เผยเฉียนปล่อยหมัดหนึ่งไปแล้วก็เก็บหมัดดังเดิม
ร่างของนักพรตชิวสุ่ยจมอยู่ในหลุมใหญ่บนพื้นหิมะ เขานั่งอยู่บนพื้น อ้าปากสูดเต็มแรงหนึ่งครั้ง สูดเอาดอกเหมยทั้งหมดมาไว้ในปากแล้วเคี้ยว สภาพอันน่าอนาถที่เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจึงหายวับไปในพริบตา
พอลุกขึ้นยืนได้ก็สะบัดเศษหิมะที่ติดอยู่บนเสื้อคลุม เขาที่สองเท้าเปลือยเปล่าเดินออกมาจากหลุมใหญ่ หันไปประสานมือคารวะต่อจุดที่ห่างไปไกล ปากก็เอ่ยเรียกว่านายท่าน
เผยเฉียนยื่นมือออกไปคว้าจับ บังคับไม้เท้าที่อยู่ห่างไปไกลมาไว้ในมือ
เผชิญหน้ากับหญิงชราและนักพรตเปลือยเท้า เผยเฉียนไม่ได้ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าด้วยซ้ำ
เพราะศัตรูที่แท้จริงไม่ใช่สองคนนี้
หากออกหมัดอย่างเต็มกำลัง สังหารคนใดคนหนึ่งไปได้ก็เปล่าประโยชน์ กลับกลายเป็นว่าจะทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
นางถึงขั้นสังเกตเห็นเงาร่างนั้นได้ก่อนหญิงชรากับนักพรตชิวสุ่ยด้วยซ้ำ
ห่างออกไปไกลมีคุณชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนหลังสิงโตสีขาวหิมะ ใบหน้าประดับรอยยิ้มคอยมองดูสนามรบทางจุดนี้อยู่ตลอดเวลา
นายแห่งอาณาเขตใต้ของพื้นที่ราบน้ำแข็งธวัลทวีป เผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบ ซี่หลิ่ว
เผยเฉียนไม่ได้รู้สึกว่าขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งก็คือปีศาจใหญ่อะไรแล้ว
เพราะนางเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อน
สิงโตสีขาวหิมะพลันเผยกายมาปรากฏตัวอยู่ข้างหญิงชราคนนั้น ซี่หลิ่วไม่ปกปิดสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของตัวเองแม้แต่น้อย เขามองประเมินหญิงสาวที่มีความเป็นได้สูงว่าจะเป็นขอบเขตเดินทางไกล แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนึ่งเพราะปีศาจพื้นที่ราบน้ำแข็งที่ไม่อาจสู้หน้าใครได้อย่างพวกเราแทบไม่เคยเป็นฝ่ายลงใต้ไปก่อหายนะมาก่อน สองเพราะเจ้าเป็นคนที่ผ่านทางมาซึ่งเคารพกฎเกณฑ์อย่างที่หาได้ยาก ข้าจึงจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ ดังนั้นพวกเราทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีปัญหากัน ขอแค่เจ้ายินดีจากไป ยอมมอบคนกลุ่มนี้ให้สหายชิวสุ่ยจัดการ ก็ถือว่าพวกเราหายกันแล้ว”
ซี่หลิ่วยิ้มเอ่ยอีกว่า “แน่นอนว่ายังมีทางเลือกอีกทาง ก็คือนายท่านเทพเซียนกลุ่มนี้สามารถจากไปได้ แต่ต้องทิ้งเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็สามารถมีชีวิตรอด เพียงแต่แม่นางเจ้าคงต้องกลายไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของข้าซี่หลิ่วแล้ว แม่นางเจ้าก็ดี หรือหกคนนี้ก็ช่าง จะต้องมีสักฝ่ายที่อยู่ชมหิมะเป็นเพื่อนข้า”
ซี่หลิ่วหันไปส่งสายตาให้นักพรตชิวสุ่ย ฝ่ายหลังจึงรีบหลีกทางให้ทันที
หญิงชรายิ้มกล่าว “นายท่านของข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด พวกเจ้าก็จงชั่งน้ำหนักดูเอาเอง”
ซี่หลิ่วแห่งอาณาเขตใต้ ปีศาจใหญ่ตนนี้เป็นคนรักษาคำพูดจริง
ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นจึงพากันใช้เสียงในใจสื่อสารกัน จากนั้นก็ถอยหนีไปทางทิศใต้อย่างเด็ดเดี่ยวแทบจะเวลาเดียวกัน
สุดท้ายเหลือผู้ฝึกยุทธหญิงสาวคนนั้นเอาไว้
ซี่หลิ่วยิ้มเอ่ย “ออกหมัดให้กับพวกคนจิตใจโสมมไร้คุณธรรมพวกนี้ เปิดทางรอดชีวิตให้กับพวกเขา แต่กลับทำให้ร้ายให้ตัวเองต้องตกอยู่ในทางตัน แม่นางเจ้าทำแบบนี้ออกจะไม่คุ้มค่าเกินไปหน่อยหรือไม่?”
เผยเฉียนเดินไปที่ข้างหีบไม้ไผ่ ส่ายหน้าเอ่ย “ออกหมัดเพื่อตัวเอง”
เอาไม้เท้าเดินป่าวางไว้บนหีบไม้ไผ่ แล้วม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นช้าๆ ท่าทางเช่นนี้คล้ายว่าจะต่อสู้อีกแล้ว
ดีมาก
นางไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว
แต่ซี่หลิ่วผู้นั้นกลับยิ้มถามต่ออีกว่า “ไม่พูดถึงเรื่องการเข่นฆ่าระหว่างที่เจ้าเดินทางลงใต้ก่อนหน้านี้ เพราะนั่นล้วนเป็นการลงมือโดยมีเหตุผลอย่างชัดเจน แต่วันนี้เจ้าออกหมัดสังหารปีศาจเพื่อผู้ฝึกลมปราณพวกนี้ ถือว่าทำถูกแล้วหรือ?”
เผยเฉียนยังคงส่ายหน้า เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ฆ่ามัน เชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ผู้อาวุโสซี่หลิ่ว”
ในเมื่ออีกฝ่ายยินดีใช้เหตุผล ต่อให้จะเป็นเพียงแค่ชั่วคราว ถ้าอย่างนั้นเผยเฉียนก็ยินดีจะพูดมากขึ้นอีกสองสามประโยค
ซี่หลิ่วอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองหญิงชรา สีหน้าของหญิงชรากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “เรียนนายท่าน แม่นางน้อยคนนี้เพียงแค่ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้จั๋วฮวาหนีไปเท่านั้น”
เผ่าปีศาจโอสถทองที่ไล่ฆ่าพวกผู้ฝึกลมปราณก่อนหน้านี้มีนามว่าจั๋วฮวา
มันแค่ถูกหมัดหนึ่งของผู้ฝึกยุทธหญิงต่อยให้บาดเจ็บเท่านั้น แต่เพราะตกใจเข้าแล้วจริงๆ เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นศิษย์น้องหรือไม่ก็ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหลิ่วซุ่ยอวี๋ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า จึงเผ่นหนีไปไกลหลายร้อยลี้
ส่วนปีศาจใหญ่ซี่หลิ่วก็ถูกปณิธานหมัดของเผยเฉียนดึงดูดมา ถึงได้เข้าใจผิดคิดว่าจั๋วฮวาถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งไปแล้ว
ซี่หลิ่วยิ่งประหลาดใจ “แม่นางน้อยมาจากสำนักใด? นี่ไม่ใช่นิสัยของพวกผู้ฝึกยุทธสายอาเซียงแห่งศาลเหลยกงเลย”
และคำเรียกขานด้วยความเคารพว่า ‘ผู้อาวุโสซี่หลิ่ว’ ของอีกฝ่ายนั้น ก็ยิ่งทำให้ปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบที่ยืนอยู่บนหลังสิงโตสีขาวหิมะตนนี้รู้สึกขบขันเป็นเท่าทวี แต่ที่มากกว่านั้นคือความประหลาดใจ
เผยเฉียนลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า
ซี่หลิ่วรู้สึกสองจิตสองใจขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นมือมากุมหว่างคิ้ว ปวดหัวยิ่งนัก
วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อันดับแรกก็เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งที่มีเหตุผล แต่ขอบเขตวิถีวรยุทธกลับไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง ขอแค่สองอย่างนี้นางขาดอะไรไปสักอย่าง ซี่หลิ่วก็ไม่จำเป็นต้องลังเลเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นก็มีสตรีอีกคนหนึ่งที่ทำให้ซี่หลิ่วเสียวสันหลังวาบมาเยือน คนที่ทำให้ซี่หลิ่วกริ่งเกรงได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นเซียนกระบี่อย่างไม่ต้องสงสัย
เซียนกระบี่ในธวัลทวีปหาได้ยากยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
บวกกับที่อีกฝ่ายยังเป็นสตรี ซี่หลิ่วจึงพอจะแน่ใจในตัวตนของนางคร่าวๆ แล้ว คือเซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีปที่ไม่ค่อยชอบบ้านเกิดอย่างธวัลทวีป เซี่ยซงฮวา
ว่ากันว่าเซี่ยซงฮวาออกกระบี่ พลังพิฆาตรุนแรงอย่างยิ่ง ยามที่รับมือกับศัตรู แต่ไหนแต่ไรมาแค่หนึ่งกระบี่ก็แบ่งแพ้ชนะได้แล้ว
ซี่หลิ่วกริ่งเกรงก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นหวาดกลัวเกินไปนัก อยู่ในที่ราบน้ำแข็งทางทิศใต้ ซี่หลิ่วได้เปรียบเรื่องชัยภูมิ แม้ว่าหากต่อสู้กันขึ้นมาก็ยังสู้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอเห็นมาดของเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นก่อนค่อยจากไปแล้วกัน
เซียนกระบี่หญิงที่สะพายกล่องไม้ไผ่ไว้ด้านหลังขี่กระบี่มาถึง ปราณกระบี่ด้านหลังของนางไม่ว่าจะผ่านที่ใดก็คล้ายจะบุกเบิกเส้นทางว่างเปล่าไร้ลมไร้หิมะไว้เส้นหนึ่ง สองฝากฝั่งคือลมหิมะที่ขาวโพลนซึ่งยังคงมืดฟ้ามัวดินอยู่เหมือนเดิม
นางลอยตัวอยู่กลางอากาศ สีหน้าเย็นชา หลุบตาลงต่ำมองซี่หลิ่วที่ชอบหลบซ่อนตัวไปทั่วผู้นั้น
เซี่ยซงฮวาทิ้งลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนที่มาขัดเกลาปณิธานกระบี่ที่นี่ไว้ในนครโถวหนีเบื้องหลังตนเอง ผู้สืบทอดสองคนนั้นของนางก็คือเฉามู่ จวี่สิง
ก่อนหน้านี้เซี่ยซงฮวาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของที่แห่งนี้เช่นกัน ถึงได้ขี่กระบี่ออกมาจากเมือง คิดว่าจะมาร่วมวงความครึกครื้นที่นี่
นอกจากเซี่ยซงฮวาที่รับลูกศิษย์มาจากต่างบ้านต่างเมืองแล้ว อันที่จริงลี่ไฉ่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงแห่งอุตรกุรุทวีปก็พาตัวอ่อนเซียนกระบี่สองคนออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นกัน คือเฉินหลี่กับเกาโย่วชิง
ส่วนซ่งพิ่นแห่งเกราะทองทวีปที่เป็นเซียนกระบี่หญิงเช่นกันนั้น นางเองก็รับเด็กน้อยสองคนมาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด แต่ว่าทั้งสองต่างก็ยังเป็นแค่เด็กหญิง คือซุนฉ่าวกับจินหลวน
ฝ่ายผูเหอแห่งหลิวเสียทวีปที่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ขอบเขตถดถอยมาอยู่ก่อกำเนิดกลับพาเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งมาจากที่นั่น เด็กหนุ่มเหย่ตู้ เด็กสาวเซวี่ยโจว
หลังจากที่เซี่ยซงฮวากลับมายังใต้หล้าไพศาล นางกับพวกลี่ไฉ่ ซ่งพิ่น ผูเหอต่างก็ทยอยกันได้รับกระบี่บินส่งข่าวข้ามทวีป แล้วก็ได้มีการนัดหมายกันว่าอีกหกสิบปีให้หลังจะมาเจอกัน
แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อประลองเวทกระบี่สูงต่ำของตัวเอง เพราะนั่นไร้ความหมาย โดยเฉพาะลี่ไฉ่กับผูเหอที่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสลามไปถึงรากฐานวิถีกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ผ่านการเข่นฆ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาติดต่อกัน แม้แต่เซี่ยซงฮวาที่สร้างคุณความชอบใหญ่ที่สุดก็ยังไม่รู้สึกว่าเวทกระบี่อันน้อยนิดและขอบเขตเส็งเคร็งที่ไม่สูงไม่ต่ำของตนจะมีค่าพอให้เอามาโอ้อวดได้ สามารถเปรียบเทียบกับเซียนกระบี่ใหญ่อย่างพวกจั่วโย่วได้หรือ? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชีวิตรอดกลับมาถึงบ้านเกิดอย่างพวกเขาสามารถเปรียบเทียบกับผู้ฝึกกระบี่ที่รบตายไปอย่างเซี่ยจื้อ หยวนชิงสู่ได้หรือ? ล้วนไม่อาจเทียบเคียงได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านจะประชันกันก็ย่อมต้องเป็นความสามารถในการถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตัวเอง นัดหมายกันว่าหกสิบปีให้หลัง พอถึงเวลานั้นพวกเซี่ยซงฮวาสามคนจะพาลูกศิษย์ของตัวเองไปเจอกันที่อุตรกุรุทวีปซึ่งเป็นที่อยู่ของลี่ไฉ่
เซี่ยซงฮวามองเห็นหญิงสาวที่ข้างฝ่าเท้าวางหีบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่าแล้ว
นางทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
ปีนั้นที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนจะได้ยินว่าลูกศิษย์ของอิ่นกวานหนุ่มก็มีลักษณะเช่นนี้ เพียงแต่ว่าหญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ต้องไม่ใช่กวอจู๋จิ่วแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แน่นอน จำได้ว่ายังมีแม่นางน้อยจากต่างถิ่นแซ่เผยอีกคนหนึ่ง ตัวเล็กๆ เหมือนเด็กหญิง ต่อให้เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว แต่เมื่อเทียบกับหญิงสาวที่อยู่บนพื้นหิมะด้านล่างก็คล้ายว่าจะไม่ตรงกันสักเท่าไร
แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะบังเอิญเจอกับคนที่เกี่ยวข้องกับอิ่นกวานหนุ่มในพื้นที่ราบน้ำแข็งทางเหนือของธวัลทวีปที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้แห่งนี้
จากนั้นก็เห็นเพียงว่าหญิงสาวเงยหน้าขึ้น รวมเสียงให้เป็นเส้น ถามด้วยภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ใช่เซียนกระบี่เซี่ยหรือไม่?”
เซี่ยซงฮวารีบขี่กระบี่ลดตัวลงบนพื้นทันที กระบี่ยาวสอดกลับเข้ากล่องไม้ไผ่ด้วยตัวเอง นางยิ้มถามว่า “เป็นเจ้าจริงๆ หรือนี่ ชื่อเผย…อะไรสักอย่างนะ?”
เผยเฉียนกุมหมัด ยิ้มกว้างสดใส “ผู้น้อยเผยเฉียน!”
สีหน้าของเซี่ยซงฮวาอ่อนโยนลงหลายส่วนทันใด มองประเมินเผยเฉียนอย่างละเอียดแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ดีมาก ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของใต้เท้าอิ่นกวานพวกเรา ไม่เลวๆ”
เซี่ยซงฮวาผงกปลายคางชี้ไปยังซี่หลิ่ว “ทำไม ถูกรังแกรึ? ได้เลย เดี๋ยวรอให้ข้าปล่อยหนึ่งกระบี่แล้ว พวกเราค่อยกลับนครโถวหนีด้วยกัน”
เผยเฉียนเกาหัวเอ่ยว่า “เมื่อครู่หัดเรียนรู้จากอาจารย์ของข้า จึงกำลังใช้เหตุผลกับผู้อาวุโสซี่หลิ่ว”
ซี่หลิ่วรู้สึกจนใจเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้จริง”
เซี่ยซงฮวาเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อจากนี้ข้าก็จะอ้อมอาณาเขตทิศใต้ ไม่ไปหาเรื่องเจ้าก็แล้วกัน”
จากนั้นเซี่ยซงฮวาก็ปล่อยซี่หลิ่วทิ้งไว้อีกด้าน ช่วยหยิบไม้เท้าเดินป่ากับหีบไม้ไผ่ขึ้นมา เผยเฉียนรับไม้เท้าเดินป่ามาและสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลังอีกครั้ง
เซี่ยซงฮวาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เคยยินข่าวที่ใหญ่เทียมฟ้าข่าวหนึ่งแล้วหรือไม่? เกี่ยวกับอาจารย์พ่อของเจ้า เพิ่งเล่าลือกันเมื่อไม่นานมานี้”
เผยเฉียนเบิกตากว้าง “ข่าวอะไรหรือ?!”
ซี่หลิ่วมองเงาร่างหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ที่ทะยานจากไปไกลแล้วส่ายหัว นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะนี่
เซี่ยซงฮวาเอ่ย “ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดนำขึ้นมาก่อน ถึงได้มีการคัดเลือกคนรุ่นเยาว์สิบคนของใต้หล้าทั้งหลายขึ้นมา”
สีหน้าเผยเฉียนสดชื่นทันใด “อาจารย์พ่อของข้าอยู่ในอันดับที่เท่าไร?”
เซี่ยซงฮวาส่ายหน้า พยายามกลั้นขำ “พูดให้ถูกก็คือ สิบคนนี้ไม่ได้เรียงลำดับก่อนหลัง มีผู้ฝึกกระบี่แห่งนครบินทะยานหนิงเหยา ผู้ฝึกยุทธเฉาสือแห่งราชวงศ์ต้าตวนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง นักพรตซานชิงแห่งป๋ายอวี้จิง อันดับหนึ่งในร้อยเซียนกระบี่ภูเขาทัวเยว่ เฝ่ยหราน อาจารย์พ่อของเจ้าไม่ได้อยู่ในอันดับสิบคนนี้”
เผยเฉียนมึนงงสับสน แล้วนี่จะเกี่ยวกับอาจารย์พ่อได้อย่างไร?
เซี่ยซงฮวาลูบศีรษะของเผยเฉียน เอ่ยว่า “ทั้งๆ ที่บอกว่าเป็นคนรุ่นเยาว์สิบคน แต่กลับไม่ได้เรียงลำดับขั้น แค่นี้ก็เป็นเรื่องที่ประหลาดอย่างมากแล้ว แต่นี่กลับยังจัดอันดับสิบเอ็ดคนขึ้นมาอีก และมีเพียง ‘อิ่นกวาน’ คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในอันดับที่สิบเอ็ด อาจารย์พ่อของเจ้าคือคนเดียวที่ไม่ได้มีการบอกชื่อแซ่อย่างชัดเจน เพียงแค่บอกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย ดังนั้นผู้ฝึกตนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้จึงพากันเดาว่าอิ่นกวานผู้นี้คือใครกันแน่ คนที่รู้ตัวตนของอาจารย์พ่อเจ้าอย่างพวกข้าล้วนไม่ยินดีจะพูดเรื่องนี้กับคนพวกนี้ เพียงแค่ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเท่านั้น”
เผยเฉียนกระดกหีบไม้ไผ่บนหลังให้เข้าที่ ในมือกำไม้เท้าเดินป่าไว้แน่น มองไปรอบด้านเห็นเพียงลมหิมะ แต่นางก็ยังเปล่งเสียงตะโกนดังว่า “คืออาจารย์พ่อของข้า!”
——