เจี่ยงชวี่ยังคงเบิกตากว้างมองอักระยันต์บนเรือนไม้ไผ่
จางเจียเจินไปเจอกับแม่นางน้อยชุดดำที่แบกคานหาบสีทองเดินอาดๆ ทำหน้าที่ลาดตระเวนภูเขากลางทาง
จางเจียเจินจึงยิ้มทักทาย “ผู้พิทักษ์โจว”
แม่นางน้อยยิ้มจนตาหยี จากนั้นก็เอ่ยอย่างเกรงใจว่า “เรียกข้าว่าภูตน้ำใหญ่ก็พอแล้ว”
พอได้ยินจางเจียเจินบอกว่าจะไปชมทัศนียภาพบนยอดเขา โจวหมี่ลี่ก็รีบบอกทันทีว่าตนสามารถช่วยนำทางให้ได้
โจวหมี่ลี่เพิ่งจะหมุนตัวกลับก็มองเห็นสหายฉางมิ่งที่ออกมาเดินเล่นเพียงลำพัง เรือนกายสูงโปร่ง สวมชุดคลุมตัวใหญ่สีขาวหิมะ ใบหน้าประดับรอยยิ้มตลอดเช้าจรดค่ำ
โจวหมี่ลี่รีบเรียกคำหนึ่งว่าท่านน้า ฉางมิ่งยิ้มตาหยีพยักหน้ารับ เดินสวนไหล่ผ่านแม่นางน้อยและจางเจียเจินไป
โจวหมี่ลี่ยืนนิ่งไม่ขยับ แต่ศีรษะกลับหมุนมองตามฉางมิ่งไปช้าๆ รอกระทั่งหมุนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ถึงได้หันกลับมาที่เดิมในชั่วพริบตา เดินเคียงบ่าไปกับจางเจียเจิน อดทนอยู่นานสุดท้ายก็ทนไม่ไหวถามว่า “จางเจียเจิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมฉางมิ่งถึงยิ้มอยู่ตลอดเวลา แล้วยังหยีตายิ้มอยู่อย่างนั้น?”
จางเจียเจินส่ายหน้า บอกว่าไม่รู้
โจวหมี่ลี่หัวเราะหึหึ “ไม่เป็นไรๆ พี่หญิงหน่วนซู่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน ช่วยไม่ได้ บนภูเขาลั่วพั่วก็มีแค่เผยเฉียนเท่านั้นแหละที่สมองเฉียบไวกว่าข้า เจ้าเคยได้ยินสุภาษิตที่บอกว่าเห็นเงินก็ตาเบิกกว้างหรือไม่? ไม่เคยได้ยินล่ะสิ เผยเฉียนมักจะพาข้าออกไปเดินเล่นข้างนอกประจำ แล้วก็มักจะเก็บเงินเหรียญทองแดงได้เหรียญหนึ่งตลอด พอข้ายิ้ม เผยเฉียนก็จะบอกว่าข้าเห็นเงินแล้วตาเบิกกว้าง ฮ่าๆ ข้าคือคนที่ละโมบในทรัพย์สินอย่างนั้นหรือ? ฮ่าๆ ช่างเป็นมุกตลกที่ใหญ่กว่าชามข้าวจริงๆ ข้าแค่แกล้งทำท่าให้เผยเฉียนดูไปอย่างนั้นแหละ ข้าไม่ใช่คนที่เห็นเงินแล้วตาเบิกกว้างเสียหน่อย เงินที่คนอื่นทำหล่นไว้บนพื้น ตาข้าไม่กะพริบเลยสักครั้ง…”
โจวหมี่ลี่พูดได้แค่ครึ่งเดียว เห็นเพียงว่าห่างไปไม่ไกลบนเส้นทางเบื้องหน้ามีแสงสีทองเปล่งวูบวาบ โจวหมี่ลี่หยุดเดินแล้วขมวดคิ้วทันที จากนั้นก็ขว้างไม้คานสีทองออกไปสูง ส่วนตนนั้นกระโจนไปข้างหน้าคว้าของสิ่งนั้นไว้ราวกับเสือโหยขย้ำลูกแกะ นางกลิ้งตัวหมุนตลบแล้วลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปรับไม้หาบสีทอง ปัดชุดของตัวเอง หันหน้ามากะพริบตาปริบๆ ถามอย่างสงสัยว่า “อะไรหรือ เดินสิ บนพื้นไม่ได้มีเงินให้เก็บเสียหน่อย”
จางเจียเจินกลั้นขำ พยักหน้าเอ่ยว่าตกลง
นี่ก็คือภูตน้ำใหญ่ทะเลสาบคนใบ้ที่อาจารย์เฉินเล่าให้ฟังเชียวนะ
จู่ๆ โจวหมี่ลี่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีก เบี่ยงตัวหันเข้าหาจางเจียเจิน ยื่นมือออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง พอแบมือออกดู แย่แล้ว! เงินวิ่งหนีไปได้อย่างไร?
เดิมทีนางคิดว่าเก็บเงินได้แล้วจะเอาไปโอ้อวดขอความดีความชอบจากพี่หญิงหน่วนซู่ ทุกวันนี้ภูเขาลั่วพั่วไม่มีเงินอะไรแล้วจริงๆ คราวก่อนนางวิ่งไปถามเว่ยซานจวินว่าจะจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งถัดไปเมื่อไหร่ ตอนนั้นเว่ยซานจวิ้นยิ้มกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
โจวหมี่ลี่พลันยืนนิ่งไม่ขยับ
ตามคำบอกของเผยเฉียน นี่เรียกว่ามีปราณสังหาร!
ที่แท้ด้านหลังก็มีคนกดศีรษะของนาง ยิ้มตาหยีถามว่า “หมี่ลี่น้อย เจ้าบอกว่าใครเห็นเงินแล้วตาเบิกกว้างนะ?”
โจวหมี่ลี่ยู่หน้า แบมือข้างหนึ่งออกมา หันหน้ามาแล้วพูดอย่างน่าสงสาร “ท่านน้า ฟ้าดินเป็นพยาน ข้าไม่รู้ว่าตัวเองละเมอพูดอะไรออกไปบ้าง”
“มองดูที่ฝ่ามืออีกทีสิ”
ฉางมิ่งปล่อยมือออก ยิ้มตาหยีแล้วหมุนตัวจากไป
โจวหมี่ลี่พบว่าบนฝ่ามือของตนมีเหรียญทองแดงสีทองวับวาวเพิ่มมาหนึ่งเหรียญ
โจวหมี่ลี่ยกขึ้นมากัด แข็งกระทบฟัน แม่นางน้อยรีบหมุนตัวกลับทันที หันไปเอ่ยขอบคุณฉางมิ่งเสียงดังหนึ่งที
ส่วนผู้คุมกฎของภูเขาลั่วพั่วในอนาคตคนนั้นก็โบกมือเบาๆ บอกเป็นนัยกับแม่นางน้อยที่เรียกตนว่าท่านน้าว่าไม่ต้องเกรงใจ
โจวหมี่ลี่กระโดดโลดเต้น พาจางเจียเจินไปที่ยอดเขา แต่ตากลับจับจ้องพื้นดินไม่กะพริบ
เผยเฉียนไม่อยู่ข้างกาย ตนไม่ได้เก็บเงินได้แบบนี้มานานมากแล้ว!
ทางฝั่งม้านั่งหินของเรือนไม้ไผ่ เว่ยป้อพลันเผยกาย
เว่ยซานจวินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจี่ยงชวี่ที่ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นผู้ฝึกกระบี่จะสามารถเรียนวิชายันต์ได้ด้วย
สายของยันต์นั้น มีคุณสมบัติหรือไม่จะแบ่งแยกผีกับเทพได้ทันที สำเร็จก็คือสำเร็จ ไม่สำเร็จก็คือไม่มีทางสำเร็จเด็ดขาด จงหันกลับไปฝึกเวทคาถาตระกูลเซียนอย่างอื่นแต่โดยดี สภาพแทบไม่ต่างกับการที่จะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้หรือไม่
หมี่อวี้มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งวางข้อมือไว้บนโต๊ะหินหมิ่นๆ หันไปมองเงาแผ่นหลังของเจี่ยงชวี่แล้วหมี่อวี้ก็เบ้ปาก
เด็กบ้านเดียวกันอย่างเจี่ยงชวี่ผู้นี้ ต่อให้มีคุณสมบัติในการเรียนวิชายันต์ แต่ไม่ว่าจะเป็นฐานกระดูกก่อนกำเนิด สภาพการณ์ในช่องโพรงลมปราณ ฯลฯ ในฐานะผู้ฝึกตนที่โชคดีได้เดินขึ้นเขาก็ยังจะต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง อีกทั้งอายุเท่านี้แล้วเพิ่งจะได้ฝึกตน จะเป็นปัญหาใหญ่มาก
ถึงอย่างไรหมี่อวี้ก็เป็นเซียนกระบี่ แน่นอนว่าต้องมองความหนักเบา ความตื้นลึกเรื่องพวกนี้ออก คาดว่าวันหน้าหากเจี่ยงชวี่คิดจะสร้างโอสถย่อมยากเหมือนเดินขึ้นฟ้า ความเป็นไปได้ที่มากกว่านั้นคือต้องหยุดอยู่ที่ขอบเขตชมมหาสมุทร หากโชคดีหน่อย อย่างมากสุดก็เป็นได้แค่ขอบเขตประตูมังกร
เว่ยป้อมองเซียนกระบี่ท่านนี้แวบหนึ่งก่อนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
หมี่อวี้รีบยิ้มพูดทันทีว่า “ข้าผิดไปแล้ว จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง!”
ภูเขาลั่วพั่วไม่เคยพิถีพิถันเรื่องมีคุณสมบัติไม่มีคุณสมบัติ ตบะสูงไม่สูงอะไรนี่จริงๆ
มาอยู่ในภูเขาลั่วพั่วของข้า ใครพูดถึงขอบเขตคนนั้นรสนิยมต่ำที่สุด
“เซียนกระบี่หมี่ อย่ารังเกียจที่คนนอกอย่างข้าปากมาก คนที่พอจะถือว่าเป็นผู้อาวุโสอย่างพวกเรานี้ เพียงถ้อยคำที่เอ่ยโดยไม่ตั้งใจคำเดียวหรือสายตาที่ตนไม่ได้สนใจเพียงแวบเดียว อาจทำให้เด็กรุ่นหลังบางคนติดใจไปนาน ดังนั้นพวกเราควรต้องระวังสักหน่อย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายเพียงแค่ถ่ายทอดวิชาความรู้แล้วดุด่าตบตีจริงๆ”
บนภูเขาตระกูลเซียนแห่งอื่น ไหนเลยจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้
หมี่อวี้นั่งตัวตรงอย่างสำรวม พยักหน้ารับ “วางใจเถอะ เหตุผลข้าเข้าใจ ใต้เท้าอิ่นกวานเคยพูดมาก่อน เรื่องเล็กไม่ประหยัดแรง เรื่องใหญ่สามารถประหยัดแรงได้ ข้าน่ะมีนิสัยแย่ๆ ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดแบบนี้แหละ ยากนักที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ทันที วันหน้าพี่เว่ยจำไว้ว่าต้องเตือนข้าให้มากหน่อย ข้าคนนี้ทำตัวหน้าไม่อายมาจนชินแล้ว แต่มีดีอยู่ข้อหนึ่ง รู้ดีว่าตัวเองมีปัญญาแค่ไหน แบ่งแยกจิตใจคนว่าดีหรือเลวได้ออก จดจำความดีของคนอื่นได้ ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมจากคนอื่น”
เว่ยป้อเอ่ยสัพยอก “นี่ไม่ได้เรียกว่า ‘มีดีข้อหนึ่ง’ แล้ว”
หมี่อวี้ยกนิ้วโป้ง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจ ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจ!”
พบหมี่อวี้และเว่ยป้อ ฉางมิ่งกุมหมัดคารวะ
เว่ยป้อพยักหน้ารับการคารวะ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าสหายฉางมิ่ง
ฉางมิ่งมาถึงภูเขาลั่วพั่ว อันที่จริงก็เป็นเว่ยซานจวินนี่แหละที่ผ่อนคลายที่สุด
เพราะคำว่าเงินคำเดียว ชื่อเสียงของเว่ยป้อก็ฉาวโฉ่ไปทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปแล้ว
หมี่อวี้รีบลุกขึ้นยืน “พี่หญิงฉางมิ่งอุตส่าห์มาเป็นแขกบนภูเขาทั้งที นั่งลงพูดคุยกันเถิด”
สหายฉางมิ่งกลับไม่ได้สนใจเซียนกระบี่หมี่ นางเดินตรงไปที่ริมหน้าผา มองไปยังทิศทางของเมืองหงจู๋ โชคลาภของที่นั่นไม่ได้เข้มข้นธรรมดา ดูเหมือนว่าจะสามารถชักนำมาถึงภูเขาบ้านของตนได้หลายส่วน นอกจากภูเขาพีอวิ๋นและร้านยาตระกูลหยางแล้ว ผีไม่รู้เทพไม่เห็น
……
บนยอดเขาเพียนหราน สำนักกระบี่ไท่ฮุย
ป๋ายโส่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่เพียงลำพังด้วยความอัดอั้นตันใจ เดิมทีความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์นอกยอดเขาเพียนหรานหลายคน รวมไปถึงคนอีกสองคนที่ว่ากันว่าอาจจะกลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเขาล้วนไม่เลว แต่เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการถกเถียงกันเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นความผิดความถูกใหญ่หลวงอะไร ดังนั้นจึงไม่ถึงขั้นขุ่นเคืองอาฆาตแค้น แต่กลับทำให้คนอึดอัดใจอยู่บ้าง
แรกเริ่มนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กจริงๆ อีกฝ่ายเอ่ยหยอกล้อขำๆ ป๋ายโส่วจึงโต้เถียงกลับไปอย่างไม่คิดมาก แต่อยู่ดีๆ อีกฝ่ายกลับมีโทสะขึ้นมา จึงกลายเป็นว่าทะเลาะกันอย่างจริงจัง ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเรื่องที่ชวนให้รำคาญใจ กระทั่งทะเลาะกันจนถึงท้ายที่สุด ป๋ายโส่วถึงได้ค้นพบว่าที่แท้เรื่องที่ตนไม่สนใจ อันที่จริงพวกเขากลับถือสาเป็นจริงเป็นจัง อีกทั้งสิ่งที่พวกเขาสนใจ ตนกลับไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเลยสักนิด นี่ยิ่งทำให้ป๋ายโส่วรู้สึกไร้หนทางรับมือ ถูกผิดต่างคนต่างมี ล้วนเป็นเรื่องเล็ก แต่กลับพัวพันกันยุ่งเหยิง
สุดท้ายป๋ายโส่วเป็นฝ่ายยอมรับผิด เรื่องนี้จึงจบลง
หากต้องเจอกันอีกครั้งก็คงไม่ถึงขึ้นแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก แบบนั้นจะดูนิสัยเหมือนเด็กเกินไป แต่หากจะให้หัวเราะเฮฮาเหมือนเมื่อก่อน กลับยากมากแล้ว ป๋ายโส่วรู้สึกว่าให้ทำอย่างนั้นคงเสแสร้งเกินไป
เวลานี้อันที่จริงป๋ายโส่วคิดถึงเผยเฉียนอย่างมาก แม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านผู้นั้น นางอาฆาตแค้นก็อาฆาตอย่างเปิดเผย ไม่เคยถือสาหากคนอื่นจะรู้ ทุกครั้งที่จดบัญชีของคนอื่นลงบนสมุดเล่มเล็ก เผยเฉียนแทบอยากจดต่อหน้าต่อตาอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ อยู่ร่วมกับคนเช่นนี้ อันที่จริงกลับสบายใจกว่ามาก แล้วนับประสาอะไรกับที่เผยเฉียนก็ไม่ได้ใจแคบจริงๆ ขอแค่จำข้อห้ามบางอย่างของนางได้ ยกตัวอย่างเช่นห้ามคุยโวส่งเดชว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเฉินผิงอัน ห้ามบอกว่ามือกระบี่สู้ผู้ฝึกกระบี่ไม่ได้อะไรทำนองนั้น ถ้าอย่างนั้นการอยู่ร่วมกับเผยเฉียนก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย
ฉีจิ่งหลงเดินทางจากนอกชายหาดโครงกระดูกกลับมายังทิศเหนือ ขี่กระบี่กลับมาที่ศาลบรรพจารย์ จากนั้นก็กลับมายังยอดเขาเพียนหราน จึงเห็นลูกศิษย์ใหญ่ที่นั่งทอดถอนใจพลางโวยวายว่าจะดื่มเหล้า
ฉีจิ่งหลงยิ้มถาม “เป็นอะไรไป?”
ป๋ายโส่วเล่าให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายเอ่ยว่า “คนแซ่หลิว เจ้ามีเหตุผลมาก ลองเลือกสักสองสามข้อมาทำให้ข้าสบายใจบ้างสิ”
อยู่บนยอดเขาเพียนหราน ป๋ายโส่วสามารถเรียกว่าคนแซ่หลิว แต่อยู่ด้านนอกกลับยังต้องเรียกอาจารย์
ฉีจิ่งหลงนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ เอ่ยว่า “ระมัดระวังสักหน่อย ถูกผิดมิอาจเพิ่มลด”
ป๋ายโส่วรออยู่นาน ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรต่อ จึงเอ่ยอย่างมีโทสะ “แบบนี้จะทำให้สบายใจได้ยังไงเล่า!”
ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ประโยคนี้แล้วกัน ควรเหลือพื้นที่ว่างให้คนอื่นไม่ต้องใช้เหตุผลบ้าง”
ป๋ายโส่วเหลือกตามองบน “เจ้าชนะแล้ว”
ฉีจิ่งหลงหลับตาทำสมาธิ
ป๋ายโส่วถาม “บาดเจ็บหรือไม่?”
ฉีจิ่งหลงส่ายหน้า “ยังดีอยู่”
ป๋ายโส่วเอ่ย “ตอนที่เจ้าไม่อยู่บนภูเขา ข้าฝึกกระบี่ไม่เคยแอบอู้เลยนะ!”
ฉีจิ่งหลงลืมตาขึ้น พยักหน้ารับ “มองออกแล้ว”
ป๋ายโส่วโบกมือ “เจ้ารีบเลี้ยงกระบี่บำรุงบาดแผลเข้าเถอะ เวลาพูดคุยกับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจอย่างข้า ไหนเลยจะต้องมีกฎเกณฑ์มากมายขนาดนั้น”
ฉีจิ่งหลงหัวเราะ ก่อนจะหลับตาหลงแล้วบำรุงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่นต่ออีกครั้ง
ผ่านไปไม่กี่วันก็มีแขกมาเยือนยอดเขาเพียนหราน ฉีจิ่งหลงเคยได้ยินชื่ออีกฝ่าย แต่ไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน
หลิ่วจื้อชิงผู้ฝึกกระบี่ที่เพิ่งเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของตำหนักจินอู
ที่แท้หลิ่วจื้อชิงไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนฉีจิ่งหลงที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยทันที
เขาไปเดินเลียบลำน้ำมาก่อนรอบหนึ่ง สำนักมังกรน้ำ ทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหลายของราชวงศ์ต้าหยวนที่มีหน่วยฉงเสวียนเป็นหนึ่งในนั้น บ้างก็เดินทางผ่าน บ้างก็แวะไปเยี่ยมเยือน
แล้วถึงได้มาที่ยอดเขาเพียนหราน
ป๋ายโส่วขี่กระบี่ไปที่ตีนเขา พอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของเฉินผิงอันก็ตั้งตารอคอยเรื่องสนุกแล้ว
จากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็ได้พบกับเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุย
หลังจากนั่งลงแล้ว ฉีจิ่งหลงก็ยิ้มถาม “สหายหลิ่ว เจ้ากับเฉินผิงอันรู้จักกันที่หน้าผาอวี้อิ๋งของสวนน้ำค้างวสันต์หรือ?”
