WSSTH ตอนที่ 3,045 : หวังหง
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ลองโคจรพลังบ่มเพาะดู
และเคล็ดวิชาที่เขาใช้บ่มเพาะพลังนั้นก็ยังคงเป็นเคล็ดอมตะระดับราชา ไท่อี้สุดลี้ลับ ที่กูป๋อของฮ่วนเอ๋อถ่ายทอดให้เขาก่อนที่เศษเสี้ยววิญญาณที่เหลือของนางจะสลายหายไป
“ไม่รู้ว่าป่านนี้ฮ่วนเอ๋อเป็นอย่างไรบ้าง…”
ทุกครั้งที่ต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดอมตะไท่อี้สุดลี้ลับ เขาก็อดคิดถึงฮ่วนเอ๋อขึ้นมาไม่ได้ กระทั่งยังกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฮ่วนเอ๋ออยู่ร้ำไป
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หลับตาจมสู่ภวังค์บ่มเพาะ และการบ่มเพาะของเขาตอนนี้ก็คือการใช้พลังววิญยญาณฟ้าดินที่ผ่านการขัดเกลาจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพมาแล้วอีกที พลังบริสุทธิ์ขุมแล้วขุมเล่าที่ถูกขัดเกลาเริ่มโคจรหมุนเวียนไปทั่วร่างก่อนจะถูกเพาะสร้างเป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด และไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร หากแต่บัดนี้เหนือร่างเขา พลันมีเงาร่างปานภูตผีผุดโผล่ออกมาจากเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน!
เงาร่างภูตผีดังกล่าวมองไปคล้ายเงาร่างของเทพธิดาน้ำแข็งที่กำลังเริงระบำไปมาเหนือร่างเขา อีกทั้งความเร็วในการเคลื่อนไหวยังรวดเร็วถึงขั้นเห็นเป็นภาพเงามายาแยกร่างไปมา
หากประมุขนิกายอมตะเป้าผู่ได้มาเห็นฉากนี้ เกรงว่าคงมีตกใจกันลูกตาหลุดออกจากเบ้ากันบ้าง
นั่นเพราะเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหินนั้น ยิ่งผู้ที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังบนเตียงมีความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินมากเท่าไหร่ เตียงน้ำแข็งก็จะก่อปรากฏการณ์ให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น!
การที่ปรากฏร่างเทพธิดาน้ำแข็งเริงระลำเหินร่างงไปมาวูบวาบจนเป็นดั่งเงาเลือนแบบนี้ อมบ่งบอกว่าความเร็วในการบ่มเพาะของผู้ใช้มันสูงล้ำสุดที่ตัวมันจะจินตนาการได้ออก!
กระทั่งให้เป็นตัวซุนเหลียงเผิงเอง ยามนั่งบ่มเพาะพลังบนเตียงน้ำแข็งวิเศษอมตะเหิน ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ชัดเจนแบบนี้ และเทพธิดาน้ำแข็งก็ไม่ได้เหินร่างเต้นระบำว่องไวแบบนี้
หลังบ่มเพาะพลังไปราวๆครึ่งชั่วยาม ต้วนหลิงเทียนก็หยุดดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดิน พักการบ่มเพาะเอาไว้ก่อน
“ผู้อาวุโสเพลิงเทพ ไม่ทราบว่าท่านจะใช้ทรายประกายดารานี่อย่างไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่พักการบ่มเพาะ ลืมตาขึ้นมาไม่ทันไรก็สะบัดมือเรียกกล่องสีแดงลายทองออกมา พลางถามเพลิงเทพโกลาหลในร่างทันที
“เจ้าเรียกกระบี่เทพขั้นสูงของเจ้าออกมา แล้วใช้พลังของข้าให้ความร้อนมันเสีย…หลังจากนั้นข้าจะชักนำวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของเจ้าให้เข้าไปอยู่ในกระบี่ ถึงตอนนั้นก็ให้เจ้าโรยทรายประกายดาราลงตัวกระบี่ทั่วๆ จากนั้นข้าจะเพิ่มพลังเพื่อหลอมกระบี่ เร่งกระบวนการผสานวิญญาณลงกระบี่ให้เจ้า”
เพลิงเทพโกลาหลเอ่ยตอบเร็วไว แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วยังคล้ายคนง่วงไม่อยากลุกจากเตียง
“ได้!”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ จากนั้นก็ทำตามคำแนะนำของเพลิงเทพโกลาหล เรียกกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนออกมาจากร่างกาย ให้มันมาลอยล่องท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหน้าเขา
ฟู่วว!!
