บทที่ 704.3 วันที่ห้าเดือนห้าผ่านมาอีกปี

กระบี่จงมา! Sword of Coming

กวนอี้หรานทรุดตัวนั่งยองข้างเท้าผู้เฒ่า ยื่นมือไปแนบบนเตาพก

ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “กรมครัวเรือนเป็นที่ว่าการที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ปรับตัวให้ชินไปก็แล้วกัน สรุปคือหากเป็นกรมขุนนางก็อย่าไปคิดเลย ชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าได้เพ้อฝันว่าจะได้ไปเป็นขุนนางที่นั่น เพราะถึงอย่างไรทุกคนต่างก็รู้สึกว่ากรมครัวเรือนของต้าหลีแซ่กวน แต่หากลูกหลานตระกูลกวนอย่างพวกเจ้าคิดแบบนี้จริงๆ ก็เท่ากับว่าเป็นหนทางแห่งความตายแล้ว การเป็นคนน่ะนะ ต้องหลีกทางให้คนอื่นบ้าง นั่งยองอยู่ในส้วมไม่ยอมถ่าย หรือไม่นั่งยองถ่ายนานเกินไป ล้วนจะถูกคนขว้างหินใส่ในห้องส้วม ถึงเวลานั้นอาจมกระเด็นเปื้อนเต็มก้น ก็คงไปโทษคนอื่นไม่ได้”

กวนอี้หรานหัวเราะขำ ขุนนางหลักคนสำคัญกลุ่มแรกๆ สุดของราชสำนักต้าหลี อันที่จริงล้วนไม่ค่อยสุภาพอ่อนโยนกันสักเท่าไร ต่อให้จะมีชาติกำเนิดเป็นบัณฑิตก็ไม่ยกเว้น

ผู้เฒ่าแหงนหน้ามองทัศนียภาพอันงดงามบนขอบฟ้าที่แสงอรุโณทัยราวกับแพรต่วนเนื้องาม แล้วเอ่ยอย่างสะทกสะท้อนใจ “ฟันร่วง ผมร่วง เดินไม่ไหว น่าหงุดหงิดใจนัก พอเห็นแม่นางอายุน้อยหน้าตาสะสวย แม้มีใจแต่ก็ไร้กำลัง อย่างมากสุดก็ได้แต่หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล คิดถึงความองอาจห้าวหาญของตัวเองในครานั้นก็เท่านั้น เป็นคนหนุ่มนี่ดีจริงๆ ตำแหน่งขุนนางยังเลื่อนขั้นได้อีก เทพเซียนบนภูเขาที่บินไปบินมาก็ทำให้คนรู้สึกอิจฉาจากใจจริง”

ผู้เฒ่าพึมพำกับตัวเอง คนหนุ่มรับฟังอยู่ด้านข้าง

“แคว้นล่มสลายขุนเขาสายน้ำยังคงอยู่ ใบไม้ผลิพืชหญ้าเบ่งบาน คนหลังม่านกลับยังคงเดิม นี่คือบทกวีที่นักประพันธ์มีชื่อเสียงคนหนึ่งของสกุลหลูในอดีตเขียนไว้ เขียนได้ดีเยี่ยม น่าเสียดายที่บทความเขียนได้ดี ทว่ากลับเป็นขุนนางได้ค่อนข้างแย่”

“อาหารหอมหวนยามท้องหิว กลิ่นหอมเครื่องประทินผิวของสตรียามอ่อนเยาว์ อันที่จริงยังมีความหอมอีกอย่างที่ก็ไม่เลวเหมือนกัน รู้ไหมว่าคืออะไร? นั่นก็คือการนั่งแคะเล็บเท้าบนเสื่อเย็นๆ ในหน้าร้อนไงล่ะ”

“ไป แอบไปขโมยเหล้ามาให้ปู่ทวดกาหนึ่ง ก่อนหน้านี้ในห้องเก็บสุราดีไว้หลายไห ล้วนถูกพ่อเจ้าขโมยไปหมด แล้วเอาไปเก็บไว้ในห้องหนังสือของเขาเอง เจ้าเด็กบ้าเอ้ย หลังจากเอาเหล้ามาวางแล้ว เจ้าก็ให้ปู่ทวดนั่งคนเดียวอีกสักพัก ฮ่าๆ ได้สุรามาแล้วดื่มให้เต็มคราบ อย่าให้พวกลูกหลานได้รู้ ช่างเป็นคำกล่าวที่ดีจริงๆ”

กวนอี้หรานอืมรับหนึ่งที ลุกขึ้นแล้วจากไป

ผู้เฒ่าพลันตะโกนเรียก “อี้หราน”

กวนอี้หรานหันตัวกลับทันใด

ผู้เฒ่าเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร

กวนอี้หรานเข้าใจได้ จึงเอ่ยว่า “ทราบแล้ว จะเอามาสองกา”

ผู้เฒ่าพยักหน้า “เป็นขุนนางต้องตั้งใจเป็นให้ดี เพียงแต่อย่าลืมการวางตัวเป็นคนก่อน อย่าได้เอาอย่างผู้ช่วยผู้ตรวจการลำน้ำใหญ่พวกนั้น วันๆ ไม่ออกจากบ้าน พอมีโอกาสถึงได้ติดตามขุนนางที่หมวกใหญ่กว่าออกลาดตระเวนลำน้ำใหญ่ด้วยกัน แล้วยังจะต้องขอยืมรองเท้าที่พื้นสึกอย่างหนักจากคนอื่นมาก่อนคู่หนึ่ง เรื่องฉลาดที่คนฉลาดทำประเภทนี้ เจ้าอย่าได้ทำเลย ไม่อย่างนั้นวันหน้าปู่ทวดคงหลับไม่เป็นสุขจริงๆ แล้ว”

กวนอี้หรานตาแดงก่ำน้อยๆ ก่อนพยักหน้ารับอย่างแรง “ทราบแล้ว!”

หลังจากที่คนหนุ่มออกไปจากลานบ้าน

นายท่านผู้เฒ่ากวนก็ตบที่พักแขนของเก้าอี้หวายเบาๆ เอ่ยเรียกเสียงแผ่วว่า “ใต้เท้าครู? ยุ่งอยู่หรือไม่ หากไม่ยุ่งก็มาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้ไหม?”

ชุยฉานราชครูต้าหลีปรากฏกายทันใด

นายท่านผู้เฒ่ากวนไม่ได้ทำความเคารพ แม้แต่เอ่ยเรียกชื่อก็ยังละไว้ ผู้เฒ่าเพียงแค่ทอดสายตามองม่านฟ้าที่เริ่มมืดสลัวต่อไป พึมพำว่า “อาจารย์ชุย วิถีทางโลกจะดียิ่งกว่าเดิมไหม? ตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็เคยถามคำถามนี้กับท่าน ตอนนั้นท่านบอกแค่ว่าให้ข้ารอดูเอง ตอนนี้ข้าอายุค่อนข้างมากแล้ว ไม่เพียงแต่สายตาฝ้าฟาง ต่อให้เบิกตากว้างก็ยังมองเห็นได้ไม่ไกลนัก วันหน้าก็จะยิ่งมองอะไรไม่เห็นอีก อาจารย์ชุยท่านลองบอกหน่อยสิ ข้าจะได้จากไปอย่างวางใจ”

ชุยฉานเอ่ย “อย่างน้อยที่สุดตอนที่กวนอิ๋งเช่อเป็นขุนนาง วิถีทางโลกของต้าหลีก็ดียิ่งกว่าเดิมแล้ว”

ผู้เฒ่าพูดเสียงเบา “แต่ก็ยังมีความอยุติธรรมบางอย่างที่ทำให้รู้สึกย่ำแย่อยู่ดี ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอย่างไร ควรจะพูดกับใคร”

ชุยฉานกล่าว “อาหารของแต่ละครอบครัว กลอนคู่ปีใหม่ของแต่ละครัวเรือน ล้วนเป็นคำตอบของความอยุติธรรมในใจบัณฑิต”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เคยมีบัณฑิตหนุ่มที่มีความรู้อยู่เต็มท้องบอกว่าดอกไม้ผลิบานดอกไม้ร่วงโรย พืชหญ้าแห้งเหี่ยวพืชหญ้างอกงาม ล้วนเป็นเสียงคำตอบจากแสงจันทร์บนฟ้าที่มีต่อโลกมนุษย์ คำกล่าวนี้ของอาจารย์ชุยไม่ผิดไปเลยสักนิด”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “ใครว่าไม่ใช่กันล่ะ”

ต้าหลีเคยมีปัญญาชนยากจนคนหนึ่งที่เดินทางเข้ามาสอบในเมืองหลวง อายุยี่สิบปีก็กล้าพูดว่าบรมครูด้านอักษรแห่งแคว้นนอกจากข้าแล้วจะยังมีใครได้อีก แต่ในความเป็นจริงแล้วความสามารถในการแต่งกลอนเขียนบทกวีของเขากลับธรรมดาอย่างมาก

ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเสียดายว่า “ไม่ใช่ว่ากลัวตาย เพียงแต่อดอาลัยอาวรณ์ไม่ได้”

คนหนุ่มผู้นั้นมาจากสำนักศึกษาซานหยา

ผู้เฒ่ากล่าว “อาจารย์ชุย ดีใจมากที่ได้พบเจอกับอาจารย์ฉีและท่าน ชีวิตศึกษาในสำนักศึกษาได้ขอความรู้จากอาจารย์ฉี ยามเป็นขุนนางในราชสำนักก็ได้ทำงานร่วมกับอาจารย์ชุย”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “เชื่อว่าฉีจิ้งชุนก็คงรู้สึกโชคดีที่ในบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองมีเจ้ากวนอิ๋งเช่อ”

ผู้เฒ่าถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าขอด่าท่านราชครูแทนอาจารย์ฉีสักสองคำได้หรือไม่?”

ชุยฉานยิ้มกล่าว “ด่าเจ้ากรมขุนนางก่อนแล้วค่อยมาด่าข้า”

ผู้เฒ่าหัวเราะตามไปด้วย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าดีกว่า”

ความในใจระหว่างคนเฒ่าคนแก่หลายคน คาดว่าคงจะได้ข้อสรุปก็เมื่อตอนตอกปิดฝาโลงแล้วเท่านั้น

รอกระทั่งกวนอี้หรานหิ้วเหล้ามาสองกาก็มีเพียงแค่ราชครูคนเดียวเท่านั้นที่สามารถดื่มเหล้าได้

……

รัชศกเจียชุนปีที่หกของใต้หล้าแห่งที่ห้า

กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ถูกค่ายกลสกัดขวางฟ้าดิน เฉินผิงอันจึงได้แต่เร่ร่อนพเนจรอย่างเดียวดายเพียงลำพังปีแล้วปีเล่าอย่างแท้จริง

หลังจากที่เฝ่ยหรานจากไปในครานั้น เขาก็จะมาเดินบนหน้าผา บางครั้งใช้ดาบแคบพิฆาตเปิดค่ายกลออกครู่หนึ่งเพื่อมองดูกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจที่เคลื่อนพลขึ้นเหนืออย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

หกปีผ่านไปแล้ว เผ่าปีศาจก็ยังไม่ถอนทัพกลับทิศใต้

สุดท้ายเขาก็เลยมานั่งอยู่ตรงผนังหน้าผาที่พอจะถือว่าเป็นถ้ำได้แห่งหนึ่ง คอยฟันดาบทำลายตราผนึกอยู่เป็นระยะ เพราะไม่มีอะไรให้ทำจึงได้แต่มองเผ่าปีศาจเคลื่อนทัพไปทางเหนือ

แต่ทุกครั้งที่เฉินผิงอันออกดาบ ตราผนึกก็จะประสานตัวเข้าหากันโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว

พอหลีเจินรู้เรื่องนี้เข้าก็แนะนำให้ภูเขาทัวเยว่ทำเรื่องอำมหิตกว่านี้อีกสักหน่อย ให้วางค่ายกลมั่นคงที่แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบก็ยังไม่อาจฝ่าทำลายได้ขึ้นระหว่างหน้าผาทั้งสองแห่ง ไม่ให้โอกาสอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นได้มองเห็นอะไรแก้เบื่ออีก

น่าเสียดายที่ทางกระโจมเจี่ยจื่อวางกลยุทธนี้ทิ้งเอาไว้ เพราะยังไม่มีเวลามาสนใจ ได้แต่บอกว่าค่อยคุยกันอีกที

วันนี้อิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดนั่งขัดสมาธิ เอาดาบวางพาดไว้บนหัวเข่า ยื่นมือมาตบฝักดาบเบาๆ

ในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ข้างหนึ่งล้วนเป็นตัวอักษรในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นที่ผ่านการหลอมเล็กมาแล้ว มีมากมายแน่นขนัด ประหนึ่งกองทัพใหญ่ที่รวบรวมกองกำลังเอาไว้

ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่เฉินผิงอันอ่านตำราเล่มนั้นจบก็ตระหนักได้ถึงกลไกลับที่ซ่อนอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว

ดังนั้นถึงได้มีความคิดที่ว่า ‘โชคดีที่ไม่ได้เขียนเรื่องที่เขาสนใจอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นวันหน้าคงมีเรื่องให้ต้องคุยกันแล้ว’

เพราะเฉินผิงอันมีความรู้สึกที่เฉียบไวต่อ ‘สิบเอ็ด’ มากเป็นพิเศษ ส่วนคำว่า ‘บันทึกอักษร’ ก็ยิ่งรู้ดี แผ่นไม้ไผ่มากมายเหล่านั้นไม่ได้แกะสลักไปอย่างเสียเปล่า สำหรับคำศัพท์หรือวลีที่เขียนยากคนไม่ค่อยใช้ กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันชอบเก็บรวบรวมมามากกว่าบัณฑิตที่ได้เล่าเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เด็กเสียอีก โดยเฉพาะในเรื่องของการอธิบายคำศัพท์ ในอดีตตอนที่เป็นนักเล่านิทานอยู่หัวมุมเลี้ยวของตรอกร้านเหล้า อันที่จริงพวกเด็กๆ กลุ่มนั้นต่างก็ได้รู้ถึงความร้ายกาจของเถ้าแก่รองผู้นี้แล้ว

ทุกวันนี้การออกดาบทำลายตราผนึก นอกจากเพื่อสังเกตดูจำนวนกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจและอนุมานสถานการณ์ทางการรบแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันยังต้องการใช้สิ่งนี้มาอนุมานถึงประตูใหญ่บานนั้นว่าจะปิดลงในบางครั้งหรือไม่ เขากังวลว่าทางฝั่งของภูเขาทัวเยว่จะจับสังเกตได้ถึงอุบายลับในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นแล้วจะปิดประตูใหญ่ ใช้สิ่งนี้มาตัดขาดฟ้าดินสองแห่งออกจากกัน หรือไม่ก็ร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำอย่างอื่นไว้แต่เนิ่นๆ ถ้าอย่างนั้นหากเฉินผิงอันลงมืออย่างฉุกละหุก กลับจะกลายเป็นว่าทำให้แผนการลับที่ชุยฉานวางไว้ไหลหายไปกับสายน้ำ

ลำพังเพียงแค่รู้ว่าบันทึกขุนเขาสายน้ำผิดปกติ อันที่จริงไม่ได้มีความหมายอะไร และนี่ก็เป็นจุดที่ชุยฉานรอบคอบมากที่สุด

