พื้นที่ของใบถงทวีป สุสานเซียนกลาดเกลื่อนไปทั่วบริเวณ สำนักบนภูเขาที่ยังพอจะอาศัยค่ายกลขุนเขาสายน้ำมาต้านทานเผ่าปีศาจได้เหลือน้อยจนนับนิ้วได้
ค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงที่สำนักกุยหยก สำนักใบถง ภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีร่วมแรงกันสร้างขึ้น ยิ่งนานประกายก็ยิ่งหม่นหมอง หากหลุบตาจากม่านฟ้ามองมายังแผ่นดินใหญ่ของทั้งทวีป โลกมนุษย์แต่ละแห่งเหมือนตะเกียงที่ค่อยๆ มอดดับลง ทุกครั้งที่แสงไฟมืดดับก็คือการล่มสลายของตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่ง คือโชคชะตาของใบถงทวีปที่ค่อยๆ สลายหายไป และถูกแทนที่มาด้วยเผ่าปีศาจที่เก็บพื้นที่นั้นเข้าไว้ในกระเป๋าของตัวเอง เมื่อสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้น สิ่งหนึ่งย่อมลดลงเสมอ ทั้งบนและล่างภูเขาทั่วทั้งทวีป จิตวิญญาณแหลกสลาย สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้ว
พรรคเยวียนจวี้ตระกูลเซียนทางทิศใต้มีผู้ฝึกตนส่วนใหญ่เป็นสตรี ภูเขาคงโหวที่เป็นภูเขาบรรพบุรุษมีศาลบรรพจารย์ชื่อว่าตำหนักเร่าเหลย
ไม่ถือเป็นภูเขาตระกูลเซียนที่ใหญ่มากนัก แต่เนื่องจากตำแหน่งตั้งอยู่ค่อนข้างกันดารห่างไกล จึงเป็นดั่งซี่โครงไก่ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ยังไม่ถูกกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจบุกเข้ามารุกราน
ทุกวันนี้พรรคเยวียนจวี้ได้รวบรวมผู้ฝึกตนบนภูเขาที่พลัดจากถิ่นฐานไว้ได้หลายสิบคน เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เดิมทีสูงส่งเกินผู้ใด ทุกวันนี้กลับเป็นเหมือนสุนัขไร้บ้าน
ในบรรดานี้มีมือกระบี่ชุดเขียวที่มาจากสำนักเล็กๆ คนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาถือแผ่นหยกของศาลบรรพจารย์บ้านตัวเองมาด้วย บวกกับจ่ายเงินเทพเซียนให้ก้อนหนึ่งจึงได้เข้ามาหลบภัยในพรรคเยวียนจวี้
วันนี้เขาเดินทางมายังสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในอาณาเขตของภูเขาคงโหวเพียงลำพัง คือหอชมน้ำที่ตั้งอยู่บนหาดหิน ใต้หาดหินมีบ่อน้ำ น้ำในบ่อลึกจนมิอาจประมาณการณ์ได้ มือกระบี่ชุดเขียวเดินขึ้นหอสูง อาศัยแสงสว่างเจิดจ้าจากตะเกียงนอแรด (ในสมัยโบราณเชื่อกันว่านอแรดสามารถส่องแสงได้ยามค่ำคืน) ที่เล่าขานกันว่ามีอายุยาวนานเป็นหมื่นปีพิศดูเผ่าน้ำในบ่อลึก มืดและสว่างอยู่คนละเส้นทาง แต่เพราะถูกปลุกเสกจากคาถาตระกูลเซียน คนธรรมดาจึงสามารถมองเห็นภูตประหลาดเผ่าน้ำที่ลักษณะแตกต่างกันมากมาย หลังจากถูกเทพเซียนบนภูเขาของพรรคเยวียนจวี้กำราบมานานเป็นร้อยเป็นพันปี ภูตเหล่านี้จึงว่าง่ายอ่อนโยนเป็นพิเศษ เวลานี้กำลังแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำอย่างสบายอารมณ์
