แต่เนื่องจากที่นั่งเต็มแล้ว เธอเลยได้แต่ไปนั่งร่วมโต๊ะกับเฉินเสี่ยวจาว

ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยง นายผู้เฒ่าได้ลุกขึ้นมาก่อน กล่าวขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ

เมื่อถึงช่วงที่ต้องกล่าวขอบคุณแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน คุณท่านซ่งก็เอ่ยเสริมไปว่า “ขอบคุณอย่างยิ่งที่ปรมาจารย์เย่ให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหลานสาวผู้แซ่ซ่งในวันนี้!”

เมื่อคุณท่านซ่งเอ่ยประโยคนี้ออกมาคุณชายสามตระกูลขงที่นั่งอยู่ในโต๊ะแขกผู้มีเกียรติ ก็มีสีหน้าทะมึนลงทันที

เล่นบ้าอะไรอยู่?

นายผู้เฒ่าของตระกูลซ่งคนนี้ไม่รู้จักประเมินคุณค่าขนาดนี้เชียว? ตนให้เกียรติมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดหลานสาวอย่างเอิกเกริก แต่เขากลับไม่กล่าวขอบคุณตนเป็นลำดับแรกหรือ?

เมื่อนึกถึงจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองเย่เฉินที่นั่งร่วมโต๊ะกันอยู่แวบหนึ่ง

ไอ้หนุ่มนี้ดูธรรมดาสามัญ ไม่รู้เลยว่าทำไมนายผู้เฒ่าตระกูลซ่งถึงได้เกรงเขาขนาดนี้

หลังจากเอ่ยขอบคุณไปตามระเบียบแล้ว ถึงได้เอ่ยขอบคุณคุณชายสามตระกูลขง

เมื่อเห็นว่าความโดดเด่นของตนถูกเย่เฉินที่หัวนอนปลายเท้าไม่กระจ่างฉกชิงไปแล้ว คุณชายสามตระกูลขงก็รู้สึกโมโหอยู่ในใจ

ในเวลานี้ คุณท่านซ่งกล่าวจบแล้ว จึงให้ซ่งหวั่นถิงขึ้นไปเอ่ยขอบคุณบ้าง

ซ่งหวั่นถิงยืนขึ้นอย่างสง่างามเช่นเดียวกับคุณท่านซ่ง ขณะที่เอ่ยขอบคุณแขกเหรือก็แสดงความขอบคุณต่อเย่เฉินเป็นลำดับแรกสุดเช่นกัน

ระหว่างที่พูดๆ อยู่นัยน์ตาโตก็มองไปทางเย่เฉินย่างแฝงความสิเน่หา เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ขอบคุณปรมาจารย์เย่เป็นอย่างยิ่งที่แม้จะงานยุ่งรัดตัว ก็ยังสละเวลามาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของฉัน ทำให้ฉันปลาบปลื้มตื้นตันนัก”

หลังจากขอบคุณไปตามพิธีการแล้ว ซ่งหวั่นถิงก็เอ่ยอีกว่า “นอกเหนือจากขอบคุณปรมาจารย์แย่แล้ว หวั่นถิงยังต้องขอขอบคุณสหายทุกท่านที่มาร่วมงานในวันนี้ ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของพวกคุณ”

พอกล่าวจบซ่งหวั่นถิงก็ค้อมกายให้ฝูงชนทีหนึ่ง

คุณชายสามตระกูลขงโมโหจนลมใกล้ออกจมูกแล้ว

ถึงแม้คุณท่านซ่งจะจัดตนไว้เป็นลำดับที่สอง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังไว้หน้าตนโดยเอ่ยถึงชื่อแซ่แล้วกล่าวขอบคุณ

แต่พอมาถึงซ่งหวั่นถิง ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่ชื่อแซ่ของตนก็ไม่เอ่ยถึงเลย เอาตนไปเหมารวมกับคนอื่นแล้วพูดทีเดียว ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่งจริงๆ

เวลานี้ เขากระซิบถามซ่งหรงวี่ที่อยู่ข้างกายแล้ว “เย่เฉินคนนั้นมีที่มายังไงกันแน่?”