พริบตาต่อมาเขาก็ยกมือขวาขึ้นมาแบหงาย เพียงหนึ่งห้วงคิดเพลิงสีเทาพลันลุกโชนขึ้นมาดังพรึ่บ จากนั้นก็เริ่มควบคุมเพลิงให้พุ่งไปดั่งมังกรห้อมล้อมแผดเผาไปทั่วตัวกระบี่
อย่างไรก็ตามแม้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนจะถูกเปลวเพลิงสีเทาดั่งมังกรแผดเผา ทว่ามันหาได้มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปไม่
สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
เพราะสุดท้ายแล้วเพลิงสีเทาที่เขาใช้ออก ก็ยังมีพลังอำนาจเทียบได้กับเพลิงอมตะระดับสูงเท่านั้น ยังไม่ได้ทรงพลังเท่าเพลิงอมตะระดับขุนนางด้วยซ้ำ
เกิดเปลวเพลิงของเขาสามารถแผดเผากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้หลอมละลายหรือแค่เสียรูป เขาก็คงอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า…กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่แท้ใช่อุปกรณ์เทพระดับสูงจริงรึเปล่า!
“ยาโถวน้อยหวงเอ้อ กระบวนการหลังจากนี้อาจทำให้เจ้ารู้สึกยากทานทนอยู่บ้าง…แต่ตราบใดที่เจ้าแข็งใจทนรับมันได้ไหว ขั้นตอนการผสานรวมเข้ากับกระบี่เทพเล่มนี้ของเจ้า นับว่าทำสำเร็จไปแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง!”
เสียงเพลิงเทพโกลาหลดังขึ้นภายในร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง และเห็นชัดว่าคราวนี้อีกฝ่ายกำลังพูดกับหวงเอ้อ จิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในทะเลวิญญาณของต้วนหลิงเทียน
“ข้าสามารถทานรับความเจ็ปวดขณะแยกวิญญาณของจากกระบี่ที่เป็นดั่งร่างกายของข้าได้ ไฉนข้ายังต้องกลัวความเจ็บปวดเล็กน้อยเพียงเท่านี้”
เสียงหวงเอ้อยยังคงเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน แต่ครานี้กลับเปี่ยมล้นไปความตั้งใจอันเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขาม!
ในขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกระทำตามคำชี้นำของเพลิงเทพโกลาหลเพื่อเร่งกระวนการผสานวิญญาณหวงเอ้อลงกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน…
ศิษย์สายตรงของประมุขนิกายอมตะเป้าผู่คนที่ 3 เจิ้งหงอี้ หลังพายอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งหลายไปลงทะเบียนแล้วเสร็จ มันก็พาทุกคนไปยังหุบเขาที่พักสำหรับศิษย์ฝ่ายในทันที
“นั่นศิษย์พี่หงอี้!”
“กลุ่มคนที่เหินตามหลังศิษย์พี่เจิ้งหงอี้มา ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้งสิ้น!”
“สมควรเป็นคนที่ท่านรองประมุขจางพากลับมาจากทะเลสาบอวิ๋นเยียนเป็นแน่…นี่คือเหล่ายอดเซียนอมตะที่โดดเด่นในบรรดายอดเซียนอมตะทั้งเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว พวกมันกล่าวไปก็สบายไม่น้อย แรกเข้านิกายก็ได้เป็นศิษย์ฝ่ายในทันที”
“หึ! พวกมันเริ่มต้นได้เปรียบกว่าผู้อื่นเขาแล้วอย่างไร หากศักยภาพพรสวรรค์ของพวกมันอ่อนด้อย สุดท้ายก็ไม่พ้นถูกขับออกจากศิษย์ฝ่ายในอยู่ดี”
… …
เจิ้งหงอี้พาผู้คนกลับมาแบบนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์มากมายทันที และที่ดึงดูดความสนใจของเหล่าศิษย์ฝ่ายในก็คือกลุ่มยอดเซียนอมตะด้านหลังนั่นเอง
“ศิษย์พี่หงอี้!”
ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งวูบร่างมาหยุดเบื้องหน้าในชั่วพริบตา และดูท่าทีแล้วมันท่าทางจะสนิทสนมกับเจิ้งหงอี้ไม่น้อย “เมื่อครู่ท่านประมุขพึ่งมาที่นี่ด้วย”
“ท่านอาจารย์หรือ?”
เจิ้งหงอี้ขมวดคิ้วเบาๆ เอ่ยถามออกไปด้วยสงสัย “ท่านมาคนเดียวหรือไม่?”
“เปล่า ท่านประมุขมาพร้อมกับชายหนุ่มชุดม่วงคนหนึ่ง นอกจากนั้นข้าได้ยินมาว่าดูเหมือนท่านประมุขจะแต่งตั้งให้ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นเป็นศิษย์ที่แท้จริง และเป็นท่านประมุขมาส่งมันถึงลานที่ยังว่างอยู่ด้วยตัวเอง”
ศิษย์ฝ่ายในที่มากล่าวรายงาน
“อืม ข้ารู้แล้ว”
เจิงหงอี้พยักหน้ารับรู้ แม้ในใจมันจะบังเกิดความไม่พอใจมากแค่ไหน แต่มันก็รู้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์ของมันตัดสินใจไปแล้ว คงยากที่มันจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ตราบใดที่มันกล้าฝ่าฝืนคำพูดหรือไม่เชื่อฟัง เกรงว่าอาจารย์ของมันเพียงแต่จะขับไล่มันออกไปจากสถานะศิษย์สายตรง เผลอๆมันอาจจะถูกขับไล่ออกจากนิกายอมตะเป้าผู่ ข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งประมุข!
“ศิษย์พี่หงอี้ เจ้าหนูนั่นมันเป็นใครกัน อยู่ดีๆไฉนมันถึงมาตัดหน้าชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงไปจากท่านได้เล่า…หากไม่ใช่เพราะมัน ตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงนั่นไม่พ้นต้องตกเป็นนของท่านแน่!”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าท่าทีเจิ้งหงอี้ยังแลดูสงบ ศิษย์ฝ่ายในที่มารายงานก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ที่ลอยอยู่เบื้องหน้ามันคนนี้ สมควรโมโหเป็นฟืนเป็นไฟหรอกหรือไร?
มันรู้ว่าศิษย์พี่ผู้นี้มุ่งหวังในตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“อู๋เฟิง ปากเจ้าจะกินอะไรก็ได้ แต่อย่าได้พูดซี้ซั้ว ต่อให้ไม่มีมันตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงก็ไม่แน่ว่าจะเป็นข้าที่ได้…”
เจิ้งหงอี้เหลือบมองศิษย์ฝ่ายในเบื้องหน้าพลางเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนมีศักยภาพพรสวรรค์สูงนัก กระทั่งไหวพริบปฏิภาณทั้งเชาว์ปัญญาก็เด่นล้ำไม่ธรรมดา นับว่ามีคุณสมบัติเป็นศิษย์ที่แท้จริงครบถ้วน!”
“หากเจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้…หรือจะบอกว่าสายตามองคนของท่านอาจารย์ใช้การไม่ได้แล้ว?”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาเจิ้งหงอี้ก็ทอประกายเยียบเย็นออกมาข่มขู่อู๋เฟิง เพื่อให้อีกฝ่ายเลิกพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องออกมาเสียที
“ในเมื่อเจ้ามาก็ดี เช่นนั้นฝากเจ้าดูแลพวกมันด้วยแล้วกัน…พาพวกมันไปจับจองที่พักที่ยังว่างอยู่เสีย”
หลังโยนภาวะให้ศิษย์ฝ่ายในนาม อู๋เฟิง แล้วเสร็จ เจิ้งหงอี้ก็เหินร่างจากไปทันที
จนเมื่อเจิ้งหงอี้เหินละลิ่วหายลับไปจากสายตาแล้ว อู๋เฟิงพึ่งตระหนักได้ว่าผู้อื่นโยนงานให้ตัว มันก็ได้แต่หันไปมองยอดเซียนยอมตะทั้งหลายที่ลอยร่างรอคอยอย่างเงียบๆพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย “ตามข้ามา”
เหล่ายอดเซียนอมตะเห็นท่าทีคล้ายเบื่อหน่ายรำคาญของอู๋เฟิง ก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความขุ่นเคืองใจอยู่บ้าง
ต้วนหลิงเทียนที่เข้าร่วมนิกายอมตะเป้าผู่มาพร้อมกันกับพวกมัน ไม่เพียงแต่รองประมุขให้ความสำคัญ กระทั่งประมุขนิกายยังเลือกจะมาจัดการเรื่องราวให้ด้วยตัวเอง แต่พวกมันตอนแรกก็โดนโยนให้ศิษย์สายตรงคนหนึ่งรับเรื่อง มาตอนนี้ศิษย์สายตรงที่ว่าก็โยนพวกมันให้ศิษย์ฝ่ายในธรรมดาๆอีก!
“เฮ่ย ว่าแต่พวกเจ้าน่ะ มีใครรู้จักไอ้หนูชุดม่วงนั่นบ้าง?”
อู๋เฟิงที่เหินร่างไปอย่างเบื่อๆ พลันฉุกคิดอะไรขึ้นได้ จึงหันมามองถามยอดเซียนอมตะด้านหลัง
และพอได้รับคำตอบของคำถามแรก มันก็เริ่มยิงคำถามต่อมาระรัว ทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายในบังเกิดความสนใจ จากนั้นก็เข้ามามุงฟัง จนในที่สุดเหล่าศิษย์ฝ่ายในหลายคนก็ได้รู้ว่าอัจฉริยะคนใหม่ที่ประมุขพวกมันมาดูแลด้วยตัวเองของนิกายอมตะเป้าผู่เป็นอย่างไร
อายุไม่ถึงร้อยปี
บรรลุขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุด
เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการ
กลับออกมาจากแดนสวรรค์ใต้โบราณด้วยอันดับที่ 2!
……
ระหว่างที่อู๋เฟิงและเหล่าศิษย์ฝ่ายในระดมคำถามใส่เหล่ายอดเซียนยอมตะจนได้รับทราบเรื่องราว ในที่สุดพวกมันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเกาะลอยเหนือหุบเขาเกาะหนึ่ง
เกาะลอยที่ว่า ก็เป็นเกาะที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเข้าไปจับจองเป็นเจ้าของลานเล็กๆนั่นเอง…
“ให้ตายเถอะวะ เจ้าหนุ่มชุดม่วงผู้นั้น ที่แท้เป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้เชียวหรือ!?”
“มันอายุไม่ถึงร้อยปีก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว…โตไปมันจะเป็นสัตว์ประหลาดอันใดกัน!?”
“ตอนนี้ข้าไม่แปลกใจเลยที่ไฉนท่านประมุขปฏิบัติกับมันดีนัก ด้วยพรสวรรค์และความสามารถของมัน ขอเพียงไม่ตกตายไปเสียครึ่งทาง กระทั่งคฤหาสน์เฉวียนโยวยังไม่เพียงพอกับมัน เวทีของมันสมควรเป็นทั่วทั้งแดนสวรรค์ใต้! กระทั่งอาจจะเหนือกว่านั้น!!”
“นับว่าตัวตนที่ร้ายกาจเช่นมันมีคุณสมบัติเป็นศิษย์ที่แท้จริงครบถ้วนแล้วล่ะ!”
…
เหล่าศิษย์ฝ่ายในที่ไม่ยอมรับต้วนหลิงเทียนในฐานะศิษย์ที่แท้จริงก่อนหน้า พอได้รับทราบถึงความแข็งแกร่งต้วนหลิงเทียนที่ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี ใจพวกมันก็บังเกิดความยอมรับทันที
“ข้าล่ะคิดว่าศิษย์ที่แท้จริงหากไม่เป็นของ ข้า เจิ้งหงอี้ก็ต้องเป็นหวังหงเสียอีก…ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะถูกดับฝันไปตั้งแต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรแบบนี้”
ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งที่พึ่งกลับมาจากด้านนอก เมื่อได้ยินบทสนทนาดังระงมจากเบื้องล่าง มันจึงหยุดเงี่ยหูฟังกลางหาว และพอรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจดังเฮือก
และเสียงถอนหายใจดังเฮือกของมัน ก็ทำให้ศิษย์ฝ่ายในสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ จึงเร่งรุดไปชมมอง พอเห็นว่าเป็นใครที่มาถอนหายใจแถวนี้ ก็เร่งรุดประสานมือทำความเคารพทันที
“ศิษย์พี่จ้วงฝาน”
“ศิษย์พี่จ้วงฝาน”
…
เหตุผลที่ไฉนเหล่าศิษย์ฝ่ายในถึงได้เร่งุรดประสานมือคารวะทักทายอีกฝ่าอย่างกระตือรือร้นแบบนี้ เป็นเพราะศิษย์ฝ่ายในนาม จ้วงฝาน คนนี้ เป็น 1 ใน 3 ศิษย์ฝ่ายในที่โดดเด่นที่สุด!
ส่วนอีก 2 คนนั้น ก็คือศิษย์สายตรงประมุขคนที่ 3 เจิ้งหงอี้ กับอีกคนที่เป็นศิษย์พี่หญิงของพวกมัน หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ หวังหง!
ในบรรดาทั้ง 3 เจิ้งหงอี้กับหวังหงล้วนมีทุนรอนอันดีในนิกายอมตะเป้าผู่ ต่างมีผู้สนับสนุนทั้งสิ้น หากแต่ จ้วงฝาน นั้นไม่มีผู้ใดหนุนหลัง
ด้วยเหตุนี้เมื่อเทียกับเจิ้งหงอี้ กับหวังหงแล้ว ศิษย์ฝ่ายในของนิกายอมตะเป้าผู่นับว่ามีความสนิทใจกับจ้วงฝานมากกว่า
“เอาล่ะ”
“ดีๆ”
……
เผชิญหน้ากับการทักทานของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน จ้วงฝาน ก็พยักหน้าทักกลับด้วยรอยยิ้มทีละคน ท่าทางมากอัธยาศัยและเข้าถึงง่ายของมัน ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ในเวลาเดียวกัน…
ณ ถิ่นที่อยู่ของนิกายอมตะเป้าผู่ หุบเขาเล็กๆอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง
“เจิ้งหงอี้ นี่เจ้าถ่อมาหาข้าถึงนี่ เพราะเรื่องต้วนหลิงเทียนคนนั้นรึ?”
สตรีในชุดแดงอันมีทรวดทรงองค์เอวโค้งเว้า ใบหน้างดงามไม่น้อย ยืนข้างม่านน้ำตกริมผนังผาหุบเขาเล็กๆด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย มองถามไปยังชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยสายตาสงบ
“หวังหง เมื่อก่อนที่พวกเราสู้กันก็เพราะคิดช่วงชิงตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงที่ว่างลง…แต่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มันพึ่งมาถึงไม่ทันได้ทำอะไรก็คว้าตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริงไปแล้ว”
ชายหนุ่มที่กำลังเอ่ยคำกับสตรีนางนี้ ก็คือเจิ้งหงอี้ที่พึ่งออกจากสถานที่พักของเหล่าศิษย์ฝ่ายในมานั่นเอง
“เจ้าทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้หรือ?”
เจิ้งหงอี้เอ่ยถามเสียงหนัก
“ได้แล้วอย่างไร ไม่ได้แล้วอย่างไร? เรื่องนี้อาจารย์ของเจ้าตัดสินใจไปแล้ว กระทั่งท่านปู่ของข้าก็มิอาจเปลี่ยนแปลงอันใดได้”
หวังหงมองสบตาเจิ้งงหงงอี้พลางตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ต้นจนจบทีท่าของนางแลดูเฉยๆสบายๆ คล้ายเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรกับนาง
“หวังหงต่อหน้าข้าเจ้ามิต้องเสแสร้งอันใด…คนที่ไม่รู้จักเจ้าอาจจะเชื่อว่าเจ้าไม่ยี่หระกับเรื่องนี้…”
เจิ้งหงอี้แสยยะยิ้มเย้ยหยัน “แต่ข้ารู้ดี…ว่าคนที่ไม่เต็มใจกว่าใครก็คือเจ้า!”