หลายปีที่ผ่านมานี้ หลังจากได้หลอมเล็กตัวอักษรทั้งหมดบนตำรา เพื่อไขจดหมายลับฉบับนั้น เฉินผิงอันต้องเค้นสมองคิดแทบตาย การเอาตัวอักษรมาจัดวางเป็นกองกำลังรูปแบบต่างๆ ก็เหนื่อยยากอย่างยิ่ง อ่านทบทวนบันทึกซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็จะหยิบเอาตัวอักษรตัวหนึ่งจากตัวอักษรที่ห่างกันทุกๆ สิบเอ็ดตัวมาจากบางบท แล้วรวบรวมทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน ดูว่าจะสามารถรวมเป็นจดหมายลับฉบับหนึ่งได้หรือไม่ บางครั้งก็อาจลงแรงกับตัวอักษรฉานสองตัวที่เขียนต่างกัน ขยายเส้นสายให้กับแต่ละตัว บางครั้งก็ใช้วิธีอ่านย้อนหลังมาสืบสาวหาเบาะแส…

ชุยตงซานเคยพูดว่าขอแค่เป็นคนที่สมองไม่มีปัญหาก็ไม่มีทางดึงเอาปลายของเส้นสายนี้ขึ้นมาได้

แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจารย์ของเขาไม่เพียงแต่อ่านบันทึกขุนเขาสายน้ำครั้งแรกก็หาจุดเริ่มต้นของเส้นสายนั้นได้แล้ว แม้แต่การที่เขาโยนหนังสือทิ้งแล้วไปเก็บกลับมาใหม่ก็ยังเป็นวิธีตบตาอย่างหนึ่งเช่นกัน หลังจากนั้นก็ยิ่งหลอมตัวอักษรพลางใช้ความคิดร้อยพันตลบไปด้วย

เรื่องราวหยุมหยิมยิบย่อยทั้งหลายในชีวิตที่ทำให้คนรู้สึกไม่ผ่อนคลาย รู้สึกอึดอัดย่ำแย่ บางทีในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนเส้นทางอนาคตก็อาจจะเป็นเหมือนแสงตะเกียงดวงแล้วดวงเล่าที่พอสุดท้ายรวมเข้าด้วยกันก็จะส่องประกายแสงเจิดจ้า

เฉินผิงอันห่อตัว สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เหม่อลอย

วันนี้ในใต้หล้าไพศาลคือวันที่ห้าเดือนห้า

ตอนที่ข้างกายมีคนอยู่ เฉินผิงอันไม่ค่อยใส่ใจว่าจะใช่วันที่ห้าเดือนห้าหรือไม่สักเท่าไร

ยามที่ไม่มีใคร กลับกลายเป็นว่าคิดถึงมันครั้งแล้วครั้งเล่า

หลังจากที่ท่านพ่อท่านแม่จากไป วันหนึ่งมีประตูบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ปลายตรอกหนีผิงเปิดประตูออก ภายหลังคนบ้านนั้นมีเจ้าขี้มูกยืดน้อยคนหนึ่งเพิ่มมา หลังจากนั้นมายังได้เจอกับเพื่อนบ้านสองคนอย่างซ่งจี๋ซินและจื้อกุย ภายหลังก็ได้เจอกับหลิวเสี้ยนหยาง

หลังจากนั้นก็ได้ออกจากบ้านเกิด มีพวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหว ต่อจากนั้นมาอีกก็เจอกับพวกจางซานเฟิง หลิวหย่วนเสีย แล้วก็มีพวกเผยเฉียน มีภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน รวมถึงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้างกายก็ยังมีคนที่รักและใส่ใจคอยอยู่เคียงข้าง

มีเพียงช่วงเวลาหลายปีมานี้ที่เฉินผิงอันต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง

เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ เอามือเคาะหัวใจของตัวเองเบาๆ ถึงอย่างไรอยู่ตัวคนเดียวก็ยังสามารถพูดคุยกับตัวเองได้