หลิ่วจื้อชิงเอ่ย “อันที่จริงเคยเจอกันก่อนหน้านี้แล้ว แต่กลายเป็นสหายกันที่หน้าผาอวี้อิ๋งจริงๆ”
จากนั้นอีกฝ่ายก็หยิบเหล้าหนึ่งกา สองกา สามกาออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
ป๋ายโส่วกระแอมหนึ่งที เอ่ยว่า “เซียนกระบี่หลิ่ว ปกติแล้วอาจารย์ข้าไม่ดื่มเหล้า”
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้า เอ่ยว่าทราบแล้ว จากนั้นหลิ่วจื้อชิงก็เริ่มดื่มของตัวเองไป
ป๋ายโส่วกลั้นยิ้ม ยื่นมือมาตบหน้าท้องเบาๆ
ฉีจิ่งหลงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที
ก่อนหน้านี้สวีซิ่งจิ่วแห่งนครเหนือเมฆมาเป็นแขกบนภูเขา ไม่พูดไม่จาก็เริ่มดื่มทันที ตนจะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่
พอไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ดีๆ ก็มีคำกล่าวว่า ‘เซียนกระบี่ฉีคอแข็งไร้เทียมทาน’
วันนี้ยังมามีหลิ่วจื้อชิงที่มาแข่งดื่มเหล้ากับตนเหมือนจะเอาให้ตายกันไปข้างอีกคน
ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “คนแซ่หลิว เหตุผลเล่า ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเอ่ยเหตุผลเรื่องที่ว่าคนใกล้ชิดควรอยู่ร่วมกันอย่างไรไม่ใช่หรือ”
หลิ่วจื้อชิงยิ่งสับสนไม่เข้าใจ
แต่ในเมื่อมิตรภาพยังไม่มากพอก็เอาปริมาณสุรามาเติมเต็ม จึงเริ่มดื่มต่ออีกครั้ง
ฉีจิ่งหลงจนปัญญา ได้แต่บอกกับหลิ่วจื้อชิงเกี่ยวกับเรื่องที่เฉินผิงอันไร้คุณธรรมด้านการดื่มเหล้า
พอรู้ความจริงแล้ว หลิ่วจื้อชิงก็ให้ระอาใจ มีอาจารย์อย่างไรย่อมมีลูกศิษย์อย่างนั้นจริงๆ
หลิ่วจื้อชิงนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงบอกกับป๋ายโส่วว่า “เผยเฉียนขอให้ข้าช่วยนำความมาบอกต่อเจ้า…”
คาดไม่ถึงว่าหลิ่วจื้อชิงเพิ่งจะเกริ่นนำ ป๋ายโส่วก็กระโดดโหยงขึ้นมาแล้ว “อย่าพูดๆ ข้าไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง!”
หลิ่วจื้อชิงยิ่งกังขา คำกล่าวนั้นของเผยเฉียนดูเหมือนจะไม่มีปัญหานี่นา ก็หนีไม่พ้นว่าอาจารย์ของทั้งสองเป็นสหายกัน นางกับป๋ายโส่วจึงเป็นสหายกันด้วย
ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “พูดมาเถอะ ฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเรื่องของป๋ายโส่ว อย่าไปสนใจเขา”
หลิ่วจื้อชิงถึงได้เอ่ยว่า “เผยเฉียนบอกว่าระหว่างที่เดินทางกลับจะมาเป็นแขกที่ยอดเขาเพียนหราน มาหาเจ้าป๋ายโส่ว”
ป๋ายโส่วปาดเหงื่อบนหน้า ยังคงไม่ถอดใจ ถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านหลิ่ว ตอนที่เผยเฉียนเอ่ยประโยคนี้มีท่าทางจริงใจหรือว่าไม่อินังขังขอบมากกว่า?”
หลิ่วจื้อชิงคิดแล้วก็บอกไปตามตรง “พูดพลางหัวเราะหึหึไปด้วย”
ป๋ายโส่วที่เดิมทียังหวังว่าตัวเองจะโชคดี จิตใจใกล้จะพังทลายเต็มที แต่ก็ยังแข็งใจซักถามต่อว่า “สายตาของนางเหล่มองไปด้านข้างเล็กน้อยด้วยใช่หรือไม่?!”
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ ตอนนั้นไม่ได้สนใจ พอป๋ายโส่วเอ่ยเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าตอนนั้นเผยเฉียนจะทำแบบนี้จริงๆ
ดังนั้นหลิ่วจื้อชิงจึงรู้สึกว่าเด็กรุ่นหลังสองคนอย่างป๋ายโส่วและเผยเฉียนน่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างมาก ไม่อย่างนั้นป๋ายโส่วก็ไม่มีทางเข้าใจรายละเอียดเหมือนเห็นเองกับตาขนาดนี้
ทว่าสีหน้าของป๋ายโส่วตอนนี้ล่ะหมายความว่าอย่างไร?
ตามหลักแล้วอาจารย์ของทั้งสองสนิทกันขนาดนี้ อีกทั้งต่างก็ชอบใช้เหตุผลด้วยกันทั้งคู่ ถ้าอย่างนั้นระหว่างลูกศิษย์ก็ไม่น่าจะมีความขัดแย้งมากนัก
ฉีจิ่งหลงกลั้นขำ
เขาเริ่มอยากจะดื่มเหล้าด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยากแล้ว
ป๋ายโส่วทรุดตัวนั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ไม้ไผ่ สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย พึมพำว่า “คราวนี้ล่ะจบเห่แน่แล้ว”
สุดท้ายฉีจิ่งหลงก็กลั้นขำไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้ส่งเสียง แล้วก็ให้ก็รู้สึกสงสารอีกฝ่ายเล็กน้อย จึงสำรวมสีหน้า เอ่ยเตือนว่า “หลังจากเจ้ากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ การฝ่าทะลุขอบเขตก็ไม่ถือว่าช้าแล้ว”
ตอนอยู่ที่คลังเจี่ยจ้างของกำแพงเมืองปราณกระบี่ คาดว่าคงเป็นช่วงเวลาที่ลูกศิษย์ใหญ่ผู้สืบทอดของตนคนนี้ตั้งใจฝึกกระบี่มากที่สุดแล้ว
ต่อให้กลับมาถึงยอดเขาเพียนหรานของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้ว อันที่จริงเมื่อเทียบกับก่อนที่จะออกเดินทางไปหาประสบการณ์ก็ยังถือว่ามานะแข็งขันกว่าเดิมไม่น้อย
ป๋ายโส่วพลันยืดเอวตั้งตรง ใช้หมัดหนึ่งทุบลงบนหัวเข่า หัวเราะร่าเสียงดัง แต่จากนั้นเสียงหัวเราะก็แผ่วเบาลงเรื่อยๆ สุดท้ายจึงเอ่ยปลอบใจตัวเองอย่างไร้ซึ่งความมั่นใจ “พยายามประลองบุ๋นกันให้มากดีกว่า ประลองบู๊ย่อมทำลายความปรองดอง ข้าไม่พูดถึงเรื่องผู้ฝึกกระบี่กับมือกระบี่อะไรนั่นแล้วก็ได้ หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็จะยกเอาอาจารย์พ่อของนางมาเป็นยันต์คุ้มกันกาย ช่วยไม่ได้จริงๆ ใครให้ความสามารถในการหาอาจารย์ของนางดีกว่าข้ากันเล่า เพียงแต่ว่าความสามารถของอาจารย์ในการหาลูกศิษย์ คนแซ่หลิวกลับทำได้ดีกว่าพี่น้องเฉินมากนัก…”
หลิ่วจื้อชิงมองฉีจิ่งหลงแวบหนึ่ง ดูเหมือนเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นี้จะคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว