มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1458

“จุ๊จุ๊ ต่อให้ยกอาวุธเช่นนี้ให้ข้า ข้าก็ไม่มีปัญญาใช้มันหรอก”เจิ้นหวางหยูที่ยืนอยู่ข้างกายหลัวซิวยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้านภาขั้นสุดยอด แต่เขาก็แบกรับการสูญเสียเช่นนี้ไม่ไหวแน่นอน

ต่อให้เป็นราชาเทพคนหนึ่ง หากนั่งเรือรบดาราเที่ยวเตร่ไปทั่วบ่อย ๆ ทรัพยากรแก้วเทวจำนวนมากก็จะถูกใช้จนหมดสิ้นเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงกองกำลังใหญ่เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถบ่มเพาะอาวุธสงครามระดับนี้ได้!

“ไอ้ลูกล้างผลาญครอบครัว”

หลัวซิวเหล่ตามองพวกจี้ซิวที่ยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าเรือรบ ซึ่งหกคนนั้นก็คือศิษย์ของจี้เฟิงนั่นเอง สีหน้าท่าทางของแต่ละคนดูหยิ่งผยองถึงขั้นสุด หลัวซิวประเมินการอยู่ว่าที่ไอ้คนพวกนี้เอาเรือรบดาราออกมานั้น ก็เพื่อโอ้อวดเท่านั้นแหละ

“ทุกคนโปรดระวัง ตรงหน้ามีอสูรกายดารากลุ่มหนึ่งปรากฏ ทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้!”

ทันใดนั้นเอง จี้ซิวที่เป็นผู้นำก็ตะคอกเสียงดังลั่นออกมาอย่างกะทันหัน เสียงเขาดังก้องอย่างชัดเจนอยู่ข้างหูนักยุทธ์ทุกคนบนเรือรบทั้งสองลำ

อสูรกายดาราที่หมายถึง ก็คืออสูรกายที่ใช้ชีวิตอยู่ในห้วงดารา เนื่องจากสภาพแวดล้อมและการแข่งขันในห้วงดาราค่อนข้างเลวร้ายดุเดือด เพราะฉะนั้นอสูรกายดาราจึงแข็งแกร่งกว่าอสูรกายในโลกพิภพมาก

ทุกคนต่างจ้องเขม็งไป ก่อนจะพบเห็นหมอกสีแดงเลือดกำลังแผ่คลุมมาทางเรือรบทั้งสองลำอย่างดุดัน

จากการที่ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายยิ่งอยู่ยิ่งใกล้กัน ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าภายในหมอกสีแดงเลือดนี้คืออสูรหมาป่ากลุ่มหนึ่งที่มีขนสีแดงเลือด

ปีศาจหมาป่าตาเลือด!

นี่เป็นอสูรกายชนิดหนึ่งที่พบเจอได้บ่อยในห้วงดารา ลำตัวของพวกมันยาวกว่าหลายร้อยเมตร ซึ่งคำว่าตาเลือดที่อยู่ในชื่อของพวกมันนั้นมาจากตรงหว่างคิ้วของพวกมันมีดวงตาตั้งอยู่หนึ่งดวง

ขนของปีศาจหมาป่าเป็นสีแดงเลือด แต่ทว่าดวงตาของพวกมันกลับเป็นสีฟ้า มีจุดหนึ่งที่แตกต่างกันนั้นก็คือดวงตาดวงที่สามตรงหว่างคิ้วเป็นดวงตาสีแดง

ด้วยเหตุนี้บางครั้งปีศาจหมาป่าตาเลือดก็ถูกเรียกว่าปีศาจหมาป่าสามเนตรเช่นกัน

พวกมันไม่เพียงมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ถนัดการเข่นฆ่าในระยะประชิด ดวงตาที่ตั้งอยู่ตรงหน้าผากยังสามารถกระตุ้นแสงเลือดกร่อนออกมาได้อีกด้วย ทันทีที่ถูกโจมตีเข้า ร่างกายของนักยุทธ์ก็จะถูกกัดกร่อนจนไม่เหลือซากในชั่วพริบตา มากกว่านั้นคือแม้กระทั่งช่องจิตก็หนีไม่พ้นจากการถูกกัดกร่อน

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ปีศาจหมาป่าตาเลือดจึงทำให้สีหน้าของนักยุทธ์จำนวนมากที่ล่องลอยอยู่ในห้วงดาราเปลี่ยนไป เกรงกลัวจนอยากหลบหนีแต่กลับหนีไม่พ้น

“นักค่ายเทพออกโรง!”

เสียงของจี้ซิวที่อยู่ในชุดสีขาวดังก้องกังวานขึ้นมา ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว เหล่านักค่ายเทพจำนวนมากของตำหนักหลักเมืองและสมาคมจรัสนภาก็บินออกมาจากเรือรบพร้อมเพรียงกัน

ร่างกลวัฏสงสารที่สองของหลัวซิวก็อยู่ในนั้นเช่นกัน ตามข้อเรียกร้องของจี้ซิว พวกเขาได้ทำการสลักลายค่ายไว้ห้วงอากาศอันว่างเปล่าตรงหน้าเรือรบ จัดตั้งเป็นแนวป้องกันที่ 1

สัญลักษณ์ลายค่ายต่าง ๆ ถูกสลักวาดออกมา จากนั้นก็มีรังสีเป็นประกายระยิบระยับ ผสมเข้าไปในห้วงอากาศอันว่างเปล่าตรงหน้า นักค่ายเทพที่กองกำลังใหญ่ทั้งสองสามารถเชื้อเชิญว่าจ้างมาได้นั้น น้อยสุดก็เป็นนักค่ายเทพระดับ 4 ในบรรดานักค่ายเทพทั้งหมดยิ่งมีสองคนที่มีฝีมือด้านค่ายกลสูงถึงระดับ 6

ค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนถูกสลักออกมา ค่ายกลที่ทุกคนสลักวาดเป็นอย่างแรกก็คือค่ายคุ้มกัน ถัดจากนั้นก็เป็นค่ายยากเย็น ตามมาด้วยค่ายสังหารและค่ายเสวียน

ผนึกเชื่อมค่ายกลทั้งหมดเข้าด้วยกัน สามารถปลดปล่อยพลานุภาพของค่ายกลออกมาได้มากที่สุด ซึ่งมีประสิทธิผลดีสุดเมื่อใช้มันมาจัดการอสูรกายที่สติปัญญาไม่ค่อยสูง

“อาวู๊!”

เสียงคำรามของหมาป่าดังขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ในห้วงดาราอย่างไม่หยุดหย่อน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของฝูงปีศาจหมาป่าตาเลือดรวดเร็วมาก ๆ หลังจากที่ถูกแนวป้องกันแรกจากค่ายคุ้มกันต้านทานไว้แล้ว ปีศาจหมาป่าทั้งหมดก็เริ่มโจมตีกัดฉีกอย่างสุดชีวิต และทำลายแนวป้องกันนี้ไปอย่างรวดเร็ว

ค่ายคุ้มกันที่นักค่ายเทพส่วนมากจัดวางนั้นไม่ถือว่าปราดเปรืองมากนัก ความหมายที่แท้จริงของการจัดวางค่ายคุ้มกันนั้น ไม่ได้ทำเพื่อต้านทานการโจมตีของฝูงปีศาจหมาป่า เป็นทำเพื่อให้พวกมันเกิดอาการชา สูญเสียความรู้สึก

สติปัญญาของอสูรกายไม่เหมือนเผ่าปีศาจ หลังจากที่พวกมันพบว่าค่ายกลถูกทำลายไปได้อย่างง่ายดาย พวกมันก็จะมีจิตที่ดูหมิ่น จากนั้นฝูงปีศาจหมาป่าจำนวนมากก็พุ่งเข้าไปในขอบเขตของค่ายสังหาร

เรื่องการเข่นฆ่ากับอสูรกายดารา สำหรับนักยุทธ์ที่ผจญภัยในห้วงดาราอยู่บ่อยครั้งนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว