ในโถงใหญ่ของนิกายสวรรค์ล้ำคาดนั้นมันมีเหล่าเจ้านิกายทั้งห้ากำลังนั่งอยู่บนที่นั่งบัลลังก์สูง
และที่นั่งที่หกนั้นมันมีตัวเย่หยวนนั่งอยู่
แม้แต่เหล่ายอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์จักรพรรดิหยกทั้งหลายเองก็ยังต้องนั่งอยู่ต่ำกว่าเย่หยวน
แค่นี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าตำแหน่งของเย่หยวนที่ได้มาจากศึกนี้มันยิ่งใหญ่เพียงใด
สร้างชื่อกังวานโลกาด้วยศึกเพียงครั้งเดียว!
เย่หยวนและชางหยงหนิงนั้นมีวิชาการโอสถที่เหนือล้ำความเข้าใจในวิชาโอสถของทุกผู้คนไป!
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายในที่นี้เองมันก็ไม่มีใครรู้ว่าเหนือล้ำกว่าระดับเก้าขั้นไปนั้นมันยังมีระดับแท้อยู่ ไหนจะเรื่องที่ว่าความเข้ากันได้นั้นมันเพิ่มพูนได้และไหนจะยังเรื่องที่ว่าพวกเขาเพิ่งรู้ถึงกำลังอำนาจที่แท้จริงของพันธมิตรโอสถด้วย!
แท้จริงแล้วศึกในครั้งนี้มันทำให้เจ้านิกายทั้งห้านั้นเกรงกลัวอำนาของของพันธมิตรโอสถหนักหนากว่าเก่า!
ค่ายสำนักที่มีวิชาการโอสถเหนือล้ำปานนี้มันจะต้องสร้างยอดฝีมือที่แข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน?
เสี่ยวเฟยไป่นั้นเป็นได้เพียงแค่หนึ่งในคนทั้งหลายนั้น
“ทุกท่าน หลายปีมานี้เราเป็นได้เพียงแค่กบในกะลา! กำลังของพันธมิตรโอสถที่แสดงออกมานั้นมันทำให้เจ้านิกายผู้นี้ตกตะลึงเป็นอย่างมาก! มิใช่เพียงแค่วิชาการโอสถของพวกมันเท่านั้นแต่วิชายุทธของพวกมันเองก็ยังเหนือล้ำ!”
หยางเจี๋ยนั้นกล่าวขึ้นมาพร้อมหันหน้าไปมองคนทั้งหลาย
เสี่ยวเฟยไป่นั้นเป็นตัวตนที่ทำให้เหล่าเจ้านิกายทั้งห้าต้องรู้สึกกดดันอย่างมาก
เมื่อหลิงว่านเฉิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็กล่าวขึ้นมาตาม “กำลังของชายใบหน้าเย็นเยือกคนนั้นมันไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเราทั้งห้าคนเลย! เรื่องการประลองโอสถในครั้งนี้มันเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันดูท่าแล้วทางพันธมิตรโอสถเองก็คงไม่ได้ตั้งตัวมากมายเช่นกัน แต่ดูจากกำลังที่พวกมันแสดงออกมานั้นแล้วดูท่ากำลังของพันธมิตรโอสถนั้นมันจะเหนือล้ำกว่าที่พวกเราคาดไปมาก!”
หยางเจี๋ยพยักหน้ารับออกมา “พันธมิตรโอสถนั้นมันผงาดขึ้นมาหลังจากการหายตัวไปของท่านโฉ มันเป็นกองกำลังที่ลึกลับอย่างมากและแทบไม่เคยแสดงพลังอำนาจออกมาต่อหน้าใคร พวกเรานั้นรู้แค่ว่าพวกพันธมิตรโอสถนั้นมีวิชาการโอสถและนักหลอมโอสถสวรรค์ที่เก่งกาจ! แต่วันนี้เราได้รู้แล้วว่าพวกนั้นมีกำลังที่แข็งแกร่งด้วย แข็งแกร่งจนเหนือกว่าที่เราคาดคิดไปหลายเท่าตัว! ด้วยวิชาการโอสถนั้นของพวกมันแล้วมันย่อมจะสร้างยอดฝีมือที่ไม่แพ้พ่ายให้แก่พวกเราเหล่าผู้บรรลุสวรรค์เลย!”
เฟิงซวนยี่นั้นพยักหน้ารับ “พันธมิตรโอสถนั้นทำการคว่ำบาตรพวกเรานิกายสวรรค์ยุทธมั่นในครั้งนี้มันดูท่าจะเป็นแผนการที่วางมาก่อนหน้าแล้ว! พวกมันคงเตรียมการเบื้องหลังมานานแสนนานก่อนที่จะเริ่มลงมือ! การคว่ำบาตรนิกายสวรรค์ยุทธมั่นของข้านั้นมันก็เพื่อประกาศให้คนทั้งโลกหล้าได้รู้ว่ากำลังของพวกมันนั้นเหนือล้ำเพียงไหน แต่พวกมันก็คงไม่นึกฝันว่านิกายสวรรค์ยุทธมั่นของข้านั้นจะมีเย่หยวนอยู่จึงทำให้แผนการของพวกมันล่มไม่เป็นท่า!”
คำพูดของเหล่าเจ้านิกายทั้งหลายนั้นมันทำให้เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต้องทำหน้าเครียดออกมาตามๆ กัน
ดูท่าแล้วพวกเขาเองก็คงรู้สึกได้ถึงแรงกดดันนี้
พันธมิตรโอสถนั้นมันเป็นค่ายสำนักกองกำลังของนักยุทธท้องถิ่น
และนักยุทธท้องถิ่นนั้นก็ไม่ถูกกับผู้บรรลุสวรรค์และแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
ต่อให้จะอยากแทรกซึมกลับไปแค่ไหนมันก็คงมิใช่เรื่องง่าย
เพราะฉะนั้นพันธมิตรโอสถจึงสามารถตั้งตระหง่านได้อย่างไม่ต้องก้มหัวให้พวกเขาทั้งหลายเลย
หยางเจี๋ยนั้นกล่าวขึ้นต่อ “ตอนนี้ดินแดนสวรรค์ห้าแสงของเราควรจะแยกตัดขาดจากพันธมิตรโอสถมันไปเสีย! เจ้านิกายเราทั้งห้าคนนั้นตัดสินใจแล้วว่าจากนี้ไปเราจะร่วมมือกันผลักดันพันธมิตรโอสถออกไปจากดินแดนของเราให้สิ้น!”
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่ได้ยินต่างสั่นสะท้านไปทั้งกายเพราะความกังวลและลังเล
ผู้อาวุโสคิ้วขาวคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “เจ้านิกายหยาง เรื่องนั้นมันคงไม่ดีหรือไม่? จะตัดขาดจากพันธมิตรโอสถไปตอนนี้พวกศิษย์ทั้งหลายมันก็ยังพอว่าแต่พวกเราเหล่าคนชั้นบรรยากาศสวรรค์จักรพรรดิหยกนี้จะยังบ่มเพาะกันอย่างไรเล่า?”
แม้ว่าเหล่าเจ้านิกายทั้งห้านั้นจะได้ตัดสินใจออกมาแล้วก็ตาม
แต่ภายในนิกายแต่ละนิกายมันก็ย่อมจะมีคนที่ออกมาคัดค้านอย่างสุดตัวอยู่เช่นกัน
แท้จริงแล้วในเรื่องการออกมาช่วยครั้งนี้เองมันก็มีผู้อาวุโสมากมายในแต่ละนิกายที่ออกมาต่อต้านแสดงความไม่เห็นด้วยแต่แรก
ไม่เช่นนั้นแล้วยอดฝีมือของพันธมิตรโอสถและค่ายสำนักต่างๆ จะแทรกซึมเข้ามาในดินแดนสวรรค์ห้าแสงได้ง่ายๆ หรือ?
ผู้อาวุโสที่มาช่วยเหลือเย่หยวนที่มหารัฐเมฆรุ้งนั้นเองก็มีไม่มากมายนัก
ในเวลาเดียวกันนั้นเองมันก็ได้มีผู้อาวุโสอีกคนกล่าวขึ้นมาเสริม “ท่านเจ้านิกายทั้งห้า แค่บุตรศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตรโอสถมันยังเก่งกาจได้ขนาดนั้นแล้ว! เช่นนั้นแล้วผู้นำพันธมิตรมันจะต้องมีฝีมือมากมายแค่ไหนกัน? เย่หยวนนั้นมีพรสวรรค์และฝีมือที่เหนือล้ำอย่างแท้จริง แต่เขานั้นหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ได้หรือไม่เล่า? ต่อให้จะนับทั้งห้านิกายเรารวมกันตอนนี้มันก็มีนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่อยู่เพียงแค่ฉีเหยียนกับตงหรุยเท่านั้น! มีหรือที่ศาลาโอสถนั้นจะผลิตโอสถสวรรค์ได้ทันความต้องการของยอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์จักรพรรดิหยกทั้งดินแดนสวรรค์ห้าแสงนี้ได้?”
“ไม่ว่าเย่หยวนจะเก่งกาจสักเพียงใดเขานั้นก็มีฝีมือแค่เทียบเท่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ของพันธมิตรโอสถ! เขาไม่ได้เก่งกาจเหมือนท่านโฉปู้ฉุนจนพอที่จะช่วยเหลือเราทั้งหลายได้!”
“มันเป็นเพราะเจ้าเด็กคนนี้! หากมิใช่เพราะมันแล้วเราคงไม่ต้องมาหนักหัวเรื่องพันธมิตรโอสถเช่นนี้แน่!”
…
คำพูดของหยางเจี๋ยนั้นถูกผู้อาวุโสมากมายกล่าวขึ้นขัด
แม้ว่าคนทั้งหลายนั้นจะไม่ได้เป็นผู้นำของนิกายแต่พวกเขาเองก็มีสิทธิมีเสียงไม่น้อยในนิกาย
คำพูดของพวกเขารวมกันนั้นมันย่อมจะหนักหน่วงอย่างมาก
แม้ว่าเจ้านิกายนั้นจะเก่งกาจแค่ไหนมันก็ไม่มีทางจะปกครองนิกายใหญ่โตได้ด้วยกำลังของตนเองเพียงแค่คนเดียว
เพราะฉะนั้นมันจึงต้องมีการประชุมใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา
ได้ยินคำพูดอันเปี่ยมเหตุผลของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเจ้านิกายทั้งห้าเองก็ได้แต่ต้องขมวดคิ้วแน่น
คนที่ได้รับเลือกให้ขึ้นมาเป็นเจ้านิกายได้นอกจากฝีมือแล้วพวกเขาทั้งหลายนั้นย่อมจะมีมุมมองที่เหนือล้ำกว่าเหล่าผู้อาวุโสนี้ไปมาก
แม้ว่านิกายทั้งห้านั้นจะมีการขัดแย้งผลประโยชน์กันเกิดขึ้นบ้างแต่ในการดำเนินการภาพใหญ่แล้วพวกเขากลับตัดสินใจไปในทางเดียวกันเสมอ
ได้เห็นกำลังของพันธมิตรโอสถนั้นคนทั้งหลายต่างรู้ทันทีว่าจะปล่อยให้พวกมันได้ทำตามใจชอบต่อไปเช่นนี้ไม่ได้แล้ว
หากห้านิกายสวรรค์ไม่ร่วมมือกันแล้วหายนะของดินแดนสวรรค์ห้าแสงมันคงจะมาถึงในไม่ช้า
แต่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั้นมองไม่เห็นถึงมัน
เพราะสายตาของพวกเขามันสุดแสนสั้น เห็นเพียงแค่ผลประโยชน์ที่วางตรงหน้า
หากจะถามว่าผลประโยชน์อะไร?
มันก็คือโอสถสวรรค์!
โอสถสวรรค์ระดับสี่ที่มีคุณภาพสูงนั้นมันมีเพียงแค่พันธมิตรโอสถเท่านั้นที่จะมอบให้พวกเขาได้!
เพราะฉะนั้นพวกเขาทั้งหลายจึงไม่กล้าที่จะตัดขาดกับพันธมิตรโอสถอย่างแท้จริง
ความคับแค้นของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั้นมันสั่งสมจนสุดท้ายค่อยๆ หันความเกลียดชังมาให้แก่เย่หยวน
คนที่ว่าอย่างดุดันที่สุดนั้นก็คือชายแก่คิ้วขาวคนนั้น เขานั้นคือผู้อาวุโสที่สองของนิกายสวรรค์หมื่นช้าง ต้วนหยงชุน
“ข้าว่าตอนนี้เราควรจับตัวเย่หยวนมันเอาไปให้พันธมิตรโอสถจะดีกว่า เผื่อพวกเขาจะสงบโทสะลงได้บ้าง!” ต้วนหยงชุนกล่าวขึ้นมา
“หุบปาก!” เฟิงซวนยี่นั้นกล่าวขึ้นมาเพราะไม่อาจทนฟังได้ก่อนจะร้องด่าขึ้นอย่างไม่พอใจ “ต้วนหยงชุน เจ้ามีสมองหรือไม่? เจ้าคิดว่าพันธมิตรโอสถมันเป็นองค์กรการกุศลหรืออย่างไร? พวกมันนั้นกำลังใช้โอสถสวรรค์ในการปกครองทวีปพิรุณใสอยู่!”
ต้วนหยงชุนหัวเราะตอบกลับมา “หึๆ คำพูดของต้วนผู้นี้หากเจ้านิกายเฟิงไม่อยากได้ยินได้ฟังมันก็ช่างเถอะ แต่คำพูดของท่านนั้นเองมันก็แค่พูดเกินจริงไปเท่านั้นมิใช่หรือ! ทวีปพิรุณใสนั้นมันยิ่งใหญ่เพียงใด มีหรือที่พันธมิตรโอสถมันจะมาควบคุมได้?”
เฟิงซวนยี่นั้นทำท่าจะเถียงกลับไปแต่เย่หยวนกลับลุกขึ้นมาขัดคนทั้งสองก่อน
เหล่าเจ้านิกายทั้งห้านั้นต่างผงะไปตามๆ กันเพราะไม่เข้าใจว่าเย่หยวนคิดจะทำอะไรกันแน่
เย่หยวนค่อยๆ เดินเข้าไปหาต้วนหยงชุนจนทำให้อีกฝ่ายผงะและหัวเราะขึ้นมา “อะไรเล่า? อาจารย์เย่ท่านคิดจะลงโทษต้วนผู้นี้ต่อหน้าสาธารณชนหรือ?”
“เจ้าโง่!” เย่หยวนกล่าวขึ้น
ต้วนหยงชุนนั้นผงะไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เย่หยวนกล่าวซ้ำขึ้นมา “ข้าบอกว่าเจ้าโง่! ทุกคนในที่นี้มันมีแต่คนโง่เง่า!”
เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวขึ้นมาสีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสจากหลายนิกายต่างก็เปลี่ยนสีไปตามๆ กัน
“เด็กน้อย! เป็นแค่นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่แต่กลับกล้ามาดูถูกเราหรือ อยากตายนักแล้ว?”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงกล้ามาวางตัวเหนือหัวคนเช่นนี้?! เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสคนนี้จะไม่กล้าลงมือต่อเจ้าหรือ?”
“เจ้านิกายเฟิง นิกายสวรรค์ยุทธมั่นของท่านสั่งสอนศิษย์เช่นนี้หรือ?”
เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างไม่พอใจร้องด่าเย่หยวนขึ้นมาตามๆ กัน
แต่เย่หยวนนั้นยิ้มตอบกลับไป “ขออภัย ข้านั้นมิใช่ศิษย์นิกาย เย่ผู้นี้เป็นผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์ยุทธมั่น มีตำแหน่งไม่ได้ต่างจากพวกเจ้า! ข้าด่าพวกเจ้าโง่นั้นมันจะถือเป็นความผิดใด?”
…………………………