มือกระบี่ชุดเขียวนั่งอยู่บนหอชมน้ำ ในมือถือรายงานทางการทหารหลายฉบับที่เพิ่งได้มาอยู่ในมือเมื่อไม่นานมานี้ กระโจมทัพสามสิบแห่งซึ่งรวมกระโจมเจี่ยเซินเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ได้ยึดครองเมืองหลวงราชวงศ์โลกมนุษย์หรือไม่ก็ศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งกันหมดแล้ว และได้ทำการโอบล้อมสำนักศึกษาใหญ่ทั้งสามแห่งซึ่งมีสำนักต้าฝูเป็นหนึ่งในนั้น รวมไปถึงสี่สำนักใหญ่ที่มีสำนักกุยหยกเป็นหนึ่งในนั้นไว้ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ในแต่ละวันใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนกลืนกิน ดูดดึงและถ่ายโอนโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของทั้งทวีปไปไม่หยุด การสยบกำราบบนมหามรรคาที่ปรากฎหลังจากกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจขึ้นมาบนบก ยิ่งนานก็ยิ่งน้อยลงทุกที
หากไม่เป็นเพราะจงขุยผู้นั้นคอยงัดข้อกับป๋ายอิ๋งปีศาจใหญ่โครงกระดูกบนบัลลังก์อยู่ตลอด เป็นเหตุให้กองทัพใหญ่กระดูกขาวแต่ละกองของป๋ายอิ๋งยากที่จะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ ทุกครั้งที่เจอกับจงขุยก็จะต้องแหลกสลายไปด้วยตัวเอง นี่ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอันน่าเหลือเชื่อของจงขุย เป็นเหตุให้ภูตผีเกินครึ่งในซากปรักสนามรบมากมายล่างภูเขาพากันสลายหายวับไปกลางอากาศในชั่วพริบตา ถึงขั้นที่ราวกับว่าหลังจากตายไปแล้วก็ได้รบตายไปอีกครั้ง เป็นการสร้างปัญหาที่ยุ่งยากอย่างยิ่งให้กับเส้นแนวรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ไม่อย่างนั้นป่านนี้สำนักศึกษาต้าฝูและสำนักใหญ่ทั้งหลายอย่างสำนักฝูจีคงเสียฐานทัพไปนานแล้ว
หลังจากที่เฉินโซ่วและมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินเสนอความเห็น กระโจมทัพใหญ่แต่ละแห่งก็เริ่มพากันเป็นฝ่ายรับเอาผู้ฝึกตนของใบถงทวีปมา ขณะเดียวกันก็เริ่มพันธนาการกองทัพใหญ่แต่ละสายที่บุกเข้าไปยังพื้นที่ใจกลางไม่ให้ฆ่าล้างเมืองอย่างบ้าคลั่งอีก ยกเอากลยุทธของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีแห่งแจกันสมบัติทวีปมาใช้ตาม จากนั้นก็ค่อยปรับเปลี่ยนแก้ไขให้สมบูรณ์แบบและเหมาะสมกับตน บงการให้กองทัพของราชวงศ์ล่างภูเขาและแคว้นใต้อาณัติเป็นผู้จู่โจมสำนักบนภูเขาเสียเอง ในสายตาของมือกระบี่ชุดเขียวแล้ว ความบกพร่องเพียงอย่างเดียวในความสมบูรณ์แบบก็คือกองทัพใหญ่แต่ละฝ่ายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังปฏิบัติตามคำสั่งทันทีเหมือนพวกขุนนางบุ๋นบู๊แห่งราชวงศ์ซ่งต้าหลีไม่ได้
พูดง่ายๆ ก็คือ หากเป็นเรื่องฆ่าคนล้วนเชี่ยวชาญอย่างมาก แต่เรื่องพิฆาตใจคนกลับไม่ได้เรื่อง แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว อย่าว่าแต่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเขาเลย แม้แต่บัณฑิตจำนวนมากของใต้หล้าไพศาลเอง หากเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนปกครองคนก็ยังสับสนมึนงงเหมือนร่วงลงสู่เมฆหมอกเหมือนกันไม่ใช่หรือ? ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องเกินความจำเป็น รอให้สำนักกุยหยกหรือภูเขาไท่ผิงถูกตีแตก ความกล้าหาญของผู้คนที่เหลือเพียงน้อยนิดของตลอดทั้งใบถงทวีปก็จะถูกทุบทำลายจนแหลกเละแล้ว
เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับการเลือกใช้กลยุทธในการสู้รบกับสำนักกุยหยกและภูเขาไท่ผิง เฝ่ยหราน เซียนกระบี่โซ่วเฉิน และกระโจมทัพหลายแห่งที่มีมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินเป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็เสนอให้ตีภูเขาไท่ผิงให้แตกก่อน ส่วนสำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้สุดของใบถงทวีป เก็บไว้นานสักสองสามปีจะเป็นไรไป ไม่จำเป็นต้องไปตอแยกับพวกมันมากด้วยซ้ำ รีบรวบรวมกำลังพลให้ว่องไวจะดีกว่า ขอแค่ยึดครองสำนักใบถงที่จั่วโย่วนั่งพิทักษ์มาได้ ถึงเวลานั้นก็แค่ข้ามมหาสมุทรข้ามทวีปไปบดขยี้แจกันสมบัติทวีปก็พอแล้ว จะไม่มีทางเปิดโอกาสให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีระดมกำลังมาได้มากกว่านี้อีกแน่นอน
ทว่ากระโจมทัพส่วนมากยังคงคิดว่ายึดชิงสำนักกุยหยกเพื่อครอบครองโชคชะตาของตลอดทั้งทวีปมาได้อย่างสิ้นเชิงเสียก่อนจึงจะถือว่าเป็นทางเลือกที่มั่นคงมากที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีมากมาย แต่ปีนั้นการถามกระบี่กับกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังต้องหน้าม้านกันกลับมาไม่ใช่หรือ ตอนนี้มาถึงใบถงทวีปก็สามารถเอาสำนักกุยหยกมาลองกระบี่ได้พอดี ถามกระบี่ต่อสำนักกุยหยก ทุบทำลายศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกให้แหลก ใช้สิ่งนี้มาเป็นการปิดท้ายของสงครามในหนึ่งทวีป ย่อมเหมาะสมที่สุด
มือกระบี่ชุดเขียวที่มาหลบภัย ณ พรรคเยวียนจวี้ผู้นี้ก็คือเฝ่ยหราน ศิษย์น้องของปีศาจใหญ่เชี่ยอวิ๋นที่ขึ้นฝั่งของใบถงทวีปมาค่อนข้างช้า
ดังนั้นเมื่อเฝ่ยหรานได้อ่านรายงานฉบับสุดท้ายจึงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะอยู่ดีๆ เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกรักแห่งสวรรค์อย่างพวกหนิงเหยา เฉาสือ ซานชิง นี่ทำให้เฝ่ยหรานรู้สึกกระอักกระอ่วนมากพอแล้ว โดยเฉพาะคำประเมินที่บอกว่า ‘เชี่ยวชาญการกดขอบเขต’ ก็ยิ่งทำให้เฝ่ยหรานอดไม่พอใจไม่ได้ เฝ่ยหรานนึกอยากจะให้ผู้ฝึกตนของใต้หล้าแห่งอื่นไม่ต้องรู้เลยว่ามีบุคคลอันดับหนึ่งอย่างเขาอยู่ไปตลอดกาล
ไม่ผิดไปจากที่คาด โซ่วเฉินได้ไปอยู่ที่อวี้จือกังนานแล้ว ที่นั่นคือกระดูกที่ค่อนข้างแทะยากชิ้นหนึ่ง คือสำนักใหญ่แห่งหนึ่งของใบถงทวีป ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาแข็งแกร่งทนทานอย่างมาก การปกปักษ์พิทักษ์พื้นที่ของพวกเขาจึงมั่นคงยิ่ง โซ่วเฉินเองก็ไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เขาจงใจโยกย้ายกองทัพใหญ่ให้ย้ายไปโจมตีสำนักแห่งอื่นก่อน แล้วค่อยบงการขับไล่ให้ชาวบ้านลี้ภัยหลายหมื่นคนกรูกันไปที่อวี้จือกังอย่างลับๆ โซ่วเฉินเพียงแค่ส่งผู้ฝึกตนเซียนดินใต้อาณัติหลายคนไปก่อเรื่องที่นั่น ศาลบรรพจารย์ของอวี้จือกังปรึกษากันแล้วก็มีบรรพจารย์หญิงคนหนึ่งที่เกิดความเห็นอกเห็นใจจึงกล่าวผดุงความเป็นธรรม ไม่สนใจความคิดของคนส่วนใหญ่ สุดท้ายเลือกที่จะคลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำให้ชาวบ้านลี้ภัยเข้ามาในอวี้จือกังเพื่อหลบหายนะ
ไม่เหมือนกับการท่องเที่ยวไปตามขุนเขาสายน้ำของเฝ่ยหราน โซ่วเฉินนั้นตั้งใจไปที่ศาลบรรพจารย์ของอวี้จือกังโดยเฉพาะ
เฝ่ยหรานแหงนหน้ามองไป ตรงทิศทางที่ตั้งของอวี้จือกังมีแสงกระบี่ทะยานสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วยังมีประกายแสงเจิดจ้าของเวทอาคมที่เฝ่ยหรานคุ้นเคยอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง นั่นคือฝีมือของศิษย์พี่เชี่ยอวิ้น
นับแต่บัดนี้ไปอวี้จือกังจึงกลายเป็นเพียงบุคคลและเรื่องราวในหน้าหนังสือ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะกลายเป็นปฏิทินเหลืองหน้าหนึ่ง
เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งตะบึงมายังหอชมน้ำของหาดหิน มาหยุดอยู่ข้างกายเฝ่ยหราน เอ่ยอย่างกระวนกระวายไม่เป็นสุขว่า “พี่ใหญ่เฉิน คนอื่นพูดกันว่าพรรคเยวียนจวี้ต้องรักษาไว้ไม่อยู่อย่างแน่นอน แบบนี้จะทำอย่างไรดี? ข้าทำให้พี่ใหญ่เฉินต้องจ่ายเงินอย่างเสียเปล่าไปมากมายขนาดนั้น หากตายไปจะชดใช้เงินคืนให้ท่านอย่างไร”
เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่บนพื้น เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “ข้าหรือจะมีค่ามากขนาดนั้น นั่นคือเงินเทพเซียนเชียวนะ”
เฝ่ยหรานที่ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่า ‘เฉินอิ่น’ ยิ้มเอ่ยว่า “เงินเทพเซียนก้อนนั้น สำหรับข้าแล้วก็คือเงินเหรียญทองแดงพวงหนึ่งในกระเป๋าของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องใส่ใจมาก”
เด็กหนุ่มยังคงเสียดายเงินแทน ‘พี่ใหญ่เฉิน’ เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เทพเซียนก็ไม่ควรใช้เงินส่งเดชแบบนี้นะ”
เฝ่ยหรานเพียงยิ้มรับ
เฝ่ยหรานไม่เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ แม้แต่หน้ากากก็ยังสวมเป็นใบหน้าของอิ่นกวานหนุ่ม ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เกิดจากความเบื่อหน่ายล้วนๆ
ส่วนเด็กหนุ่มบ้านนอกของใบถงทวีปผู้นี้ คือคนตัดต้นไม้ที่เฝ่ยหรานรู้จักระหว่างเดินทาง เด็กหนุ่มไม่มีญาติพี่น้อง เคยช่วยภูตบนภูเขาตนหนึ่งที่จำแลงร่างเป็นมนุษย์เอาไว้ เพื่อตอบแทนบุญคุณฝ่ายหลังจึงมักจะออกไปล่าเหยื่อในภูเขาแล้วแอบคาบมาวางไว้ที่หน้าบ้านของเด็กหนุ่ม เฝ่ยหรานมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีจึงพาเขามาที่ภูเขาคงโหวพรรคเยวียนจวี้ที่อยู่ห่างไกลเป็นพันลี้ด้วยกัน
เฝ่ยหรานชวนเด็กหนุ่มดูเผ่าน้ำที่มีความประหลาดมหัศจรรย์มากมายเหล่านั้นด้วยกัน
พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวลงต่ำ สายรุ้งหลายเส้นตรงเข้ามาชนตราผนึกขุนเขาสายน้ำของพรรคเยวียนจวี้ พอเห็นเรือนกายของเฝ่ยหรานอยู่บนหอชมน้ำหาดหินก็พลันเปลี่ยนทิศทางการโคจร ไม่ได้ไปที่ตำหนักเร่าเหลยซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาของภูเขาคงโหว แต่มาหล่นลงข้างกายของเฝ่ยหราน คือศิษย์พี่เชี่ยอวิ้นที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กับอวี่ซื่อตัวอ่อนเซียนกระบี่แห่งกระโจมเจี่ยเซิน
และยังมีเด็กสาวพกดาบสั้นที่เรือนกายบอบบางอีกคนหนึ่ง ชื่อเล่นคือโต้วโค่ว นางเกิดมาก็มีเรือนกายอ่อนแอเพราะ ‘หกจิตไร้นาย จิตวิญญาณไม่อาจรักษาไว้ได้’ ง่ายที่จะเรียกให้พวกภูตผีวัตถุหยินมาสิงร่าง แต่มหามรรคามีแต่ความไม่แน่นอน กลับกลายเป็นว่าทำให้นางหล่อหลอมฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ให้คล้ายกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแห่งหนึ่งได้ ดวงตาทั้งคู่ของเด็กสาวไร้ชีวิตชีวา ว่างเปล่ากลวงโบ๋ แต่นางกลับยังหันมาพยักหน้าทักทายเฝ่ยหราน
เชี่ยอวิ๋นใช้สองนิ้วลูบปอยผมตรงจอนหู ยิ้มตาหยี “ศิษย์น้อง เจ้าตัวเล็กผู้นี้ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตนด้วยซ้ำ พามาไว้ข้างกายทำไม?”
เฝ่ยหรานยิ้มเอ่ย “แค่เบื่อน่ะ”
เด็กสาวหันหน้าไปมองตำหนักเร่าเหลยบนยอดเขา เชี่ยอวิ้นจึงเอ่ยว่า “แม่นางน้อยของข้า ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ อย่าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อเหมือนที่อวี้จือกังอีกเลย ที่นี่มีสตรีหน้าตางดงามอยู่มากมาย เจ้าไม่ต้องลงมือจะได้ไหม?”