ซ่งหรงวี่ไม่สบอารมณ์เย่เฉินอย่างยิ่งเสมอมา เพียงแต่ไม่กล้าเมินเฉยต่อเขา ยามนี้ได้ที เห็นว่าคุณชายสามตระกูลขงคล้ายจะไม่พอใจเย่เฉิน ด้วยเหตุนี้จึงผลักเรือตามน้ำกล่าวไปว่า “ตอนนี้เย่เฉินเป็นสุดยอดลูกเลยที่ค่อนข้างเลื่องชื่อในเมืองจินหลิงของพวกเราครับ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นซินแสที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดูเหมือนจะเป็นแพทย์แผนจีนอยู่นิดหน่อยด้วย ดังนั้นผู้คนเลยเรียกเขาว่าปรมาจารย์เย่ครับ”

เมื่อคุณชายสามตะกูขงฟังประโยคนี้จบ ก็อดไม่ได้ที่จะเบะปากทีหนึ่ง “ปรมาจารย์อึหมาอะไรกัน รู้ฮวงจุ้ยแค่นิดหน่อย รู้แพทย์แผนจีนเล็กน้อย ก็กล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์แล้วงั้นสิ? ถ้าไอ้คนประเภทนี้อยู่ในเย่นจิงล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะถูกคนซ้อมตายไปสักกี่หนตั้งนานนมแล้ว”

ซ่งหรงวี่รีบเอ่ยว่า “คุณชายสามพูดถูกแล้วครับ เมืองจินหลิงของพวกเราก็แค่สถานที่เล็กๆ แต่คุณอย่าได้ดูหมิ่นที่เล็กๆ นะครับ แม้ว่าวัดจะเล็กแต่ลมมรสุมกลับรุนแรง แม้ว่าน้ำจะตื้นแต่กลับไหลเชี่ยว ในบ่อน้ำแห่งนี้ใครบ้างที่ไม่เรียกขานว่าตนคือมังกรที่แท้จริง”

“เรียกขานว่าเป็นมังกรที่แท้จริง?” คุณชายสามตระกูลขงหัวเราะเยาะ เลิกคิ้วเอ่ยถาม “เย่เฉินคนนี้บอกว่าตนเองเป็นพญามังกรตัวจริงงั้นเหรอ?”

ซ่งหรงวี่เอ่ยกระซิบ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าเขาเรียกตัวเองไหม เพียงแต่ในแวดวงยุทธภพของจินหลิง ล้วนบอกว่าปรมาจารย์เย่เป็นพญามังกรตัวจริงในหมู่มนุษย์”

คุณชายสามตระกูลขงเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “เขาเป็นพญามังกรตัวจริงในหมู่มนุษย์? ฉันขงเต๋อหลงก็เป็นมังกรเหมือนกัน แถมยังเป็นมังกรจากตระกูลขงแห่งเมืองเย่นจิงด้วย วันนี้ฉันจะทำให้ได้เห็นเอง ว่าใครกันแน่ที่เป็นพญามังกรตัวจริงในหมู่มนุษย์!”

ซ่งหรงวี่รีบเอ่ยประจบประแจงทันที “ถ้าเอาเย่เฉินมาเทียบกับคุณชายเข้าจริงๆ นั่นคงจะด้อยกว่ามากมากจริงๆ ครับ เกรงว่าคงจะเทียบแม้แต่ขนสักเส้นของคุณไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” คุณชายสามตระกูลขงเชิดหน้าจมูกชี้ฟ้า เหลือบมองเย่เฉินแวบหนึ่ง ยิ้มเยาะอยู่ในใจ “แค่ไอ้กระจออกที่โผล่มาในสถานที่เล็กๆ คนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้ามาแย่งความโดดเด่นกับฉัน วันนี้คุณชายอย่างฉันที่เป็นพญามังกรข้ามธารา จะลงมีดกับแกก่อนเป็นอันดับแรก และจะทำให้พวกตาแก่หูตาฟั่นเฟือนของเมืองจินหลิงพวกนี้ได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นพญามังกรตัวจริงในหมู่มนุษย์!”

————