ตอนที่ 3040

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3,040 : คลังสมบัติ!

“ข้าพอมี”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ถึงแม้เข้าจะจดจำไม่ได้ว่าเข่นฆ่าปล้นชิงผู้ใดมาบ้าง แต่ในตัวเขาไม่เพียงมีอาวุธอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมากมายเท่านั้น เขายังมีชุดเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะอยู่ด้วย 2 ชิ้น

“เอาล่ะ”

ซุนเหลียงเผิงพยักหน้า จากนั้นมันก็ยกมือขึ้น กระบี่ค่อยๆถูกชักออกจากฝักมาตั้งขวางไว้เบื้องหน้า ตัวกระบี่เริ่มสั่นสะเทือน จากนั้นก็ปรากฏรังสีกระบี่ผุดโผล่ห้อมล้อมทอประกายระยิบระยับออกมา หากมองไกลๆเสมือนมีบุปผาน้ำแข็งมากมายเริ่มเบ่งบานห้อมล้อมตัวกระบี่!

พริบตาต่อมาบุปผาน้ำแข็งมากมายอันวิจิตรงดงามรอบกระบี่ ก็เริ่มเปล่งกลิ่นอายพลังแหลมคมน่ากลัว

“กระบี่ของข้าตอนนี้ นอกจากความหมายแห่งทองแล้ว ข้ายังผสานพลังความลึกซึ้งของกฏแห่งทองอีกประการลงไปด้วย…”

ในขณะที่กระบี่ในมือซุนเหลียงเผิงเริ่มปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่ากลัว มันก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนต้วนหลิงเทียน “และความลึกซึ้งประการทั้สองของกฏแห่งทองที่ข้าเลือกใช้ก็คือ ‘เจาะทะลวง’ ยังเป็นความลึกซึ้งของกฏแห่งทองที่เสริมพลังอานุภาพให้กับการจู่โจมรุนแรงที่สุด”

และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ซุนเหลียงเผิงเอ่ยจบคำ กระบี่ในมือของมันก็ตวัดฟาดจี้มาทางต้วนหลิงเทียน ทันใดนั้นมวลบุปผาน้ำแข็งวิจิตรทั้งหลายก็ม้วนวนดั่งมหาพายุ ก่อนจะพุ่งเรียงรายเข้ามาทางต้วนหลิงเทียน พริบตาก็ผสานหลอมรวมเป็นหนึ่งบุปผาพุ่งมาดั่งลำแสงกระบี่ เปี่ยมล้นไปด้วยสภาวะพลังแหลมคมนัก!!

ซู่มมม!!

บุปผาน้ำแข็งรวมหนึ่งที่พุ่งมาดั่งลำแสงกระบี่ ยิ่งมาพลังสภาวะยิ่งทวีความแหลมคมมากขึ้นทุกขณะ!!

และเมื่อบุปผาน้ำแข็งไม่ต่างลำแสงกระบี่ทะยานตัดห้วงอากาศมาได้ครึ่งทาง มันก็เริ่มบีบอัดจนเริ่มเล็กลงดั่งเส้นดาย!

มองไปประหนึ่งด้ายสีทองพุ่งทะลวงฝ่าอากาศมาฉับไว หากแต่เสียงทะลวงเจาะห้วงอากาศกลับไม่ได้ดังมากมายอะไร จะมีก็แต่เสียงเล็กแหลมเสียดแทงแก้วหู ราวกับด้ายสีทองนี้ไม่เพียงแต่จะเจาะทะลวงทุกอย่าง ยังตัดได้ทุกสิ่งอีกด้วย!

‘เป็นวิชากระบี่ที่ร้ายกาจนัก…ไม่เพียงบีบอัดพลังทั้งหมดจนแปรสภาพเป็นเส้นด้าย ทำให้มีสภาวะทะลวงทรงพลังน่ากลัวจริงๆ…นี่น่ะเหรอความลึกซึ้ง ‘ทะลวงเจาะ’ ของกฏแห่งทองที่ขึ้นชื่อว่าทรงพลังที่สุดในแง่เสริมการโจมตี?’

ก่อนหน้านี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับฟังเรื่องราวของกฏแห่งทองจากทองเทพสุดลี้ลับมาบ้าง จึงได้รู้ว่าในบรรดาความลึกซึ้งของกฏแห่งทองนั้น สิ่งที่ช่วยเสริมพลังอานุภาพให้กับการจู่โจมได้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุดก็คือความลึกซึ้ง ทะลวงเจาะ!

เห็นการจู่โจมอันทรงพลังของซุนเหลียงเผิงจี้ตรงเข้ามาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่โง่ยืนเฉยๆต้านรับตรงๆโดยไม่คิดทำอะไร ร่างเริ่มไหววูบฉากออกข้างคิดหลบหลีกทันที อย่างไรก็ตามเขาพลันพบว่ารังสีกระบี่ลักษณ์ด้ายสีทองดังกล่าว ประหนึ่งมีดวงตางอกเงยก็ไม่ปาน มันเปลี่ยนทิศทางจี้เข้าใส่เขาได้อย่างทันท่วงที!

ที่สำคัญ ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขา สู้ความเร็วของกระบวนท่าที่จู่โจมเข้ามาของซุนเหลียงเผิงไม่ได้!

เวิง! เวิง! เวิง! เวิง! เวิง!

ด้ายสีทองพุ่งทะลวงแหวกอากาศมาฉับไว ส่งเสียงดังเววิงๆให้ความรู้สึกแหลมคมราวกับจะทะลวงได้กระทั่งห้วงมิติ!

ต้วนหลิงเทียนที่ลองฉากร่างหลบไปแล้ว พบว่ากระบวนท่าอีกฝ่ายเสมือนจรวดนำวิถี ก็หยุดร่างลงไม่คิดขยยยับไปไหนอีก ในเมื่อหลบไม่ได้ก็ไม่ต้องหลบ!

ทันใดนั้นทั่วร่างเขาพลันปรากฏเงาร่างเกราะทมิฬตัวหนึ่งขึ้นมาปกคลุม ยังมีประกายอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบ! จากนั้นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่แปรเปลี่ยนเป็นสีกากีในฉับพลัน ก็เริ่มถ่ายทอดลงสู่เงาร่างเกราะทมิฬดังกล่าวไม่ขาดสาย

นอกจากนั้นวรยุทธ์อมตะระดับขุนนางอย่างราชันไม่เคลื่อนไหว ไม่เว้นเวทย์พลังระดับขุนนางอย่างปราณม่วงบูรพาก็ถูกใช้ออกเต็มกำลัง ปิดท้ายด้วยปฐมเวทยย์กลืนกินที่ดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบแปรเปลี่ยนเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด หล่อเลี้ยงทุกสรรพวิชาให้ยกระดับพลังขึ้นทันที!

เรียยกว่าในห้วงเวลาชั่วพริบตาดุจละอองไฟวาบดับ ต้วนหลิงเทียนก็ปลดปล่อยการป้องกันที่ทรงพลังที่สุดออกมา

พร้อมกันนั้นเองปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ลงมือสอดประสานได้อย่างเหมาะสม มวลพลังสีเหลืองแผ่พุ่งออกจากร่างต้วนหลิงเทียน ฉาบคลุมไปทั่วเงาร่างชุดเกราะทมิฬที่บัดนี้ถูเงาร่างพุทธองค์สีทองผสานไอพลังสีม่วงปกคลุมเอาไว้ทันที

แต่หากมองให้ดี จะพบว่าเงาร่างเกราะสีดำสนิทนั้นได้ทอประกายสีเหลืองแก่ออกมาเรืองๆ พาลให้ผิวเกราะทมิฬเรืองประกายปานผิวบุษราคัม
novel-lucky

‘นั่นมัน…ความลึกซึ้ง ‘ปราการผลึก’ ของกฏแห่งดินงั้นรึ!?’

ลูกตาของซุนเหลียงเผิงทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ในฐานะประมุขของนิกายอมตะเป้าผู่ ความลึกซึ้งของกฏต่างๆมีอะไรบ้าง มันย่อมล่วงรู้ไม่น้อย

ความลึกซึ้งปราการผลึกของกฏแห่งดิน นับเป็น 1 ใน 2 ความลึกซึ้งของกฏแห่งดินที่เน้นหนักไปเรื่องการป้องกันอย่างเดียว

‘จะวรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังไม่เว้นเวทย์พลังสนับสนุนที่เจ้าหนูนี่ใช้ล้วนมิใช่ระดับราชาสักอย่าง…กฏก็ใช้ออก 2 ประการเหมือนข้า ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจักหยุดกระบวนท่านี้ของข้าได้อย่างไร!?’

ซุนเหลียงเผิงที่ควบคุมรังสีกระบี่รูปลักษณ์ด้ายสีทองอยู่ด้านหลัง บังเกิดความคาดหวังในใจไม่น้อย ขณะเดียวกัน อาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด ด้ายสีทองที่พุ่งทะลวงแหวกความว่างเปล่าด้วยสภาวะประหนึ่งจะทะลวงทั้งสะบั้นได้ทุกสิ่ง ก็ปะทุความเร็วในฉับพลัน พุ่งจู่โจมเข้าใส่ปราการพลัง ลักษณ์ชุดเกราะทมิฬที่บัดนี้ทอประกายเรืองรองปานผลึกบุษราคัมของต้วนหลิงเทียนทันที!

“ไอ้หนู รีบใช้ความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง บั่นทอนพลังกระบวนท่ามันเร็วเข้า! วรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังของเจ้าที่ใช้มีระดับต่ำเกินไป! หากมันทำลายไม่ได้ มันไม่พ้นต้องบังเกิดความสงสัยแน่!!”

ในขณะที่ด้ายสีทองกำลังจะปะทะกับเกราะพลังทมิฬเรืองประกายสีเหลืองแก่ เสียงเด็กยังไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน ก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างเร่งร้อน

“เข้าใจแล้ว”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนขานรับ เขาก็พุ่งมือขวาออกไปเบื้องหน้า จากนั้นก็งองุ้มเป็นกรงเล็บควบสร้างสนามพลังโน้มถ่วง อันมีทิศทางแรงโน้มถ่วงฉุดดึงสวนทางการเคลื่อนที่ของด้ายสีทองออกไปทันที!

วินาทีถัดมา ด้ายสีทองที่เปี่ยมพลังสภาวะทะลวงเจาะอันเหี้ยมหาญ ก็เผชิญกับสนามพลังโน้มถ่วงเข้าอย่างจัง!

แน่นอนว่าการต่อต้านเล็กน้อยเพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจหยุดยั้งด้ายสีทองได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้มันชะงักลง และสิ้นสูญพลังสภาวะไปบางส่วน

‘โอ!? นี่มันความลึกซึ้ง พื้นที่โน้มถ่วง!!’

ลูกตาซุนเหลียงเผิงทอประกายเจิดจ้าเรืองขึ้นอีกครา ‘ถึงเจ้าหนูจะยังไม่บรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้น แต่ก็แตะถึงธรณีประตูแล้ว จะเข้าใจเมื่อใดก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น…’

‘ให้ตายเถอะน่าประหลาดใจจริงๆ ช่างเป็นเจ้าหนูที่ร้ายกาจยิ่งนัก!’

‘อย่าว่าแต่เวทีระดับคฤหาสน์เฉวียนโยวเลย…ต่อให้เป็นเวทีทั้งแดนสวรรค์ใต้ ก็ยังคงเล็กไปสำหรับมัน! อายุไม่ถึงร้อยปีไม่เพียงบรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด ยังเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ แถมยังหยั่งถึงธรณีประตู พื้นที่โน้มถ่วง ความลึกซึ้งประการที่ 3…อัจฉริยะเช่นนี้ไม่ปรากฏในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวมานับพันหมื่นปีแล้ว’

‘ดูเหมือนนิกายอมตะเป้าผู่เรา จักได้สมบัติล้ำค่ามาแล้วจริงๆ!!’

จังหวะนี้ซุนเหลียงเผิงยอมรับในความสามารถของต้วนหลิงเทียนหมดใจ จากนั้นด้ายสีทองที่กำลังฝ่าสนามแรงโน้มถ่วงเข้าไป ก็อันตรธานหายไปในทันที

“หืม?”

พอเห็นว่าในห้วงเวลาสำคัญ ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่กลับถอนรั้งพลังกลับไปหน้าตาเฉย ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งไปอยู่บ้าง ด้วยไม่ทราบว่าประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร

“ข้าเห็นพลังของเจ้าแล้ว…เท่านี้ก็เกินพอ”

ซุนเหลียงเผิงเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มพึงใจ

ขณะเดียวกันก็หันไปมองจางกวงเจิ้งที่เริ่มเหินตามขึ้นมาบนฟ้า “ศิษย์พี่จางท่านเดินทางมาเหนื่อยๆเช่นนั้นท่านไปพักก่อนเถอะ…ต่อจากนี้ข้าจัดการเอง”

“ได้”

จางกวงเจิ้งย่อมเข้าใจสิ่งที่ซุนเหลียงเผิงคิดจะทำ ไม่มีอะไรมากไปกว่าหลังได้เห็นความสามารถของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็คิดจะต้อนรับต้วนหลิงเทียนเข้าสู่นิกายเป็นการส่วนตัว ให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของนิกายอมตะเป้าผู่

เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีอะไรทำให้ผู้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของนิกาย รวมถึงรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากนิกายไปมากกว่ามีประมุขนิกายมาดูแลจัดการเรื่องราวให้เป็นการส่วนตัว

ดังนั้นหลังจางกวงเจิ้งหันไปร่ำลาต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย มันก็จากไปอย่างรู้งานทันที

“ต้วนหลิงเทียนเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปยังคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เรา…เดิมทีข้ารับปากเจ้าไว้ว่าจะให้เจ้าเลือกสมบัติในนั้นได้ตามใจสองชิ้น แต่ตอนนี้พอเห็นความสามารถของเจ้า เรื่องที่เจ้าเอ่ยขอสมบัติ 3 ชิ้นมาในตอนแรกนั้น นับว่าเหมาะสมแล้วจริงๆ เช่นนั้นข้าจักให้เจ้าเลือกสิ่งใดก็ได้ตามใจเจ้ากลับไป 3 ชิ้น”

หลังจากที่จางกวงเจิ้งเหินร่างจากไป ซุนเหลียงเผิงก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
novel-lucky

‘ซุนเหลียงเผิงผู้นี้ไม่เพียงวางตัวได้อย่างดีทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจและเป็นกันเอง แต่ยังรู้จักวิธีซื้อใจผู้คนเป็นอย่างดี!’

ต้วนหลิงเทียนย่อมมองออกได้ทันที ว่าที่ซุนเหลียงเผิงกำลังกระทำอยู่ ล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อใจเขา หรือกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำให้เขารู้สึกติดค้างและบังเกิดความรู้สึกว่าต้องตอบแทนบุญคุณในภายหลัง

“ท่านประมุข หากข้าเห็นสิ่งที่ข้าสนใจในนั้นเป็นชิ้นที่ 3 ข้าก็ขอรบกวนท่านประมุขแล้ว…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวพลางคลี่ยิ้มบางๆ

และความนัยวาจาของเขาก็เข้าใจได้ง่ายดายนัก

เขาจะเลือกของที่ต้องการในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่แค่ 2 ชิ้นตามข้อตกลงก่อนหน้า เว้นเสียแต่จะพบเจอของชิ้นที่ 3 ที่ทำให้เขาสนใจและอยากได้จริงๆ เขาถึงจะเลือกติดค้างน้ำใจซุนเหลียงเผิง

และหากไม่มีอะไรที่เขาต้องการเป็นชิ้นที่ 3 จริงๆ ก็หมายความว่าเขาไม่ได้ติดค้างอะไรซุนเหลียงเผิงหรือนิกายอมตะเป้าผู่เลย

“ตามใจเจ้า”

รอยยิ้มบนใบหน้าซุนเหลียงเผิงยังคลี่กางสดใสไม่แปรเปลี่ยน หากแต่ในใจคล้ายมีระลอกคลื่นก่อตัว ‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้แม้จะยังเยาว์แต่มิใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันจริงๆ…คนธรรมทั่วไปลองพบเจอกับการยั่วยวนด้วยสมบัติล้ำค่า คงยากที่จะสงบจิตสงบใจ ทำตัวคล้ายไม่นับเป็นเรื่องอะไรเช่นมันได้’

‘ตัวตนเช่นมันขอเพียงไม่ตกตายไปก่อนวัยอันควร วันหน้าเมื่อเติบโตต้องกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่มากแน่…ไม่ต้องกล่าวถึงเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยวด้วยซ้ำ กระทั่งแดนสวรรค์ใต้อาจจะยังคับแคบเกินไปสำหรับมัน!’

จังหวะนี้ซุนเหลียงเผิงไม่กล้าดูเบาต้วนหลิงเทียน เพราะเห็นว่ายังเยาว์และพลังฝึกปรืออ่อนด้อยอีกต่อไป..

คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่นั้น ได้รับการป้องกันจากค่ายกลอันทรงพลังมากมาย และค่ายกลที่ว่ายังทรงพลังถึงขั้นที่ ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะทั่วๆไปมาเอง ก็ยังไม่อาจฝ่าทำลายได้เลย

ด้วยเหตุนี้คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ จึงไม่มีผู้ใดอยู่เฝ้าแม้แต่คนเดียว!

เพราะมันไม่จำเป็น!!

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอาจจะเห็นว่าข้าพาเจ้าฝ่าค่ายกลเข้ามาง่ายๆ แต่อย่าได้หลงคิดว่ามันจะง่ายอย่างที่ตาเห็นเชียว…หากไม่ใช่เพราะเป็นข้าพาเจ้าเข้ามา ต่อให้เป็นจอมราชันอมตะทั่วไปบุกเข้ามาล่ะก็ น่ากลัวคงได้แต่กลับบ้านมือเปล่า”

ขณะที่เดินผ่านช่องทางใต้ดินอันสลับซับซ้อน ซุนเหลียงเผิงก็เอ่ยขึ้นกับต้วนหลิงเทียนเสียงเบา

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

อันที่จริงในระหว่างทางที่มา เขาที่สังเกตเห็นท่าทีเคร่งเครียดจริงจังของซุนเหลียงเผิงขณะจัดการปิดค่ายกลไปทีละค่ายๆ เขาก็รู้แล้วว่าค่ายกลที่ปกป้องคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่อยู่มันน่ากลัวขนาดไหน นับว่าไม่ใช่อะไรที่ค่ายกลทั่วๆไปจะนำมาเปรียบเทียบได้เลย

จากนั้นไม่นานนัก ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามซุนเหลียงเผิงมาถึงแท่นบูชาแห่งหนึ่ง เป็นแท่นบูชาที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย และด้านบนก็ปรากฏรูปปั้นมนุษย์ตั้งตระหง่านอยู่

รูปปั้นมนุษย์ที่ว่า มองไปก็เห็นเป็นรูปปั้นนักพรตเต๋าคนหนึ่ง ที่ชูกระบี่ 3 ฉื่อสีเขียวแทงขึ้นฟ้า แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นไร้ชีวิต แต่ช่างให้ความรู้สึกอันทรงพลังน่าเกรงขามนัก!

“รูปปั้นที่เจ้าเห็นอยู่ก็คือบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนิกายอมตะเป้าผู่ของพวกเรา”

ซุนเหลียงเผิงปนระสานมือพลางโค้งหัวคำนับให้รูปปั้นเบื้องหน้า 3 ครั้ง ก่อนจะหันมากล่าวบอกคววามเป็นมาของรูปปั้นให้ต้วนหลิงเทียนฟัง

หลังจากนั้นภายใต้การชมมองอยู่ข้างๆของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็ได้ทำสัญลักษณ์มืออันซับซ้อนอยู่ราวๆ 1 เค่อ

และในที่สุดพอซุนเหลียงเผิงหยุดมือ วงเวทย์อาคมอันมีลวดลายสลับซับซ้อนก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า จากนั้นพอซุนเหลียงเผิงจ่ายพลังลงสู่ลวดลายดังกล่าว ก็เห็นเป็นพลังสีทองหลั่งไหลไปตามลวดลายต่างๆ แลดูงดงามไม่น้อย

จนเมื่อพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดสีทองไหลผ่านตามลวดลายสลับซับซ้อนจนหมด วงเวทย์อันมีลวดลายสลับซับซ้อนก็ประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา เหินบินไปยังรูปปั้นบนแท่นบูชาทันที

หลังจากที่วงเวทย์อันเรืองสว่างไปด้วยเส้นพลังสีทองประทับลงสู่ตัวรูปปั้น สองตาของรูปปั้นก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้า จากนั้นก็ยิงลำแสงสีทองพุ่งออกมา 2 สาย

พร้อมกันนั้นเอง

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

เสียงหอนกระบี่พลันแว่วดังขึ้นในอากาศ เป็นกระบี่สีเขียว 3 ฉื่อที่รูปปั้นถือชี้ฟ้าอยู่ ได้ปลดปล่อยรังสีกระบี่สีทองออกมาเป็นชุด และในที่สุดก็ผสานหลอมรวมเข้ากับลำแสงสีทอง 2 สายที่พุ่งยิงออกมาจากดวงตาของรูปปั้น

ซุ่มมม!!

ซุ่มมม!!

ชั่วพริบตาแสงสีทองที่ผสานหลอมรวมกันก็กลับกลายเป็นลำแสงขนาดใหญ่ เล็งจี้มาทางต้วนหลิงเทียนกับซุนเหลียงเผิง!

“ทำตัวตามสบาย อย่าได้ต่อต้าน”

ซุนเหลียยงเผิงเอ่ยเตือนต้วนหลิงเทียน

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงเตือนของซุนเหลียงเผิงดังขึ้น ลำแสงสีทองดังกล่าวก็สาดส่องปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนเอาไว้แล้ว ทำให้เขารู้สึกเสมือนกำลังจะถูกฉุดดึงไปที่ไหนสักแห่ง

เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะต่อต้านอยู่หรอก แต่พอได้ยินคำเตือนของซุนเหลียงเผิง เขาก็เลิกแข็งขืนต่อต้านทันที

‘นี่มัน…ค่ายกลเคลื่อนย้ายงั้นเหรอ?’

ยิ่งถูกลำแสงสีทองสาดส่องนานเข้า ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงฉุดดึงที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นฉากเรื่องราวเบื้องหน้าสองตาต้วนหลิงเทียนก็ดับมืดไปทันที ครู่ต่อมาใต้เท้าเขาก็เริ่มเปล่งแสงสว่างจ้า

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมบอกได้ทันที ว่าลำแสงสีทองนั่นที่แท้ก็คือลำแสงส่งตัวของค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นเอง

จนเมื่อสองงตาต้วนหลิงเทียนมองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง เขาก็พบว่าได้มาปรากฏตัวอยู่ในโถงถ้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว