ตอนที่ 3042

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3,042 : ทรายประกายดาว

 

 

“นั่นคือวัตถุดิบเหลวที่หายากชนิดหนึ่ง ขวดด้านซ้ายมันมีไว้ใช้ในการหลอมกลั่นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทเครื่องรางคุ้มกันวิญญาณ…ส่วนอีกขวดนั้นก็เป็นวัตถุดิบเหลวตั้งต้นอันหาได้ยาก สำหรับให้จอมราชันอมตะใช้จารึกสลักอาคมสร้างยันต์อมตะอันทรงพลัง”

 

เมื่อได้ยินต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมาด้วยความสงสัยขณะชี้ไปยังขวดทั้ง 2 ประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ ซุนเหลียงเผิงก็กล่าวอธิบายออกมาตามตรง

 

ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าร้อง อ้อ เป็นอันรับทราบ

 

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไฉนของเหลว 2 ขวดนั่นถึงสามารถนำมาเก็บไว้ในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ ที่แท้ด้วยคุณสมบัติและประโยชน์ของพวกมัน ต่อให้เป็นทั้งแดนสวรรค์ใต้ก็นับว่าหายาก

 

‘ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีๆเลย…’

 

ผ่านไปพักใหญ่ๆ ภายใต้การแนะนำของซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบว่าวัตถุดิบและสิ่งของแปลกๆที่เขาไม่รู้จักในคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่คืออะไรบ้าง

 

อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับทราบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้สึกว่ามันจะมีอะไรพิเศษ

 

‘ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ไม่สนใจอันใดเลยหรือ?’

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนหันมองไปยังสมบัติทั่วๆพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ซุนเหลียงเผิงก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออกอยู่บ้าง

 

มันย่อมเห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้กำลังเลือกไม่ถูกว่าจะเอาชิ้นไหน แต่เป็นไม่รู้จะฝืนเลือกอันไหนดีต่างหาก!

 

ทำราวกับบสมบัตินับร้อยๆชิ้นในคลังสมบัติแห่งนี้ ไม่มีอะไรเข้าตาแล้วจริงๆ

 

เรื่องนี้ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง

 

ต้วนหลิงเทียนคนนี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระจริงๆเหรอ?

 

ผู้ฝึกตนอิสระหัวสูงเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

“ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน เจ้าว่าข้าควรเลือกอะไรดี?”

 

ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จริงๆว่าจะหยิบอะไรติดมือกลับไปดี สุดท้ายก็ได้แต่ขอคำแนะนำจากปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน

 

“เหอะๆ เรื่องนี้เจ้าอย่ามาถามข้าจะดีกว่านะ…สำหรับข้าแล้วไอ้ที่กองๆอยู่ในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เนี่ย ล้วนแล้วแต่เป็นขยะทั้งนั้น ไม่มีค่าอะไรในสายตาข้าเลย เก็บมาก็รกแหวนเจ้าเปล่าๆ…”

 

ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินตอบ

 

หลังได้ยินคำตอบของปฐพีเทพแรกกำเริดฟ้าดินแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ไม่รู้จะเลือกอะไรดี สุดท้ายก็ตัดสินใจจะเลือกอะไรติดมือไปอีกชิ้นให้ครบๆ แต่ทันใดนั้นเอง…

 

“กล่องสีแดงลายทองทางขวามือของเจ้า…เอามันมาเสีย”

 

เสียงชราที่ไม่แปลกหูหนึ่งดังขึ้น และต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของเพลิงเทพโกลาหล!

 

“ผู้อาวุโสท่าน…ตื่นแล้วหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง

 

ในวันนั้น เพื่อช่วยให้กิ่งของพฤกษาเทพกำเนิดชีพยอมรับเขาเป็นนาย เพลิงเทพโกลาหลกับทองเทพสุดลี้ลับเหมือนจะใช้พลังไปอย่างมาก จึงเข้าสู่นิทราอีกครั้ง

 

“อืม”

 

เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอ หากแต่น้ำเสียงยังไร้ชีวิตชีวาไม่ทรงพลังเหมือนก่อน ประหนึ่งคนที่พึ่งตื่นนอน

 

“ผู้อาวุโส หากข้าจำไม่ผิดในกล่องสีแดงลายทองนั่นเก็บวัตถุดิบที่เรียกว่า ‘ทรายประกายดารา’ เอาไว้ เห็นว่ามีไว้สำหรับหลอมอาวุธอมตะระดับจอมราชัน”

 

ต้วนหลิงเทียนย่อมจดจำคำแนะนำที่ซุนเหลียงเผิงกล่าวอธิบาย หลังจากเขาถามไปว่าในกล่องสีแดงมีอะไรได้ชัดเจน ขณะเดียวกันอีกฝ่ายยังเปิดให้ดู และพบว่าด้านในเก็บทรายไว้ราวๆ 1 กำมือ

 

“ไม่ผิด”

 

เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบอีกครั้ง ยังอธิบายความสำคัญออกมาว่า “ทรายประกายดารานี่ สามารถช่วยให้จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของเจ้า ผสานเข้ากับกระบี่เทพในร่างเจ้าได้เร็วขึ้น ยังลดเวลาได้ไม่น้อยทีเดียว…”

 

ได้ยินคำพูดของเพลิงเทพโกลาหล สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวสว่างจ้าทันที

 

หวงเอ้อนั้นแม้จะเคยเป็นจิตวิญญาณของกรี่เทพระดับสูง แต่อย่างไรก็เป็นจิตวิญญาณของกระบี่เล่มอื่น คิดจะรวมผสานเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขา ก็นับว่าต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าจะหลอมรวมได้สมบูรณ์แบบ

 

ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องนี้มานนานแล้ว แต่ในใจเขาก็อยากให้หวงเอ้อผสานรวมเข้ากับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้ได้เร็วๆ เพราะถึงตอนนั้นก็เท่ากัว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่

 

เพราะจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพ สามารถแยกตัวออกมาจากอุปกรณ์เทพได้ กระทั่งยังควบสร้างร่างมนุษย์ได้ จนเรียกว่าไม่แตกต่างอะไรจากคนธรรมดาเลยด้วยซ้ำ

 

“แล้วทรายประกายดารานี่…ต้องใช้อย่างไรหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“เจ้าเอามันมาให้ได้ก็พอ ส่วนเรื่องจะใช้อย่างไรปล่อยให้ข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องห่วง”

 

เพลิงเทพโกลาหลกล่าว

 

หลังเพลิงเทพโกลาหลพูดมาแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลใดๆสืบไป ก้าวอาดๆไปหยิบกล่องสีแดงลายทองอันบรรจุทรายประกายดาราขึ้นมาถือไว้ทันที

 

“นั่นคือวัตถุดิบสำหรับหลอมสร้างอุปกรณ์อมตะ…ถึงแม้มันจะใช้หลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันได้ แต่หากเจ้าคิดจะหลอมอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันจริงๆ ยังต้องใช้วัตถุดิบอื่นอีกเป็นจำนวนมาก และทั้งหมดล้วนมีมูลค่าเท่าเทียมกับทรายประกายดารา…”

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนหยิบกล่องดังกล่าวขึ้นมา ซุนเหลียงเผิงก็เร่งเอ่ยเตือนทันที

 

“ข้าทราบแล้ว”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ ขณะเดียวกันก็มองจ้องกล่องสีแดงในมือ “ท่านประมุข ของชิ้นที่ 2 ที่ข้าต้องการคือทรายประกายดารา”

 

ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกของในคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ครบ 2 ชิ้นตามที่ตกลงไปกับรองประมุขนิกายยอมตะเป้าผู่อย่างจางกวงเจิ้งแต่แรก

 

“ท่านประมุข พวกเรากลับออกไปกันเถอะ”

 

หลังเก็บกล่องอันบรรจุทรายประกายดาราลงแหวนพื้นที่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับซุนเหลียงเผิงเสียงเรียบ

 

เดิมทีซุนเหลียงเผิงคิดว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเลือกของชิ้นที่ 3 หลังตัดสินใจเลือกชิ้นที่ 2 ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายเลือกกลับทันที!

 

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าสามารถเลือกของไปได้อีกชิ้น”

 

ถึงแม้ซุนเหลียงเผิงจะรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่วายกล่าวเตือน

 

“ท่านประมุข ขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน…แต่ข้าไม่ต้องการของสิ่งใดแล้วจริงๆ หาไม่แล้วข้าคงต้องรบกวนประมุขแน่นอน”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

หากในคลังสมบัติมีของชิ้นที่ 3 ที่เขาต้องการจริงๆ เขาคงหยิบมันมาแล้วโดยไม่สนว่าจะเป็นการติดค้างหนี้น้ำใจของซุนเหลียงเผิงหรือไม่

 

แต่ปัญหาคือ มันไม่มีอะไรที่เขาต้องการจริงๆ

 

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ไหนเลยเขาจะเลือกติดค้างหนี้น้ำใจของซุนเหลียงเผิง

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยืนกรานมาแบนี้ แม้จะคาดเดาไว้บ้างแล้ว แต่ซุนเหลียงเผิงก็รู้สึกอับจนหนทางอยู่บ้าง…

 

คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่เก็บสะสมสิ่งของล้ำค่ามานับพันนับหมื่นปี แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่าอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มชุดม่วงกลับไม่อาจดึงดูดความสนใจได้?