เด็กสาวเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าตัดหัวพวกนางแล้วจะเก็บไว้ให้ผู้อาวุโสเชี่ยอวิ้น ส่วนผู้ฝึกตนชาย ท่านก็อย่ายุ่งเลยดีกว่า”
เชี่ยอวิ้นพนมสองมือ “ก็ได้ๆ จำไว้ว่าต้องรักษาคำพูดด้วย เป็นสตรีต้องปฏิบัติดีๆ ต่อสตรีด้วยกันนะ”
เด็กสาวชักดาบสั้นออกมา สะบัดข้อมือเบาๆ หลังจากดาบสั้นออกจากฝักก็พลันกายเป็นดาบยักษ์ที่ส่องประกายสว่างจ้าคล้ายดาบพิชิตอาชา เด็กสาวทะยานร่างขึ้นสูง มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์ของพรรคเยวียนจวี้
อวี่ซื่อเอ่ยกับเฝ่ยหรานว่า “ผู้อาวุโสโซ่วเฉินยังอยู่เก็บกวาดเรื่องเละเทะที่อวี้จือกัง เป้าหมายถัดไปคือนครเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียน”
เฝ่ยหรานพยักหน้า “ยังไงก็ได้”
เชี่ยอวิ้นพลันยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่เพิ่งจะได้ข่าว อาจารย์โจวไปถึงหน้าประตูของสำนักศึกษาต้าฝูแล้ว มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว รอข้าแต่งหน้าเสริมเสร็จเมื่อไหร่จะรีบไปชูธงร้องให้กำลังใจอาจารย์โจวที่นั่น ศิษย์น้อง เอาอย่างไร จะไปกับศิษย์พี่หรือไม่?”
เฝ่ยหรานส่ายหน้า “ข้าคงไม่ไปแล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากคนตัดต้นไม้ไม่ใช่คนโง่ แม้จะฟังภาษาของคนกลุ่มนี้ไม่เข้าใจ แต่ก็พอจะเดาสถานะของอีกฝ่ายได้คร่าวๆ เวลานั้นในสมองของเขาเหมือนมีแต่แป้งเปียก
เฝ่ยหรานทรุดกายลงนั่งยอง ใช้ภาษาราชการของแคว้นเล็กที่สำเนียงถูกต้องยิ้มบางๆ พูดกับเด็กหนุ่มว่า “ขอโทษทีนะ ข้าคือเผ่าปีศาจ แต่ไม่ต้องกลัว เจ้าก็ถือเสียว่าข้าเป็นพี่ใหญ่เฉินของเจ้าต่อไป ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
ทุกครั้งที่เฝ่ยหรานไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งก็จะต้องเรียนภาษาถิ่นและภาษาราชการของแคว้นนั้นๆ เสียก่อน นี่ล้วนเกิดจากความเบื่อหน่ายทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มเหงื่อแตกท่วมหัว พูดเสียงสั่นว่า “พี่ใหญ่เฉิน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เฝ่ยหรานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คงจะถือว่าเป็นแขกชั่วร้ายที่มาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ บุกพังประตูเข้ามาแล้วก็ไม่ยอมเหลืออาหารไว้ให้เจ้าของบ้านกินแม้แต่คำเดียวกระมัง”
สายตาของเด็กหนุ่มเริ่มเด็ดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ “พี่ใหญ่เฉินช่วยเหลือข้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะใช่เผ่าปีศาจหรือไม่ ข้าเป็นคนรู้บุญคุณคน! ไม่ว่าคนอื่นจะมองพี่ใหญ่เฉินอย่างไร ข้าก็ไม่สน ไม่สน!”
เฝ่ยหรานยิ้มพลางอืมรับหนึ่งที แล้วยกฝ่ามือตบเด็กหนุ่มให้ตายในฉาดเดียว แม้กระทั่งวิญญาณของอีกฝ่ายก็สลายสิ้นไม่เหลือ
เชี่ยอวิ้นรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กะพริบตาปริบๆ ถามว่า “เด็กแบบนี้ศิษย์น้องก็ฆ่าทิ้งด้วยหรือ? เป็นเด็กรู้ความจะตายไป”
เฝ่ยหรานลุกขึ้นยืนเงียบๆ ไม่ได้อธิบายใดๆ
หากเด็กหนุ่มเผยสีหน้าเคียดแค้นแม้เพียงสักนิด ไม่ว่าจะอำพรางได้ดีพอหรือไม่ กลับกลายเป็นว่าเฝ่ยหรานจะปล่อยให้เขารอดชีวิต ถึงขั้นที่ว่ายังสามารถให้เขาขึ้นเขาเริ่มฝึกตนนับแต่นี้ด้วย
เฝ่ยหรานแหงนหน้ามองไปทางทิศใต้ ถามว่า “ศิษย์พี่ บรรพจารย์หญิงของอวี้จือกังที่ยืนกรานจะเปิดประตู จุดจบเป็นอย่างไร?”
