรากฏกระบี่แปลกประหลาดเล่มหนึ่งผุดขึ้นจากความว่างเปล่าเข้ามือ

ไฉนที่บอกว่ากระบี่เล่มนี้แปลกประหลาดนั้น นอกจากความยาวของมันจะอยู่ที่ราวๆ 4 ฉื่อแล้ว แต่ตัวกระบี่ยังปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งแปลกๆ แต่ละเกล็ดยังแผ่กลิ่นอายแหลมคมเยียบเย็นออกมา ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

“นี่คือกระบี่อมตะระดับราชาที่ได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะ และเป็นกระบี่คู่กายข้ามานาน…เนื่องจากเจ้ารอดกลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โดยได้อันดับที่ 2 ข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่ขาดชุดเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากจอมราชันอมตะใช่ไหม?”

ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม