ซิ่วไฉเฒ่าพลันลุกขึ้นยืน กระโดดเหยงแล้วถ่มน้ำลายไปด้านนอก “วิชาความรู้ทั่วร่างฟ้าดินขานรับ ชายแขนเสื้อสองข้างมีเพียงลมเย็นไร้สิ่งใดอื่น โหยวหนางดึงน้ำจากธารสวรรค์ ปากอมบัญชาฟ้าสร้างทะเลสาบใหญ่…ถุย!”
ความประทับใจที่ซิ่วไฉเฒ่ามีต่อคนที่เหมาเสี่ยวตงกับหลี่เป่าผิงพูดถึงก่อนหน้านี้นับว่ายังพอใช้ได้ เพียงแต่ว่าสำหรับปัญญาชนคนรุ่นหลังที่แต่งกวีมาประจบเอาใจคนผู้นี้ นั่นก็ต้องบอกว่านึกอยากจะเอาบทกวีมารวบรวมให้เป็นเล่มแล้วโยนเข้าไปยังศาลบุ๋นในท้องถิ่นแคว้นใดแคว้นหนึ่ง แล้วค่อยถามเจ้าคนที่ถูกอวยยศย้อนหลังให้เป็นเหวินเจินกงว่ารู้สึกอับอายบ้างหรือไม่ แต่ยามที่คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือด้านการสร้างสรรงานศิลปะหรือบทความเสนอแนวทางปรับปรุงแก้ไขการปกครองให้กับราชสำนักก็ล้วนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
เหมาเสี่ยวตงตามองจมูก จมูกมองใจ นั่งนิ่งไม่ขยับ จิตใจสงบนิ่งดุจผืนน้ำ
ถึงอย่างไรไม่ว่าอาจารย์พูดอะไรทำอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด
ซิ่วไฉเฒ่ากลับมานั่งที่เดิม เอ่ยว่า “แต่ว่าเหล้าล่านสูของทะเลสาบโหยวหนางรสชาติดีจริงๆ ราคานับว่ายุติธรรม ก็แค่กฎที่วิญญูชนกับนักปราชญ์ซื้อเหล้าลดครึ่งราคากลับไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไร เป็นซิ่วไฉแล้วอย่างไร ซิ่วไฉไม่ใช่ยศอย่างหนึ่งหรอกหรือ”
เหมาเสี่ยวตงไม่เอ่ยอะไรสักคำ เพียงแค่เงี่ยหูตั้งใจฟังคำสั่งสอนของอาจารย์
ซิ่วไฉเฒ่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินลูกศิษย์เป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องที่ศาลบุ๋นถกเถียงกันช่วงล่าสุดนี้เสียที เขารู้สึกเสียดายอยู่มาก เรื่องแบบนี้หากให้ตนเป็นคนเปิดประเด็นก็ออกจะน่าเบื่อเกินไปแล้ว
เหมาเสี่ยวตงเพียงแค่นั่งตัวตรงอยู่ฝั่งตรงข้าม รู้สึกจากใจจริงว่าอาจารย์ของตนไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย แต่กลับสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ไว้ทั่วหล้า
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “เมื่อหลายปีก่อนไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าในกำแพงเมืองปราณกระบี่กับจั่วโย่วและศิษย์น้องเล็กของเจ้า เฉินผิงอันบอกว่าเรื่องการสั่งสอนถ่ายทอดมรรคาของเจ้านั้น เหมือนข้ามากที่สุด แท้เข้มข้นและเป็นกลาง ยังบอกด้วยว่าเจ้าศึกษาหาความรู้อย่างระมัดระวัง สั่งสอนลูกศิษย์อย่างรอบคอบ”
เหมาเสี่ยวตงรีบลุกขึ้นยืน “ศิษย์ละอายใจนัก มิกล้ารับคำกล่าวนี้”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเนิบช้าว่า “หากศิษย์สู้อาจารย์ไม่ได้ แล้วสั่งสอนลูกศิษย์ที่สู้ลูกศิษย์ไม่ได้อีก ในเรื่องของการถ่ายทอดมรรคาจะไม่กลายเป็นว่าต้องอาศัยปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้ทุ่มเทลงมือทำเพียงคนเดียวหรอกหรือ? หากเจ้ารู้สึกละอายใจมิกล้ารับจากใจจริง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะละอายใจมิกล้ารับไว้จริงๆ แล้ว การให้ความเคารพครูบาอาจารย์อย่างแท้จริง นั่นคือทำให้พวกลูกศิษย์ได้บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ โดดเด่นไม่เหมือนใครในด้านวิชาความรู้ นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเคารพครูบาอาจารย์จริงๆ เหมาเสี่ยวตงในใจของข้า เมื่อพบข้าแล้วควรปฏิบัติตามหลักมารยาทของลูกศิษย์ แต่เมื่อปฏิบัติตามมารยาทเสร็จสิ้นแล้ว ก็ต้องกล้าพูดถึงความไม่เหมาะสมบางอย่างในด้านวิชาความรู้กับอาจารย์ เหมาเสี่ยวตง ศึกษาหาความรู้อย่างยากลำบากมาร้อยปี เคยมีจุดใดที่คิดว่ามีความรู้สูงกว่าอาจารย์ หรือสามารถช่วยตรวจสอบหาช่องโหว่ให้กับความรู้ของอาจารย์บ้างหรือไม่? ต่อให้มีแค่จุดเดียวก็ยังดี”
เหมาเสี่ยวตงลุกขึ้นยืนแล้วก็ไม่ได้นั่งลง ในใจเต็มไปด้วยความละอาย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่มี”
ซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่มีโทสะ กลับกันสีหน้ายิ่งเมตตาอ่อนโยน “รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ก็ไม่ถือว่าไร้ประโยชน์ไปเสียทั้งหมด พยายามให้มากขึ้นก็พอ”
ซิ่วไฉเฒ่าหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพราะถึงอย่างไรความรู้ของอาจารย์เจ้าก็สูงอย่างมาก”
เหมาเสี่ยวตงที่ยืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกตัดสินใจไม่ถูก ทั้งอยากนั่งลง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการยืนค้ำหัวอาจารย์ ไม่สอดคล้องกับมารยาท แต่ก็อยากยืนกุมมืออยู่อย่างนี้เพื่อรับฟังคำถ่ายทอดของอาจารย์ เหมาะสมกับพิธีการ
ซิ่วไฉเฒ่าเงยหน้ามองเหมาเสี่ยวตง ยิ้มกล่าว “ยังไม่ฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดอีกหรือ แบบนี้ไม่ค่อยประเสริฐเท่าไรแล้ว ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้สิ ด้วยนิสัยและความรู้ของเจ้าเหมาเสี่ยวตง ควรจะฝ่าขอบเขตตั้งนานแล้วถึงจะถูก”
เหมาเสี่ยวตงรู้สึกละอายใจอีกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่าถามว่า “สามรากฐานของมารยาทพิธีการคือสิ่งใด?”
เหมาเสี่ยวตงกำลังจะตอบ
ซิ่วไฉเฒ่ากลับชี้นิ้วไปที่หัวใจ “ถามเองตอบเอง”
เหมาเสี่ยวตงที่เรือนกายสูงใหญ่ยืนเหม่อลอยอยู่ในศาลา
ซิ่วไฉเฒ่าพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ศาลาเหมือนที่พักผ่อนของใจคน วิถีทางโลกบางอย่างก็เหมือนลมหิมะนี้ หอบเอาตำราอริยะปราชญ์หลายเล่มไว้ในอ้อมอก รู้หลักการเหตุผลแล้ว ยามเดินออกไปจากศาลาก็จะไม่หนาวแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าก็ถามเองตอบเองเช่นกัน “ข้ากลับรู้สึกว่าช่วยให้หายหนาวได้หลายส่วน สามารถทำให้คนเดินไปบนเส้นทางลมพายุได้อีกหลายก้าว”
เหมาเสี่ยวตงมองหิมะใหญ่นอกศาลา หลุดปากเอ่ยไปว่า “วิญญูชนเล่าเรียนเพื่อให้ตนมีความประพฤติและคุณธรรมอันดีงาม มารยาทและพิธีการคือบรรทัดฐานแห่งพฤติกรรมที่คนควรปฏิบัติตาม ปากเอ่ยมารยาทพิธีการ ตัวปฏิบัติตามมารยาทพิธีการ เรียนรู้ถึงแก่นแล้วจงลงมือปฏิบัติ อย่าได้หยุดเพียงการเรียนรู้ นี่คือจุดสูงสุดแห่งการฝึกอบรมบ่มเพาะตนของวิญญูชน”
ซิ่วไฉเฒ่าตบเข่าฉาด “ประเสริฐ!”
จากนั้นลมหิมะนอกศาลาก็หยุดนิ่ง
เหมาเสี่ยวตงนั่งลงช้าๆ ยามที่หิมะหยุดตก เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ ตัวอักษรคำโคลงคู่นอกศาลายังส่องประกายแสงวับวาม หิมะใหญ่ถึงได้ตกลงมาบนโลกมนุษย์ต่ออีกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่าพลันถามว่า “นอกศาลา เจ้าใช้จิตใจที่เร่าร้อนออกเดินทางไกล ข้างทางยังมีคนที่มือเท้าแข็งหนาวจนตัวสั่นมากมายขนาดนั้น เจ้าควรทำอย่างไร? คนเหล่านี้อาจไม่เคยอ่านตำรามาก่อน ยามถึงเหมันต์ที่หนาวเหน็บ แต่ละคนสวมเสื้อเนื้อบาง แล้วจะเอาตำราจากไหนมาอ่าน? อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่ไม่ต้องกลัดกลุ้มกับอากาศหนาวร้อน มัวมาพร่ำพูดอยู่ข้างหูคนอื่นจะไม่ทำให้คนรังเกียจเอาหรอกหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงจมสู่ภวังค์ความคิด ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ตัวสักนิดว่าอาจารย์ของตนจากไปอย่างเงียบเชียบแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ามาปรากฏตัวอยู่ข้างกายผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแล้วหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ว่ายังไง?”
ผู้อำนวยการใหญ่เอ่ย “นับแต่นี้ไป ชุยฉานเคยกล่าวไว้ในจดหมาย ขอแค่เหมาเสี่ยวตงฝ่าทะลุขอบเขตเมื่อไหร่ก็เปลี่ยนให้เขาชุยฉานมาเป็นเจ้าขุนเขาคนใหม่ของสำนักศึกษาซานหยาทันที”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “อย่าลืมทำให้สำนักศึกษาซานหยากลับสู่อันดับเจ็ดสิบสองสำนักด้วยเล่า”
ฝ่ายหลังประสานมือคารวะน้อมรับคำสั่ง
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเอ่ยว่า “ขอยืมคำว่า ‘ภูเขา’ จากเจ้าหน่อย หากเจ้าจะปฏิเสธก็สมเหตุสมผลดีแล้ว ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแน่ ข้าไม่ได้เจอหน้าอาจารย์ของเจ้ามานานมากแล้ว…”
เดิมทีผู้อำนวยการใหญ่ยังลังเลอยู่บ้าง พอได้ยินมาถึงตรงนี้ก็ตอบตกลงอย่างเด็ดขาดทันที
ซิ่วไฉเฒ่าตบไหล่ของอีกฝ่าย เอ่ยชื่นชมว่า “เรื่องเล็กไม่เลอะเลือน เรื่องใหญ่ยิ่งเด็ดขาด อาจารย์หลี่เซิ่งรับลูกศิษย์แค่ด้อยกว่าข้าเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านหนึ่งถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ขอวิชาความรู้จากเหวินเซิ่ง กับพูดคุยสัพเพเหระกับซิ่วไฉเฒ่า นั่นคือฟ้ากับดินโดยแท้
พวกหลี่เป่าผิงเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้
หลี่เป่าผิงก็พลันยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าที่เผยกายให้เฉพาะพวกเขาเห็นโบกมือบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าไม่ต้องทักทายตน หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นตกอกตกใจกันไปด้วย แต่สามารถพูดคุยกันได้ปกติไม่ต้องปิดบัง
จ้งชิว เฉาฉิงหล่างและเตี๋ยจ้างจึงไม่ได้คารวะทักทาย เฉาฉิงหล่างเพียงแค่เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์ปู่ ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน
ซิ่วไฉเฒ่าเดินทางไปทะเลสาบโหยวหนางกับพวกเขา ตลอดทางไม่มีใครสังเกตเห็น
พวกหลี่เป่าผิงเดินย่ำอยู่ในหิมะส่งเสียงกรอบแกรบ
มีเพียงซิ่วไฉเฒ่าที่ยามเดินร่างล่องลอยไร้รอยเท้า
หลังจากที่ผสานมรรคากับฟ้าดินจะได้รับการช่วยเหลือจากขุนเขาสายน้ำ ต้องแบกรับน้ำหนักของฟ้าดิน
แต่ไหนแต่ไรมาบัณฑิตล้วนเป็นเช่นนี้ กับเรื่องราวมากมายอย่างเช่นการเขียนตำราสร้างบทประพันธ์ การรับลูกศิษย์ ถ่ายทอดวิชาความรู้ ทะเลาะกับคนอื่น พฤติกรรมการดื่มเหล้าที่ดีเยี่ยมของตัวเอง ฯลฯ ซิ่วไฉเฒ่าภาคภูมิใจไม่เคยปิดบัง มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่รู้สึกว่ามีค่าพอให้เอามาเอ่ยถึง ใครชมใครด่า ข้าก็จะเอาเรื่องคนนั้น
ซิ่วไฉเฒ่าเดินอยู่ระหว่างเป่าผิงน้อยกับเฉาฉิงหล่าง เดี๋ยวเหลียวซ้ายเดี๋ยวแลขวา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สายของข้าเหวินเซิ่งต้องการคนมากมายด้วยหรือ?
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือเป็นวงใหญ่ มากคนมากอำนาจอะไรนั่น ไสหัวไปให้ไกลเลย
หลี่เป่าผิงเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ได้ยินว่าท่านผสานกับฟ้าดินแล้ว สมกับเป็นชายชาตรีที่ค้ำฟ้ายันดินจริงๆ ตัวสูงมากเลย”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะปากกว้างจนหุบปากไม่ลงอีกครั้ง เขาโบกมือบอกว่าที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ไม่เท่าไร ไม่เท่าไร
คำชมของเป่าผิงน้อยถึงอย่างไรก็ควรรับไว้
เฉาฉิงหล่างกล่าวว่า “ลำบากอาจารย์ปู่แล้ว”
อาจารย์ของอาจารย์ ก็คืออาจารย์ปู่ของตน
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว เรื่องเล็ก เรื่องเล็ก พวกเจ้าอายุน้อยๆ ก็ต้องออกเดินทางไกลหมื่นลี้แล้ว นี่ต่างหากถึงจะลำบากอย่างแท้จริง
เฉาฉิงหล่างลังเลเล็กน้อย ก่อนถามว่า “อาจารย์ปู่ เกี่ยวกับเรื่องตั้งชื่อเพื่อให้คำจำกัดความ ยังมีบางจุดที่ยังไม่เข้าใจ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ ยิ้มถาม “ก่อนจะถาม เจ้าคิดว่าความรู้ของอาจารย์ปู่ที่มีประโยชน์ต่อเจ้ามากที่สุดคือเรื่องใด? หรือควรจะบอกว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าอยากนำไปปรับใช้กับตัวเองมากที่สุด? ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ คิด ไม่ใช่คำถามเพื่อทดสอบอะไร ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าพวกเราคุยเล่นกันไปก็แล้วกัน”
จ้งชิวที่อยู่ด้านข้างรู้สึกรอคอยคำตอบของเฉาฉิงหล่างอยู่มาก
เห็นได้ชัดว่าเฉาฉิงหล่างมีข้อสรุปมาก่อนแล้ว จึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ผลงานของอาจารย์ปู่ ข้าอ่านทบทวนซ้ำทุกคำทุกประโยค บางอย่างก็เข้าใจอย่างผิวเผิน บางอย่างก็อาจจะพอถือว่าเข้าใจในช่วงต้นแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่กระจ่างนัก แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดก็คือการอธิบายหลักการเหตุผลของอาจารย์ปู่นั้นมั่นคงเหมาะสมมากที่สุด หลักการเหตุผลที่กล่าวถึง ลึกล้ำยาวไกล วิธีการที่เอ่ยถึงหลักการเหตุผลกลับตื้นเขินเข้าใจง่าย เป็นเหตุให้หลักการเหตุผลบางอย่าง เหมือนทัศนียภาพที่อยู่ห่างไกลในการมองเห็น แต่ก็ยังเห็นได้เลือนรางว่างดงามล้ำเลิศอย่างถึงที่สุด ทว่าเส้นทางใต้ฝ่าเท้าที่คนรุ่นหลังก้าวเดินไม่คดเคี้ยว มหามรรคาทอดตรงราบเรียบเดินง่าย เป็นเหตุให้ทำให้คนไม่รู้สึกถึงความยากลำบากเลยแม้แต่น้อย”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่แล้วๆ”
หลี่เป่าผิงผงกศีรษะเบาๆ เอ่ยเสริมว่า “อาจารย์อาน้อยเคยบอกมานานแล้วว่า อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเหมือนคนคนหนึ่งที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ตลอดทางล้วนโปรยเงินไว้บนพื้น หลักการเหตุผลอันเป็นความรู้แต่ละอย่างที่ดีเยี่ยมแต่กลับไม่คิดเงินก็เหมือนเงินเหรียญทองแดง เหมือนทรัพย์ที่กองเกลื่อนอยู่บนพื้น สามารถทำให้บัณฑิตรุ่นหลัง ‘ก้มเก็บเงินอย่างตั้งใจไม่หยุด’ ไม่ใช่ภูเขาเงินภูเขาทองที่ต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงขุด แต่แค่พลิกเปิดหนังสือหนึ่งหน้าก็สามารถได้เงินมาทันทีแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งเบิกบาน ใช้หมัดทุบฝ่ามืออยู่หลายครั้ง จากนั้นก็รีบลูบหนวดคลี่ยิ้ม เพราะอย่างไรตนก็เป็นอาจารย์ปู่ ควรจะรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง
ซิ่วไฉเฒ่าถึงขั้นรู้สึกว่าเหล่าลูกศิษย์ที่ลูกศิษย์ของตัวเองรับมาล้วนเป็นศิษย์ที่เก่งกว่าครูทั้งสิ้น
ดังนั้นสุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าจึงเอ่ยว่า “เป่าผิง ฉิงหล่าง แน่นอนว่ายังมีอาจารย์จ้ง วันหน้าหากพวกเจ้ามีข้อสงสัยสามารถถามเหมาเสี่ยวตงได้ การศึกษาเล่าเรียนของเขา ไม่มีทางเรียนรู้ในสิ่งที่ผิด การเป็นอาจารย์ของเขาก็ไม่มีทางสั่งสอนในสิ่งที่ผิด เก่งมากเลยล่ะ”
จ้งชิวยิ้มเอ่ย “ได้ยินมาว่าทะเลสาบโหยวหนางมีเหล้าล่านสู ข้าออกเงินเลี้ยงเหล้าอาจารย์เหวินเซิ่งเอง”
ซิ่วไฉเฒ่าถูมือยิ้มกล่าว “แบบนี้จะดีหรือไร”
……
ภูเขาลั่วพั่ว
เฉินหน่วนซู่หิ้วถังน้ำไปที่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่อีกครั้งเพื่อช่วยเก็บกวาดห้องให้กับนายท่านที่ออกเดินทางไกลยังไม่กลับคืนมา
โต๊ะหนังสือไม่เคยมีฝุ่นเกาะ เช็ดแท่นฝนหมึก กระบอกใส่พู่กัน ที่ทับกระดาษ ฯลฯ ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียดไปรอบหนึ่งแล้ว เฉินหน่วนซู่ก็ชำเลืองตามองหนังสือปึกหนึ่งที่วางทับซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ นางเม้มปาก ยื่นสองมือออกไปมองดูคล้ายจะจัดหนังสือให้เป็นระเบียบ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้กองหนังสือเอียงกว่าเดิม
รอกระทั่งเฉินหน่วนซู่เดินก้าวธรณีประตูออกมา ปิดประตูลงเบาๆ สองตาของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูก็มีแต่รอยยิ้มแล้ว
กระทั่งเฉินหน่วนซู่ไปที่ชั้นสอง บนพื้นในห้องชั้นหนึ่งก็มีคนจิ๋วดอกบัวกระโดดผลุงออกมาทันที มันป่ายปีนขาโต๊ะข้างหนึ่งขึ้นมาบนโต๊ะแล้วเริ่มวิ่งกลับไปกลับมาสำรวจโต๊ะหนังสือ พบว่าที่ทับกระดาษบนโต๊ะเอียงเล็กน้อย เมื่อวานข้าวของบนชั้นมากสมบัติไม่ได้วางให้เป็นระเบียบ วันนี้หนังสือกลับเอียงโดยไม่ทันระวังอีก เจ้าตัวน้อยหัวเราะคิกคิก จากนั้นก็รีบปิดปากตัวเอง เบามือเบาเท้าเดินไปอยู่ข้างหนังสือ เดี๋ยวก็เขย่งเท้าเดี๋ยวก็ฟุบตัวคว่ำอยู่บนพื้น ช่วยพี่หญิงหน่วนซู่จัดวางกองหนังสือให้ดี คนจิ๋วดอกบัวยังคงไม่วางใจ วิ่งวนรอบภูเขาหนังสือนี้อีกหนึ่งรอบ พอมั่นใจว่าไม่เอียงแม้แต่น้อยแล้ว มันถึงได้นั่งลงบนโต๊ะด้วยความพึงพอใจ โชคดีที่วันนี้ตนได้ช่วยเหลือพี่หญิงหน่วนซู่เล็กๆ น้อยๆ อีกแล้ว
สุดท้ายคนจิ๋วดอกบัวมานั่งอยู่ริมโต๊ะ แกว่งสองขาเบาๆ มันอยากพบเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นอีกครั้ง จะได้ถามอีกฝ่ายว่าตนสามารถเป็นฝ่ายทักทายพี่หญิงหน่วนซู่กับพี่หญิงหมี่ลี่ด้วยตัวเองได้หรือไม่ จะไม่รบกวนพวกนาง ผ่านไปหลายวันหน่อยค่อยทักทายสักทีหนึ่ง หรือไม่ก็สิบวัน หรือจะทักทายเดือนละครั้งก็ยังได้ แต่เขาไม่ได้มานานแล้ว อาจารย์ของเด็กหนุ่มก็ยิ่งไม่ได้กลับบ้านมานานยิ่งกว่า
ดังนั้นเจ้าตัวน้อยที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงลุกขึ้นวิ่งไปที่กระบอกเก็บพู่กัน ใช้แขนเล็กๆ ที่เหลือเพียงข้างเดียวเช็ดผนังของกระบอก
นอกเรือนไม้ไผ่ วันนี้มีคนสามคนกลับจากตรอกฉีหลงมาบนภูเขา สหายนักพรตฉางมิ่งไปเป็นแขกที่ห้องบัญชีของเหวยเหวินหลง ส่วนจางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่มาที่เรือนไม้ไผ่แห่งนี้ด้วยกัน ทุกวันนี้พวกเขาได้ย้ายออกมาจากแท่นบูชากระบี่แล้ว มีเพียงผู้ฝึกกระบี่ชุยเหวยที่ยังคงฝึกตนอยู่ที่นั่น
ทุกวันนี้ตรอกฉีหลงครึกครื้นกว่าเดิมมาก นอกจากร้านฉ่าวโถวที่มีอาจารย์และศิษย์สามคนอย่างพวกเจี่ยเฉิงรับหน้าที่คอยดูแลแล้ว สือโหรวเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยที่อยู่ติดกันก็มี ‘แม่ทัพใหญ่สองนาย’ อย่างจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ไปช่วย บวกกับสตรีอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่าฉางมิ่งที่มักจะไปช่วยงานทั้งสองร้านเป็นประจำ
ไม่รู้ว่าเหตุใด จางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่ต่างก็ยำเกรงสตรีที่ชอบแย้มยิ้มผู้นั้นมาก ไม่รู้ว่านางไปเอาเงินมาจากไหนถึงสามารถซื้อเรือนสองหลังที่ตั้งอยู่เหนือขั้นบันไดของตรอกฉีหลงไปเล็กน้อยมาได้ในรวดเดียว
ทุกครั้งที่เจี่ยงชวี่ขึ้นเขาจะชอบมามองดูผนังด้านนอกของเรือนไม้ไผ่
จางเจียเจินมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ทว่าเจี่ยงชวี่บอกว่าบนนั้นเขียนตัวอักษรและวาดอักขระยันต์เอาไว้มากมาย
วันนี้เจี่ยงชวี่ยังคงมายืนมองตัวอักษรและอักขระยันต์อยู่เหมือนเดิม
ส่วนจางเจียเจินไปนั่งแทะเมล็ดแตงกับเซียนกระบี่หมี่ข้างโต๊ะหิน
หมี่อวี้ยิ้มถาม “อิจฉาเจี่ยงชวี่หรือไม่?”
จางเจียเจินพยักหน้ารับ “อิจฉา”
เจี่ยงชวี่ฉลาดและร่าเริงกว่าตนเยอะมาก อยู่ที่ตรอกฉีหลงก็ปรับตัวได้เป็นอย่างดี มักจะชอบออกไปข้างนอกเพียงลำพัง ทุกครั้งที่กลับมาร้านจะได้ของหลากหลายอย่างติดมือกลับมา จางเจียเจินกลับทำไม่ได้ ได้แต่ทำงานที่เถ้าแก่สือโหรวมอบหมายให้เขาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ไปเท่านั้น
หมี่อวี้ตอบรับอย่างไม่คิดมาก “ไม่มีอะไรให้ต้องอิจฉา ต่างคนต่างชะตา”
จางเจียเจินเอ่ย “อาจารย์เฉินเคยบอกว่าข้าไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน ทั้งฝึกกระบี่แล้วก็ฝึกวรยุทธด้วย”
หมี่อวี้บังเกิดความสนใจทันใด “อัดอั้นมากหรือ? ยังคงไม่เชื่อในสายตาของใต้เท้าอิ่นกวานใช่ไหม?”
จางเจียเจินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เชื่อมากๆ แล้วก็ไม่อัดอั้น ดังนั้นข้าจึงคิดว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะขอเรียนวิชาคำนวณมาจากอาจารย์เหวย ให้ตัวเองได้มีความสามารถติดตัวบ้าง แต่ต่อให้เรียนรู้วิชาคำนวณอย่างตื้นเขิน คิดบัญชีเป็นแล้ว คาดว่าข้าเองก็คงทำได้แต่เรื่องที่ตายตัวเท่านั้น พยายามจะเป็นนักบัญชีอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ได้แต่คบค้ากับเหรียญทองแดงและเงินทอง ชั่วชีวิตนี้อาจไม่เคยได้เห็นเงินเทพเซียน แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ว่างไปวันๆ ไม่มีอะไรทำ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร”
หมี่อวี้ไม่เห็นด้วย คบค้าสมาคมกับสตรีเป็นสิ่งที่เขาถนัด แต่หากจะให้มาพูดคุยเรื่องในใจกับเด็กๆ หมี่อวี้ไม่เชี่ยวชาญจริงๆ แล้วก็ไม่สนใจด้วย เพราะถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่ใต้เท้าอิ่นกวาน
จางเจียเจินเองก็ไม่กล้ารบกวนการฝึกตนของเซียนกระบี่หมี่ จึงขอตัวจากไป คิดว่าจะไปที่บริเวณใกล้เคียงกับศาลเทพภูเขาบนยอดเขา ไปดูทัศนียภาพของขุนเขาสายน้ำรอบด้าน