เชี่ยอวิ้นตบข้างแก้มตัวเองเบาๆ ยิ้มอ่อนไม่เอ่ยอะไรอยู่พักใหญ่ “ยามปรึกษากิจธุระในศาลบรรพจารย์ ก็เป็นนางที่เสียงดังที่สุด รอจนต้องตีกันขึ้นมาจริงๆ กลับกลายเป็นคนที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุด”
อวี่ซื่อเอ่ย “เดิมทีผู้อาวุโสโซ่วเฉินคิดจะไว้ชีวิตนาง เพียงแต่พอเห็นนางโขกหัววิงวอนที่ศาลบรรพจารย์กลับรู้สึกรำคาญ ถึงได้เปลี่ยนความคิด”
เฝ่ยหรานพยักหย้า “หวังว่านครมังกรเฒ่าของแจกันสมบัติทวีปก็จะมีการกระทำเช่นนี้เหมือนกัน”
……
ราชวงศ์ต้าเฉวียน พระราชวังเมืองเซิ่นจิ่ง
ฮองเฮาสาวคนหนึ่งขมวดคิ้วมุ่นเป็นปม รูปโฉมของนางงามล้ำอย่างยิ่ง เวลานี้สีหน้าของนางกลัดกลุ้ม สองนิ้วคีบไม้เขี่ยไฟทองแดงอันเล็กงามประณีตเขี่ยขี้เถ้าในเตาอุ่นมือเบาๆ พยายามจะให้ถ่านอยู่ได้นานอีกสักหน่อย
สตรีวัยเดียวกันที่นั่งอยู่ข้างกาย บนร่างเปี่ยมไปด้วยความองอาจ นางคือคนบ้านเดียวกันกับฮองเฮาเหยาจิ้นจือ
เหยาหลิ่งจือเห็นว่าพี่สาวก้มหน้าไม่พูดจาก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบนางอย่างไร
ท่านปู่ของพวกนาง เหยาเจิ้นเจ้ากรมกลาโหมได้กลับมาสวมเสื้อเกราะลงสนามรบอีกครั้งแล้ว แม่ทัพผู้เฒ่านำพาลูกหลานสกุลเหยาทั้งหมดมุ่งหน้าไปที่ด่านชายแดน
วันนี้ช่วงก่อนหน้ามีอ๋องเจ้าเมืองคนหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์เมืองหลวง รับหน้าที่สำเร็จราชการแทนชั่วคราวคนหนึ่งมาที่นี่ คนดื่มสุราแต่ไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรา ใช้ข้ออ้างฟังดูดีว่าจะมาปรึกษาเรื่องใหญ่ของกองทัพ แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกตาทั้งคู่กลับไม่เคยพ้นไปจากใบหน้าของพี่สาวนาง หากไม่เป็นเพราะเหยาหลิ่งจือคอยปกป้องพี่สาว เอามือจับด้ามดาบแล้วชักดาบออกมาจากฝักเล็กน้อยเพื่อบอกเป็นนัยแก่อีกฝ่ายว่าอย่าคิดได้คืบแล้วจะเอาศอก สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเจ้าคนบ้าตัณหาผู้นั้นจะทำเรื่องอะไรลงไปบ้าง พระราชวังในทุกวันนี้ไม่มีคนที่พี่สาวสามารถเชื่อใจได้อย่างแท้จริง ต่อให้มีตำแหน่งสูงศักดิ์เป็นถึงฮองเฮา แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอคนหนึ่ง
——