ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สถานศึกษาหลี่จี้
ท่ามกลางหิมะใหญ่อันหนาวเหน็บ ฉวยโอกาสที่อาจารย์และปัญญาชนของสถานศึกษากำลังถกปัญหาสร้างวิชาความรู้ เหมาเสี่ยวตงจึงมานั่งชมหิมะอยู่ในศาลาเพียงลำพัง เขาถูมือเข้าด้วยกันเบาๆ ท่องบทร้อยแก้วผลงานชิ้นเล็กซึ่งเป็นที่ติดปากของผู้คนไปด้วย เมฆานภากาศขุนเขาสายน้ำก่อกั้นด้วยขาว ชาวประมงนักร่ำสุราเรือจอดเทียบท่าดั่งจุดเล็กจ้อย
ตอนนี้อารมณ์ของเหมาเสี่ยวตงไม่ได้ผ่อนคลายนัก เพราะเรื่องที่สำนักศึกษาซานหยาจะได้หวนกลับมาเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักอีกครั้งกลับถูกถ่วงเวลามานานหลายปีขนาดนี้ ทุกวันนี้ขนาดการขุดเจาะลำน้ำใหญ่และการสร้างเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีในแจกันสมบัติทวีปต่างก็ดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว จึงดูเหมือนว่าเขาเหมาเสี่ยวตงคือคนที่อืดอาดชักช้าที่สุด หากไม่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างตนกับซิ่วหู่แห่งต้าหลีย่ำแย่เกินไป อีกทั้งเขายังไม่ยินดีจะมีการไปมาหาสู่ใดๆ กับชุยฉาน ไม่อย่างนั้นป่านนี้เหมาเสี่ยวตงก็คงเขียนจดหมายส่งไปให้ชุยฉาน บอกว่าความสามารถน้อยนิดแค่นี้ของตน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวแล้ว เจ้ารีบเปลี่ยนคนที่มีความสามารถมาควบคุมงานใหญ่ที่นี่โดยด่วน ขอแค่ให้สำนักศึกษาซานหยาได้กลับสู่ระบบสืบทอดดั้งเดิมของศาลบุ๋น ข้าก็จะเห็นแก่น้ำใจของเจ้าแล้วกัน
เพียงแต่เหมาเสี่ยวตงเองก็รู้ดีว่า ไม่ว่าจะเขียนจดหมายหรือไม่ ล้วนไม่มีความหมายอะไร เจ้าตะพาบชุยฉานผู้นั้นไม่ใช่คนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนเลย ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ล้วนมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์อย่างเดียวเท่านั้น ในเมื่อชุยฉานเลือกให้ตนเป็นคนนำขบวนพาทุกคนออกเดินทางไกล หลังจากนั้นกลับไม่เคยถามไถ่อะไรอีก ก็น่าจะเป็นเพราะว่าชุยฉานมีแผนการเป็นของตัวเองตั้งแต่แรกแล้ว
ชุยฉานสามารถรอได้ แต่เหมาเสี่ยวตงกลับร้อนใจจนควันแทบจะผุดออกจากลำคออยู่แล้ว
ใบถงทวีปเละเป็นโจ๊กหม้อหนึ่งไปแล้ว ทางฝ่ายสถานศึกษาหลี่จี้แห่งนี้ยังมีรายงานข่าวส่งมาทุกวัน เมื่อเทียบกับสงครามเลียบมหาสมุทรระหว่างฝูเหยาทวีปกับกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่ต่างฝ่ายต่างมีแพ้มีชนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของฝูเหยาทวีปทั้งหลายยังพยายามเลือกสนามรบไว้ที่นอกมหาสมุทร หลีกเลี่ยงไม่ให้เวทคาถาชนิดต่างๆ ที่ใช้เข่นฆ่ากับเผ่าปีศาจไปโดนกองกำลังของราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ บนบกโดยไม่ทันระวัง นอกจากผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีความกล้าหาญนี้แล้ว ยังเกี่ยวพันกับการที่ฉีถิงจี้ เสินโจวจือและยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งของฝูเหยาทวีปร่วมมือกันลอบโจมตีเผ่าปีศาจอย่างกะทันหันครั้งหนึ่งอย่างมาก
หันกลับไปมองใบถงทวีปที่ตั้งแต่แรกเริ่มก็เลือกที่จะใช้วิธีเฝ้าพิทักษ์ทวีป สถานการณ์ทางการรบก็เรียกได้ว่าเละเทะไม่เป็นท่า นับตั้งแต่ตระกูลเซียนบนภูเขาไปจนถึงราชวงศ์โลกมนุษย์ ไม่ว่าแห่งหนใดเพียงแตะไปโดนก็พังทลาย ทุกวันนี้ได้แต่อาศัยสถานศึกษาใหญ่สามแห่งกับตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหลายประคับประคองสถานการณ์ไว้อย่างยากลำบาก สำนักกุยหยกนั้นบอกได้แค่ว่าสถานการณ์การเฝ้าพิทักษ์มั่นคง สำนักใบถงกับสำนักฝูจีมีแววว่าจะเกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักฝูจีที่อยู่ติดทะเล อาณาเขตเริ่มหดเล็กเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มีเพียงภูเขาไท่ผิงเท่านั้นที่ทำให้คนต้องมองเสียใหม่ ภายใต้การปกป้องของค่ายกลใหญ่แห่งขุนเขาสายน้ำที่ได้ทั้งพิทักษ์และป้องกันแห่งนั้น กลับมีผู้ฝึกตนถึงหนึ่งพันคนจับมือกันออกจากสำนักมาเข่นฆ่า สร้างวีรกรรมใหญ่ที่ได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาล เทียนจวินผู้เฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงที่เดิมทีขอบเขตถดถอยไปแล้วขั้นหนึ่ง ภายใต้การปลุกเสกเต็มกำลังให้กับค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงกับค่ายกลใหญ่บ้านตัวเอง กายธรรมอันยิ่งใหญ่โอฬารถือกระจกใหญ่ประหนึ่งเซียนเหรินประคองจันทราไว้ในมือ แสงพิสุทธิ์สาดกระจายไปสี่ทิศ ทุกที่ที่แสงจันทร์ส่องไปถึง ผู้ฝึกตนของภูเขาไท่ผิงรุกและถอยได้ดั่งใจปรารถนา สังหารศัตรูได้อย่างง่ายดายดุจบดขยี้มด…
เหมาเสี่ยวตงอยากจะโยนตำแหน่งเจ้าขุนเขานี่ทิ้งแล้วดิ่งไปเฝ้าพิทักษ์ที่นครมังกรเฒ่าเต็มทีแล้ว แทนที่จะให้เบิกตามองดูสถานการณ์อยู่เฉยๆ ที่นี่ทุกวันก็ไม่สู้ให้เขาไปทำอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันยังดีกว่า
เหมาเสี่ยวตงพาลูกศิษย์ของสำนักศึกษากลุ่มใหญ่เดินทางไกลข้ามทวีปมาถึงที่นี่ เขาที่เป็นเจ้าขุนเขาทั้งต้องปกป้องพวกลูกศิษย์ให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน แล้วก็พยายามที่จะไม่ขัดแย้งกับปัญญาชนของสถานศึกษา แล้วยังต้องพยายามทวงคืนยศหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษามาจากศาลบุ๋นด้วย ดังนั้นหลายปีมานี้เหมาเสี่ยวตงจึงไม่ได้สุขสบายนัก ประเด็นสำคัญคือซิ่วหู่ต้าหลีไม่ได้บอกวิธีที่จะทำให้เรื่องสำเร็จแก่เหมาเสี่ยวตง และพอมาถึงสถานศึกษาหลี่จี้แล้ว ผู้อำนวยการใหญ่ก็ไม่ได้บอกกับเหมาเสี่ยวตงว่าทำอย่างไรถึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ ได้แต่บอกให้เหมาเสี่ยวตงรอฟังข่าว เหมาเสี่ยวตงจึงได้แต่ให้เมล็ดพันธ์บัณฑิตสามสิบกว่าคนที่มีหลี่เป่าผิงเป็นหนึ่งในนั้นสงบใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี
อันที่จริงเหมาเสี่ยวตงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง เพราะจะสามารถเลื่อนเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาได้หรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความรู้สูงต่ำตื้นลึกของเจ้าขุนเขา
เมื่อก่อนตอนที่ศิษย์พี่ฉีจิ้งชุนยังมีชีวิตอยู่ สำนักศึกษาซานหยาเคยได้รับเกียรตินี้ เหมาเสี่ยวตงไม่รู้สึกลำบากใจแม้แต่น้อย รอกระทั่งเขากลายมาเป็นประมุขด้วยตัวเองกลับรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเป็นทบทวี เจ้าขุนเขาอย่างตนพึ่งไม่ได้ ตามหลักแล้วก็ได้แต่พึ่งลูกศิษย์เท่านั้น ทว่าในเรื่องของทรัพยากรนักเรียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักศึกษาซานหยาในเมืองหลวงต้าหลีหรือสำนักศึกษาซานหยาหลังจากย้ายไปต้าสุยแล้ว อันที่จริงก็ล้วนไม่อาจเอาชนะสำนักศึกษากวานหูได้ ก่อนจะย้ายไป ทั้งสำนักศึกษาซานหยาและสำนักศึกษากวานหูต่างก็ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา ทว่าเมล็ดพันธ์บัณฑิตระดับหัวกะทิของแจกันสมบัติทวีปกลับยังคงชอบไปเสี่ยงโชคที่สำนักศึกษากวานหูก่อนอยู่ดี หากสอบไม่ผ่านถึงจะเลื่อนมาเลือกในลำดับรอง นั่นคือไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าหลีในเวลานั้น อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่รองเจ้าขุนเขาหลายคนอย่างพวกเหมาเสี่ยวตงและอดีตฮ่องเต้ของต้าหลีต่างก็รู้สึกไม่พอใจนัก มีเพียงศิษย์พี่ที่นิ่งเฉยปล่อยเลยตามเลยเสมอมา ไม่ว่าในสำนักศึกษาจะมีลูกศิษย์หรือปัญญาชนแบบใดมาขอความรู้ ก็แค่ให้พวกอาจารย์ทั้งหลายตั้งใจสั่งสอนอบรมไปเป็นพอ
แต่ตอนที่ฉีจิ้งชุนเป็นเจ้าขุนเขา เรื่องบางอย่างในสำนักศึกษาซานหยาที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเลยก็คือ ทุกปีจะต้องเลือกลูกหลานตระกูลยากจนจากอำเภอและเขตปกครองของท้องถิ่นมากลุ่มหนึ่ง ต่อให้พื้นฐานความรู้ของคนเหล่านี้จะย่ำแย่มาก สำนักศึกษาก็ยังจะรับไว้ทุกปี ฉีจิ้งชุนจะเป็นคนถ่ายทอดความรู้ให้พวกเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นพวกเมล็ดพันธ์บัณฑิตชั้นยอดที่มีพรสวรรค์ฉลาดเฉลียว มีชาติกำเนิดดีเยี่ยมมากมายของแจกันสมบัติทวีปจึงไม่ค่อยยินดีมาศึกษาต่อที่สำนักศึกษาซานหยา แล้วก็ไม่ยินดีที่จะเป็นเพื่อนร่วมสำนักร่วมชั้นเรียนกับลูกหลานคนยากจนเหล่านี้
เหมาเสี่ยวตงจำได้อย่างชัดเจนว่า อดีตฮ่องเต้ต้าหลีเคยมาเยือนสำนักศึกษาแล้วได้บอกเตือนศิษย์พี่อย่างลับๆ แสดงท่าทีให้รู้ว่าเมืองหลวงต้าหลียินดีรับปัญญาชนยากจนกลุ่มนี้ รับรองว่าจะไม่ถ่วงรั้งเวลาของเหล่าบัณฑิตหรือปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรมเด็ดขาด ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น วงการขุนนางต้าหลียังจะบุกเบิกเส้นทางที่ราบรื่นให้แก่พวกเขาโดยเฉพาะ อาจารย์ฉีและสำนักศึกษาก็จะไม่ต้องเหนื่อยใจอีกแล้วไม่ใช่หรือ? ด้วยวิชาความรู้ของอาจารย์ฉีนั้นสามารถคัดเลือกเอาเมล็ดพันธ์ที่ดีที่สุดของสำนักศึกษามาได้เลย
ศิษย์พี่ยิ้มเอ่ยไปตามตรงว่า ต่อให้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะลืมกำพืดตัวเอง แต่นี่ก็ออกจะเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่
เรื่องนี้จึงจบลงอย่างค้างคาเช่นนี้
ดังนั้นก่อนที่จะไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู เจ้าขุนเขาฉีจิ้งชุนจึงไม่มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอะไร เขาสอนทั้งลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่รากฐานความรู้ค่อนข้างลึกล้ำ กระทั่งลูกหลานคนยากจนจากหมู่บ้านชนบทก็สอนด้วยตัวเองเช่นกัน
อันที่จริงสถานศึกษาหลี่จี้แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่แปลกใหม่สำหรับเหมาเสี่ยวตง เขาเคยเดินทางมาทัศนศึกษาที่นี่พร้อมกับศิษย์พี่สองคนอย่างจั่วโย่วและฉีจิ้งชุน ผลคือศิษย์พี่สองคนไม่ได้อยู่นานนัก แต่ทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว ไม่บอกไม่กล่าวก็พากันจากไป ทิ้งจดหมายไว้แค่ฉบับเดียว ศิษย์พี่ฉีเขียนบอกไว้ในจดหมายด้วยถ้อยคำที่ศิษย์พี่สมควรพูด แนะนำแนวทางการขอศึกษาต่อของเหมาเสี่ยวตง ควรจะขอวิชาความรู้จากใคร ควรจะทุ่มเทตั้งใจกับตำราของอริยะปราชญ์เล่มใด สรุปก็คือปลอบประโลมจิตใจคนได้ดีเยี่ยม
แต่ศิษย์พี่จั่วกลับเขียนไว้ช่วงท้ายจดหมายบอกให้เขาเหมาเสี่ยวตงวางใจได้ หากถูกคนรังแกก็มาบอกศิษย์พี่ จำไว้ว่าอย่าไปรบกวนอาจารย์ เพราะศิษย์พี่ว่างมาก อาจารย์ยุ่งมาก
นี่จะทำให้เหมาเสี่ยวตงวางใจได้อย่างไร? นอกจากจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับความรู้ของอาจารย์แล้ว เหมาเสี่ยวตงหรือจะกล้าไปร้องทุกข์ฟ้องจั่วโย่วตามแต่ใจ ทุกครั้งศิษย์พี่จั่วไม่ลงมือก็แล้วไปเถิด แต่มีครั้งไหนบ้างที่ลงมือแล้วไม่ต้องให้อาจารย์ออกหน้าเก็บกวาดเรื่องเละเทะด้วยตัวเอง นอกจากนี้สายของหลี่เซิ่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็มีมิตรภาพอันดีกับอาจารย์บ้านตนมาโดยตลอด ดังนั้นปีนั้นเหมาเสี่ยวตงจึงได้แต่แข็งใจทำใจให้สบายแล้วศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นี่นานหลายปี
เหมาเสี่ยวตงเดินออกมาจากศาลา มายืนมองกลอนคู่อยู่ล่างขั้นบันได
เรื่องราวต้องประสบพบกับตนเอง บทความถ้อยคำจึงลึกซึ้ง
อักษรผสานรวมกับใจ จึงสัมผัสรสชาติในตำรา
เหมาเสี่ยวตงหันหน้ากลับไปมองก็เห็นหลี่เป่าผิงที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงถือไม้เท้าเดินป่า
รอกระทั่งหลี่เป่าผิงเดินมาหยุดอยู่ข้างกาย เหมาเสี่ยวตงถึงได้พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “โดดเรียนอีกแล้วหรือ?”
หลี่เป่าผิงพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง “บอกกับอาจารย์ไว้ก่อนแล้วว่าจะไปชมหิมะที่ทะเลสาบโหยวหนางกับพวกอาจารย์จ้งและพี่หญิงเตี๋ยจ้าง”
ตอนนั้นหลังจากที่จ้งชิวและเฉาฉิงหล่างออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็แยกทางกับชุยตงซาน เผยเฉียน ฝ่ายหลังหวนกลับแจกันสมบัติทวีป แต่พวกเขากลับเดินทางไปเยือนสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป แล้วถึงมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจร จากไปทีก็นานหลายปี สุดท้ายก็มาเยือนสถานศึกษาหลี่จี้ ได้ยินว่าเจ้าขุนเขาเหมากับหลี่เป่าผิงก็มาขอศึกษาที่สถานศึกษาพอดี จึงหยุดอยู่ที่นี่
ในช่วงเวลาระหว่างนี้เฉินซานชิวกับเตี๋ยจ้างก็มาถึงสถานศึกษาหลี่จี้พอดี เฉินซานชิวได้กลายเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษาแล้ว แต่เตี๋ยจ้างกลับต้องการรอคอยใครบางคน ไม่บังเอิญเลยที่สหายซึ่งเตี๋ยจ้างตามหาคนนั้น ว่ากันว่าได้ติดตามอริยะไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้ว
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “ทะเลสาบโหยวหนางแห่งนั้นมีอะไรให้น่าไปกัน ต้องเรียกว่าทะเลสาบก้นม้า (มาจากประโยค 拍马屁 ตบก้นม้าที่เปรียบเปรยถึงการประจบสอพลอ) ต่างหาก สร้างบทประพันธ์ยิ่งใหญ่อะไรกัน”
จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็เอ่ยเสียงเบาว่า “เป่าผิง คำพูดกันเองที่มาจากความเห็นส่วนตัวพวกนี้ ข้าแค่พูดกับเจ้าเท่านั้น เจ้าฟังแล้วก็ลืมไปเถอะ อย่าเอาไปพูดให้คนอื่นฟัง”
หลี่เป่าผิงกล่าว “ข้าไม่มีทางตัดสินบทประพันธ์ของคนอื่นว่าสูงหรือต่ำ ตัดสินว่าคนอื่นดีหรือเลวง่ายๆ ต่อให้จะต้องพูดถึงคนผู้นั้นจริงๆ ก็จะถือเสียว่าพูดถึงคนไปพร้อมกับจุดประสงค์ของความรู้ที่ต้องเลื่อมใสความเที่ยงตรงละทิ้งความงดงามแต่เปลือกด้วยเลย ข้าไม่มีทางดึงเอาแต่ประโยค ‘โหยวหนางรับน้ำมาจากธารสวรรค์ เติมเต็มถ้วยอายุยืนยาวหมื่นปี’ มาโต้เถียงกับคนอื่นไม่เลิกรา คำว่า ‘ตำราบันทึกเรื่องราวพันปี’ ‘น้ำใสไหลคดเคี้ยว’ ล้วนดีมาก”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ายิ้มรับ “ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหาความรู้หรืออยู่ร่วมกับคนอื่นล้วนต้องมีใจเป็นกลางเช่นนี้”
หลี่เป่าผิงลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “อาจารย์เหมาไม่ต้องกลัดกลุ้มมากเกินไป”
ก่อนหน้านี้นางเห็นว่าอาจารย์เหมาชมหิมะเพียงลำพังอยู่ไกลๆ หลี่เป่าผิงถึงได้เดินมาทักทายเจ้าขุนเขาเหมา
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “กลัดกลุ้มเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง แต่ไม่มีทางกลุ้มมากเกินไปแน่นอน เจ้าไม่ต้องห่วง”
หลี่เป่าผิงบอกลาจากไป
ไปพบกับจ้งชิว เฉาฉิงหล่างและพี่หญิงเตี๋ยจ้างที่จะไปชมหิมะตกยังทะเลสาบโหยวหนางด้วยกันอีกครั้ง
ทุกวันนี้เฉินซานชิวเป็นลูกศิษย์ของสถานศึกษาแล้ว ไม่สะดวกจะโดดเรียน อีกอย่างแม้ว่าเฉินซานชิวที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จะอ่านตำรามาไม่น้อย แต่เมื่อมาขอศึกษาที่สถานศึกษาจริงๆ กลับค้นพบว่าคิดจะไล่ตามคนอื่นให้ทันกลับไม่ง่ายเลย
อีกทั้งพออยู่ดีๆ เฉินซานชิวก็ได้เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษา ตอนที่เพิ่งมาถึงสถานศึกษาหลี่จี้ก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าสีหน้าเมตตาปราณีคนหนึ่งมาหาเขา พูดคุยพลางชมทัศนียภาพไปด้วยกัน ภายหลังเฉินซานชิวถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงผู้อำนวยการของสถานศึกษา ดังนั้นเฉินซานชิวจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมากเป็นพิเศษ เพราะว่าระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวจากทักษินาตยทวีปมายังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉินซานชิวได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด ดังนั้นเมื่อเทียบกับปัญญาชนสถานศึกษาหลายคนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนแล้ว เฉินซานชิวก็มีข้อได้เปรียบเป็นของตัวเอง กลางวันอาจารย์ถ่ายทอดวิชาความรู้ ตอนกลางคืนอ่านตำราด้วยตัวเอง แล้วยังสามารถบำรุงปณิธานกระบี่ไปพร้อมกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกด้วย
เตี๋ยจ้างยังคงอยู่คอขวดโอสถทอง นางกลับไม่รู้สึกอะไร เพราะถึงอย่างไรเฉินซานชิวก็เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้การยอมรับโดยทั่วกันอยู่แล้ว วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินยังเกี่ยวข้องกับโชคชะตาบุ๋นด้วย เฉินซานชิวฝ่าทะลุขอบเขตได้ก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้เตี๋ยจ้างก็เปลี่ยนจากสภาพจิตใจที่ขมึงตึงมาเป็นผ่อนคลายในฉับพลันแล้ว ดูเหมือนว่าพอออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่การเข่นฆ่าดำเนินไปอย่างดุเดือดแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่ออีก
พอคิดถึงว่าวันใดวันหนึ่งจะได้พบเจอกับวิญญูชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นอีกครั้ง เตี๋ยจ้างก็รู้สึกตื่นเต้น อีกทั้งใต้หล้าแห่งที่ห้ายังต้องใช้เวลาอีกร้อยปีถึงจะเปิดประตูอีกครั้ง พอถึงเวลานั้นนางกับเฉินซานชิวถึงจะสามารถไปพบพวกหนิงเหยาที่อยู่ในสถานที่ที่ยากจะแบ่งแยกได้ว่าเป็นต่างบ้านต่างเมืองหรือบ้านเกิดกันแน่แห่งนั้น
ดังนั้นหลี่เป่าผิงถึงได้มักจะพาพี่หญิงเตี๋ยจ้างไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ด้วยกันเป็นประจำ
เหมาเสี่ยวตงมองตามทิศทางที่พวกเขาจากไป
หลี่เป่าผิงที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง และยังมีเฉาฉิงหล่างที่เป็นบัณฑิตสวมชุดสีเขียว ต่างก็เคยชินที่จะถือไม้เท้าเดินป่าออกเดินทาง
เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม ค่อนข้างจะปลาบปลื้มใจ ความกลัดกลุ้มในใจก็หล่นลงพื้นไปตามเกล็ดหิมะด้วย
ไม่ว่าจะอย่างไร ควันธูปสายบุ๋นนี้ของตนก็ไม่ได้โยกคลอนไปตามสายลมสายฝน อาจจะดับสลายหายไปได้ทุกเมื่ออีกแล้ว
ความประทับใจที่เหมาเสี่ยวตงมีต่อเฉาฉิงหล่างนั้นดีเยี่ยมมาก อีกทั้งเฉาฉิงหล่างยังเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศิษย์น้องเล็กอย่างเฉินผิงอัน
ตามลำดับอาวุโสแล้วต้องเรียกตนว่าอาจารย์ลุง!
ในความเป็นจริงแล้วครั้งแรกที่เฉาฉิงหล่างพบกับตนก็คารวะพลางเรียกอาจารย์ลุงแล้ว
เหมาเสี่ยวตงจะไม่ดีใจได้หรือ?
เพราะเรื่องบางอย่าง พวกเป่าผิงน้อย หลินโส่วอีก็ได้แต่เรียกตนว่าเจ้าขุนเขาเหมาหรือไม่ก็อาจารย์เหมา และตัวเหมาเสี่ยวตงเองก็ไม่เคยรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาก่อน
ถึงอย่างไรแม่นางน้อยเผยเฉียนก็เป็นลูกศิษย์ที่สืบทอดวิชาหมัดของเฉินผิงอัน ดังนั้นถึงท้ายที่สุดแล้วลูกศิษย์รุ่นที่สามที่ถูกหลักทำนองคลองธรรมมากที่สุดของสายเหวินเซิ่ง ตอนนี้จึงยังมีเพียงแค่เฉาฉิงหล่างคนเดียว
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่หมุนตัวเดินออกไปจากศาลา จะไปอ่านหนังสือต่อ คิดว่าพอกลับไปถึงที่พักแล้วจะอุ่นเหล้าสักกา เปิดหน้าต่างอ่านตำราท่ามกลางหิมะตก ยอดเยี่ยมเหลือจะกล่าว
คาดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีคนยิ้มตะโกนเรียก “เสี่ยวตงอ่า”
น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลอดวงตาของเหมาเสี่ยวตงทันที เขาหมุนตัวกลับช้าๆ รีบประสานมือคารวะ เนิ่นนานก็ยังไม่ยอมยืดตัวขึ้น ก้มหน้าพูดเสียงสั่นว่า “ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!”
ซิ่วไฉเฒ่ารออยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าลูกศิษย์ยังคงไม่ยืดตัวขึ้นก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย ได้แต่เดินลงมาจากบันได มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเหมาเสี่ยวตง ซิ่วไฉเฒ่าที่เตี้ยกว่าอีกฝ่ายเกือบหนึ่งช่วงศีรษะต้องเขย่งปลายเท้าตบไหล่ลูกศิษย์ “เล่นอะไรของเจ้า กว่าอาจารย์จะตีหน้าเคร่งให้สมกับเป็นอาจารย์ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าดันมองไม่เห็น ทำเอามาดที่อาจารย์อุตส่าห์ซ้อมมานานต้องเสียเปล่าแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงรีบยืดเอวตรง แต่กลับงอหลังลงเล็กน้อย ฟันกระทบกันเบาๆ ด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะเอ่ยเรียกว่าอาจารย์อย่างนอบน้อมอีกรอบ
ร้อยกว่าปีมาแล้วที่ตนไม่ได้พบหน้าอาจารย์เลย
อาจารย์ของตนท่านนี้ตัวไม่สูง แต่ความรู้กลับหนาเท่าแผ่นดินสูงเท่าแผ่นฟ้า!
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “เรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม พอได้แล้วนะ เสี่ยวตงอ่า ไม่ใช่ว่าอาจารย์ตำหนิเจ้าจริงๆ นะ ทุกครั้งที่เห็นเจ้าประสานมือคารวะ อาจารย์ใจคอไม่ดีตลอดเลย ปีนั้นก็รู้สึกแล้วว่าเหมือนการจุดธูปไหว้ภาพเหมือนของคนที่ตายไปแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยอย่างละอายใจ “ศิษย์ผิดไปแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างจนใจ “ผิดอะไรกัน เป็นเพราะอาจารย์ไม่ถือสาพิธีการมารยาทมากเกินไป แต่ลูกศิษย์กลับยึดติดพิธีการมารยาทเกินไปต่างหาก ล้วนเป็นเรื่องดี เฮ้อ เสี่ยวตงอ่า เจ้าควรจะหัดเอาอย่างศิษย์น้องเล็กของเจ้าให้มากจริงๆ”
เหมาเสี่ยวตงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร จึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิด
ซิ่วไฉเฒ่าพาเหมาเสี่ยวตงเดินเข้ามาในศาลา เหมาเสี่ยวตงเดินตามหลังอาจารย์อยู่ก้าวหนึ่งตลอดเวลา
สุดท้ายนั่งลงตรงข้ามกับอาจารย์ เหมาเสี่ยวตงยืดเอวนั่งตัวตรงอย่างสำรวม
ซิ่วไฉเฒ่าไม่โทษที่ลูกศิษย์คนนี้ตาไร้แวว เพียงแต่รู้สึกสงสารอยู่บ้าง