 

สุดท้ายซุนเหลียงเผิงก็ได้แต่พาต้วนหลิงเทียนออกจากคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ด้วยอารมณ์หดหู่

 

ขากลับ ซุนเหลียงเผิงก็เริ่มวาดวงเวทย์อาคมกลางหาว จากนั้นก็ปรากฏพลังเคลื่อนย้ายพาต้วนหลิงเทียนกลับ และหลังจากในสายตากลายเป็นมืดมิดพักหนึ่ง พอเห็นแสงสว่างอีกครั้งต้วนหลิงเทียนก็พบว่ากลับมาอยู่หน้ารูปปั้นเหมือนเดิมแล้ว

 

บนแท่นบูชา รูปปั้นดังกล่าวยังคงยืนตระหง่านประหนึ่งมีชีวิต หากแต่สองตากับกระบี่ที่ชูได้สิ้นประกายไปแล้ว

 

“ไปกันเถอะ”

 

จากนั้นซุนเหลียงเผิงก็เริ่มพาต้วนหลิงเทียนกลัทางเดิม

 

‘คลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่อาจไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่…และขนาดต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลแบบนี้ ไม่แน่ว่ามันอาจจะถูกซ่อนไว้ในที่ลับอันห่างไกลจากนิกายอมตะเป้าผู่นับพันหมื่นลี้’

 

ในระหว่างเดินทางกลับ ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคาดเดาในใจ

 

ถึงแม้เขาจะไปเยือนคลังสมบติของนิกายอมตะเป้าผู่มาแล้ว แต่เขาก็ไม่อาจระบุสถานที่ตั้งของมันได้เลย

 

เขาเชื่อว่าเผลอๆประมุขนิกาอมตะเป้าผู่อย่างซุนเหลียงเผิง ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคลังสมบัติของนิกายอมตะเป้าผู่ตั้งอยู่ที่ไหน

 

“ประมุขนิกาย ท่านทราบสถานที่ตั้งเฉพาะของคลังสมบัติหรือไม่?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

 

ได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ร่างซุนเหลียงเผิงก็ชะงักเล็กน้อย ค่อยเดินต่อพลางถาม “เจ้าถามทำไมหรือ?”

 

“ในเมื่อท่านจำเป็นต้องไปยังคลังสมบัติผ่านอาคมเคลื่อนย้ายทางไกล นั่นหมายความว่าคลังสมบัติไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่…อันที่จริงแล้วแท่นบูชากับช่องทางที่เราเดินผ่านมา ก็เสมือนเป็นการป้องกันด่านแรกเท่านั้นใช่ไหม?”

 

กล่าวถึงจุดนี้สองตาต้วนหลิงเทียนก็หยีมองซุนเหลียงเผิงเขม็ง “การป้องกันที่แท้จริงสมควรเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายในรูปปั้นมากกว่า…กล่าวให้ชัดก็คือวิธีเปิดใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ถูกต้อง”

 

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าไม่เพียงมีศักยภาพและพรสวรรค์เด่นล้ำเท่านั้น แต่เจ้ายังฉลาดเฉลียวกว่าคนธรรมดานัก…”

 

หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ซุนเหลียงเผิงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

และการถอนหายใจของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากการยืนยันข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียนเลย

 

“เจ้า…เป็นแค่ผู้ฝึกตนอิสระจริงๆหรือ?”

 

มองถามต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ในแววตาซุนเหลียงเผิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย

 

มันไม่อาจไม่สงสัย

 

เพราะมองจากศักยภาพพรสวรรค์ไหลความเฉลียวฉลาดของต้วนหลิงเทียนด้วยวัยไม่ถึงร้อยปี นับว่าเหนือกว่าผู้ฝึกตนอิสระที่มันเคยพบเจอมาจริงๆ

 

นอกจากพรสวรรค์ในการฝึกตนแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปมักไม่ค่อยเห็นโลกกว้าง และยากจะพบพานกับสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนกลับไม่ได้แลดูต้องตาพึงใจสมบัติใดๆในคลังเลย

 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้มันอดคิดไปไม่ได้ ว่าต้วนหลิงเทียนมีพื้นเพความเป็นมาไม่ธรรมดา และเคยพบเจอสิ่งล้ำค่ามากกว่านี้มาแล้ว จึงดูถูกและไม่เห็นสมบัติในคลังของนิกายอมตะเป้าผู่มันอยู่ในสายตา

 

อีกทั้งแค่ไปยังคลังสมบัติครั้งเดียว ก็วิเคราะห์ได้วว่าคลังสมบัตินิกายอมตะเป้าผู่ของมันไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่จริงๆ แต่สมควรตั้งอยู่ที่อื่นที่ไกลออกไป เห็นชัดว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตื่นเต้นกับสมบัติอะไรจริงๆ เพราะอีกฝ่ายมีสติแจ่มใสพิจารณาเรื่องราวรอบๆได้อย่างกระจ่าง

 

ตัวตนเช่นนี้ยังเป็นผู้ฝึกตนอิสระได้เหรอ?

 

กระทั่งอัจฉริยะที่เป็นผู้สืบทอดของจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ของพวกมัน ก็เกรงว่าคงไม่อาจทำได้ดีไปกว่านี้ใช่ไหม?

 

เผลอๆยังทำได้ไม่เท่าต้วนหลิงเทียนด้วยซ้ำ?

 

“ประมุขนิกาย ข้าเป็นผู้ฝึกตนอิสระจริงๆ…ยิ่งไปกว่านั้นข้าที่คิดเข้าสู่คฤหาสน์เฉวียนโยวในนามนิกายอมตะเป้าผู่ ต่อให้ข้ามีความเป็นมาอะไรจริงๆ สำหรับนิกายอมตะเป้าผู่มันแตกต่างกันที่ใด?”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถาม

 

“ก็จริงของเจ้า…”

 

พอได้ยินต้วนหลิงเทียนเอ่ยย้ำเรื่องผู้ฝึกตนอิสระออกมา จังหวะนี้ในใจของซุนเหลียงเผิงประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปอีกรอบ…

 

หรือต้วนหลิงเทียนจะเป็นผู้ฝึกตนอิสระจริงๆ?

 

หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพอนึกถึงประโยคท้ายที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวซุนเหลียงเผิงก็เลิกคิดให้วุ่นวาย

 

ก็อย่างที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวไว้ ไม่ว่าจะผู้ฝึกตนอิสระก็ดีมีความเป็นมายิ่งใหญ่ก็ดี สำหรับนิกายอมตะเป้าผู่แล้วมันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันจริงๆ

 

หลังออกจากช่องทางใต้ดินอันลึกลับซับซ้อนประหนึ่งเขาวงกต ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง

 

“ต้วนหลิงเทียน นี่คือป้ายประจำตัวของศิษย์ที่แท้จริง ในนิกายอมตะเป้าผู่ ป้ายเช่นนี้มีเพียงแค่ 10 ป้ายเท่านั้น”

 

หลังออกมาเห็นแสสว่างได้ไม่ทันไร เสียงซุนเหลียงเผิงก็ดังขึ้นให้ต้วนหลิงเทียนได้ยินอีกครั้ง

 

พอหันไปมองดู ก็พบเห็นอีกฝ่ายยื่นส่งป้ายๆหนึ่งมาให้เขา ตัวป้ายเหมือนจะทำขึ้นจากไม้ชนิดหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีกระแสพลังสีเขียวเท่าเส้นด้ายม้วนพันรอบตัวป้ายเอาไว้เรืองๆปานงูเขียว

 

“นอกจากเจ้าแล้วในบรรดาศิษย์ที่แท้จริงอีก 9 คน ผู้ที่มีพลังฝึกปรืออ่อนด้อยที่สุดก็บรรลุถึงขุนนางอมตะ 5 องค์ประกอบเรียบร้อย…แน่นอนว่าผู้ที่จะเป็นศิษย์ที่แท้จริงของนิกายอมตะเป้าผู่ได้ มิได้ดูกันที่ด่านพลังบ่มเพาะ แต่ดูกันที่ศักภาพและพรสวรรค์”

 

“นอกจากนั้น ในประวัติศาสตร์นิกาอมตะเป้าผู่เรา เจ้านับว่าเป็นคนที่ 2 ที่กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงได้ตั้งแต่ยังอยู่ในด่านพลังยอดเซียนอมตะ”