ตอนที่ 2631 หลักฐาน

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ใบหน้าของต้วนหยงชุนดำมืดลงไปทันทีก่อนจะหันไปหาเฟิงซวนยี่ด้วยความไม่พอใจ “เจ้านิกายเฟิง ท่านอย่าได้มาหาว่าข้าไม่ไว้หน้าท่านแล้วกัน! หากวันนี้นิกายสวรรค์ยุทธมั่นท่านไม่อธิบายเรื่องนี้ให้ดีแล้วอย่าได้หาว่าต้วนผู้นี้เสียมารยาทเลย!”

พูดไปคลื่นพลังของต้วนหยงชุนก็ปะทุขึ้นมามองดูหน้าเย่หยวนด้วยความดุดัน

เฟิงซวนยี่หน้าเปลี่ยนสีไปเพราะเขานั้นสัมผัสได้ว่าต้วนหยงชุนนั้นไม่พอใจจริงๆ แล้ว

แต่เย่หยวนนั้นกลับตอบไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย “คนโง่ๆ อย่างเจ้านั้นข้าล่ะไม่รู้เลยจริงๆ ว่าขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน! เจ้าอยากได้คำอธิบาย? ได้ ข้าจะเอาหลักฐานมาให้เจ้าได้เห็นเอง! หวู่เฉิงเฉา เข้ามา!”

เสียงของเย่หยวนนั้นดังลั่นทั้งโถงออกไปจนถึงด้านนอก

ไม่นานนักหวู่เฉิงเฉาก็เดินเข้ามาภายใน

หวู่เฉิงเฉาเป็นเพียงแค่ผู้พิทักษ์ของนิกายแน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่มีสิทธิเข้ามานั่งร่วมประชุมกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย

แต่ว่าวันนี้เย่หยวนได้ออกคำสั่งเรียกเขามาเป็นการเฉพาะ

ได้เห็นตัวหวู่เฉิงเฉาเดินเข้ามานั้นคนทั้งหลายต่างก็ทำหน้ามึนงงขึ้นมา

“หวู่เฉิงเฉาคารวะท่านเจ้านิกายและเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย!” เมื่อต้องมาอยู่หน้ายอดฝีมือชั้นบรรยากาศสวรรค์จักรพรรดิหยกนับสิบๆ เช่นนี้ตัวหวู่เฉิงเฉาย่อมจะรู้สึกแสนอึดอัด

“เย่หยวน เจ้าเรียกผู้พิทักษ์ของนิกายขึ้นมาเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน?” ต้วนหยงชุนนั้นถามขึ้น

เย่หยวนไม่คิดสนใจเขาและหันหน้าไปหาทางฉีเหยียน “ผู้อาวุโสฉี ท่านสนใจจะลองประลองโอสถกับนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามของนิกายสวรรค์ยุทธมั่นของเราหรือไม่?”

ฉีเหยียนนั้นเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

เขานั้นคือผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์หมื่นช้างและยังเป็นหนึ่งในสองนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ของดินแดนสวรรค์ห้าแสงนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมจะมีตำแหน่งสูงล้ำพอเป็นผู้อาวุโสได้

แต่เขานั้นกลับไม่นึกไม่ฝันว่าเย่หยวนนั้นจะท้าให้เขามาประลองโอสถกับผู้พิทักษ์ของนิกายสวรรค์ยุทธมั่น

หากเป็นเย่หยวนลงมือเองตัวเขาย่อมจะยอมแพ้อย่างทันที

แต่หากอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงแค่นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามน้อยๆ คนหนึ่งนี้ตัวเขาย่อมจะไม่เกรงกลัว

ฉีเหยียนยิ้มขึ้นมา “ดูท่าผู้อาวุโสเย่จะคิดว่าเฒ่าคนนี้ไม่อาจเอาชนะมันได้?”

เย่หยวนเองก็ไม่คิดเกรงใจใดๆ ตอบกลับไปตามตรง “ใช่แล้ว! หวู่เฉิงเฉานั้นเป็นคนที่ถูกข้าฝึกฝนมากับมือ ท่านมิใช่คู่มือของเขาหรอก!”

ฮือ!

มันย่อมจะเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาหลังจากคนทั้งหลายได้ยิน

เจ้าเด็กคนนี้มันไม่คิดเกรงใจใคร!

เจ้าคิดว่าทุกผู้คนจะเป็นอัจฉริยะอย่างเจ้าได้หรือ?

เย่หยวนนั้นเข้านิกายมาได้ยังไม่นานนัก เวลาที่เข้าอยู่ในนิกายนั้นยิ่งสั้นเป็นเวลาเพียงไม่กี่สิบปี

เวลาเพียงแค่นั้นเขาย่อมจะไม่มีเวลาไปทำอะไรมากนักในนิกาย

แต่จะบอกว่าการฝึกฝนสั้นๆ ของเย่หยวนนั้นมันจะทำให้หวู่เฉิงเฉาเอาชนะผู้อาวุโสฉีเหยียนได้?

จะโม้มากไปแล้ว!

“ฮ่าๆๆ… จะบ้ากันเกินไปแล้ว! เย่หยวน หรือว่าเจ้าเห็นว่าบรรยากาศตอนนี้มันน่าอึดอัดเจ้าเลยคิดลุกขึ้นมาเล่นตลกให้เราดู?” เมื่อต้วนหยงชุนได้ยินเช่นนั้นเขาก็อดหัวเราะลั่นขึ้นไม่ได้

เย่หยวนนั้นหันกลับไปมองเขาด้วยรอยยิ้มที่แสนเย็นเยือก “ผู้อาวุโสต้วน ตอนที่ข้าประลองกับบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งพันธมิตรโอสถนั้นข้าได้วางพันธะวิญญาณดั่งเดิมไว้กับเขา จะลองดูไหมเล่า?”

ต้วนหยงชุนนั้นหน้าซีดลงทันทีก่อนจะหุบปากลงไป

แม้ว่าเขานั้นจะไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าหวู่เฉิงเฉาจะเอาชนะได้แต่หากยอมรับทำพันธะวิญญาณดั่งเดิมด้วยเรื่องเพียงแค่นี้เขาก็ย่อมจะสติไม่ดีแน่แล้ว

ได้เห็นใบหน้าของต้วนหยงชุนเช่นนั้นเย่หยวนก็ยิ้มขึ้นมา “หากเจ้าไม่กล้าก็หุบปากไป! ผู้อาวุโสต้วน แค่เจ้าไม่พูดคนอื่นเขาก็ไม่คิดว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก!”

“เจ้า!” ต้วนหยงชุนนั้นแทบจะสำลักขึ้นมาเมื่อได้ยิน

ฉีเหยียนนั้นหันมามองเย่หยวนอย่างตกตะลึงไม่น้อย เขานั้นไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเย่หยวนไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใด

เขานั้นย่อมรู้เรื่องของหวู่เฉิงเฉา นักหลอมโอสถสวรรค์ในดินแดนสวรรค์ห้าแสงนี้มันมีกันเพียงแค่หยิบมือ มีหรือที่พวกเขาจะจำหน้ากันและกันไม่ได้เลย?

เพราะไม่ว่าหวู่เฉิงเฉาจะไร้ฝีมือแค่ไหนอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามคนหนึ่ง แน่นอนว่าตัวฉีเหยียนย่อมจะต้องให้ความสนใจคนระดับนี้บ้าง

เพียงแค่ว่าในความคิดของเขานั้นหวู่เฉิงเฉาเป็นคนที่มีฝีมือแสนธรรมดา

แท้จริงแล้วหากจะจัดเขาให้เป็นคนไร้ฝีมือในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามของดินแดนสวรรค์ห้าแสงมันก็ยังได้

แต่จะบอกว่าคนเช่นนั้นได้รับการฝึกฝนจากเย่หยวนแค่ไม่กี่ปีก็จะก้าวขึ้นมาเอาชนะเขาลงได้?

เขาไม่ขอเชื่อ!

“ในเมื่อผู้อาวุโสเย่ตัดสินใจเช่นนั้นแล้วเฒ่าคนนี้จะลงมือให้คนทั้งหลายได้เห็นเป็นบุญตาเสียหน่อยจะเป็นไรไป?” ฉีเหยียนนั้นตอบกลับมา

เพราะแท้จริงตัวฉีเหยียนนั้นก็ชื่นชมเย่หยวนอย่างมาก

ผู้บรรลุสวรรค์ที่มีความเข้ากันได้เพียงหนึ่งแต้มนั้นกลับก้าวขึ้นมาจนถึงจุดนี้ได้ มันย่อมจะเป็นเรื่องบ้าคลั่งที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา

ฉีเหยียนนั้นมีความเข้ากันได้ที่สูงล้ำมันจึงทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่เช่นนี้ได้

การปรากฏตัวขึ้นของเย่หยวนนั้นมันอาจจะเรียกได้ว่าเป็นแสงแห่งความหวังใหม่ของเหล่าผู้บรรลุสวรรค์นักหลอมโอสถสวรรค์

หากมันมีโอกาสตัวฉีเหยียนเองก็ไม่คิดจะเกรงใจพร้อมให้เย่หยวนสั่งสอนความรู้

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเย่หยวนจึงได้เก่งกาจมากนักนั้นในฐานะนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่คนหนึ่งแล้วตัวฉีเหยียนย่อมอยากจะรู้แทบขาดใจ

เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจึงต้องไว้หน้าเย่หยวน!

“นี่มัน… เย่หยวน หวู่เฉิงเฉาจะเอาชนะได้หรือ?” เฟิงซวนยี่ดึงตัวเย่หยวนเข้าไปกระซิบถาม

เขานั้นก็ไม่นึกฝันเช่นกันว่าเย่หยวนนั้นกลับจะใช้วิธีการประหลาดอย่างการให้หวู่เฉิงเฉาเข้ามาท้าทายฉีเหยียนเช่นนี้!

เขานั้นมั่นใจในฝีมือของเย่หยวนแต่ตัวหวู่เฉิงเฉานั้น… เขาไม่ได้มีความมั่นใจใดๆ เลย

เพราะจะอย่างไรเสียในช่วงเวลาหลายต่อหลายปีมานี้ทางนิกายสวรรค์ยุทธมั่นก็แทบจะไม่มีสมุนไพรสวรรค์เหลืออยู่ทำให้ตัวหวู่เฉิงเฉาเองก็ไม่อาจจะฝึกฝนการหลอมโอสถสวรรค์ได้มากมายเช่นกัน

เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ท่านเจ้านิกายโปรดวางใจเถอะ เย่ผู้นี้ไม่ทำให้เสียการเสียงานแน่ หวู่เฉิงเฉานั้นแข็งแกร่งกว่าฉีเหยียนจริง!”

แม้ว่าเย่หยวนจะกล่าวขึ้นมาด้วยความมั่นใจแต่ตัวเฟิงซวนยี่กลับไม่มีความมั่นใจใดๆ

แต่เมื่อต้วนหยงชุนได้เห็นเช่นนั้นเขาก็ย่อมจะหัวเราะเย้ยขึ้นมาโดยไม่พูดกล่าวอะไร

หากหวู่เฉิงเฉาชนะ เรื่องราวมันก็ย่อมจะไม่แตกต่างจากเดิม

แต่หากหวู่เฉิงเฉาแพ้แล้วคำพูดของเขาในเรื่องครั้งนี้มันย่อมมีน้ำหนักขึ้นกว่าเก่า!

ในความคิดของเขานั้นพันธมิตรโอสถเป็นกองกำลังที่ไม่ดุร้ายใดๆ และย่อมจะไม่คิดเข้ามาแทรกแซงการแย่งชิงอำนาจของดินแดนสวรรค์ห้าแสง

มีหรือที่ค่ายสำนักโอสถมันจะมีความทะเยอทะยานล้ำเช่นนั้น?

โถงใหญ่นั้นมันกว้างอย่างยิ่ง พอที่จะเปิดพื้นที่ตรงกลางให้กลายเป็นลานประลองโอสถได้

เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายนั้นต่างเห็นการประลองของคนทั้งสองได้อย่างชัดเจน

ฉีเหยียนนั้นเก่งกาจปานใดมันย่อมไม่ต้องสงสัย

นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่นั้นต่อให้จะห่วยแตกอย่างไรมันก็ไม่มีทางอ่อนแอกว่านักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามได้

ทางด้านหวู่เฉิงเฉานั้นมันย่อมจะไม่มีใครคิดว่าเขาจะเอาชนะได้

การประลองโอสถของคนทั้งสองนั้นมันย่อมจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เหนือฟ้าดินเหมือนเรื่องเย่หยวนและบุตรศักดิ์สิทธิ์นั้น

การประลองตรงหน้านี้มันคงเรียกได้ว่าเป็นระดับปกติธรรมดาของผู้คนทั่วไป

เพราะฉะนั้นจนกว่าโอสถสวรรค์จะถูกนำออกจากหม้อหลอมมา มันก็ย่อมจะไม่มีทางสัมผัสได้เลยว่าใครเหนือหรืออ่อนแอกว่า

หลังจากผ่านไปได้หลายชั่วโมงในที่สุดโอสถสวรรค์ระดับสามของทั้งสองฝ่ายต่างก็ถูกดึงออกจากหม้อหลอมแทบจะพร้อมๆ กัน

โอสถสวรรค์นั้นเย่หยวนเป็นคนกำหนดว่าจะหลอมโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับสาม!

เมื่อฉีเหยียนนำเอาโอสถสวรรค์ของตนไปวางบนศิลามารดาก่อเมฆานั้นมาตรวัดมันก็พุ่งทะยานขึ้นไปจนถึงระดับเจ็ดอย่างรวดเร็ว!

ผลลัพธ์นี้มันย่อมจะทำให้คนทั้งหลายต้องโห่ร้องขึ้น

“ฮ่าๆ เยี่ยมจริง สมชื่อว่าเป็นอาจารย์ฉีเหยียน ฝีมือของเขานั้นช่างเหนือล้ำนัก!”

“โอสถสวรรค์ปรับฐานระดับสามนั้นเขากลับสามารถหลอมมันขึ้นไปถึงระดับเจ็ดขั้นสูงได้ นี่มันเหนือล้ำกว่าที่นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามจะทำได้ไปแล้ว!”

“หึๆ ข้าไม่ขอเชื่อหรอกว่าหวู่เฉิงเฉาจะหลอมได้ถึงระดับแปด!”

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายได้เห็นผลลัพธ์เช่นนั้นพวกเขาต่างก็ได้แต่ต้องส่ายหัวออกมาตามๆ กัน

ดูอย่างไรแล้วโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับสามของหวู่เฉิงเฉานั้นมันก็ไม่มีเศษเสี้ยวของสีทองระดับเก้า เช่นนั้นมันคงมีแต่ต้องเป็นระดับแปดแล้วที่จะก้าวล้ำเอาชนะฉีเหยียนไปได้

แต่สำหรับนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามแล้วเรื่องเช่นนั้นมันย่อมแทบจะเป็นไปไม่ได้

แท้จริงแล้วหวู่เฉิงเฉาเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน

เพราะยี่สิบปีที่ผ่านมานี้เขาไม่มีสมุนไพรสวรรค์ระดับสามมากพอที่จะใช้ฝึกฝนตัวเองใดๆ เลย

แต่เขานั้นก็ใช่ว่าจะเอาแต่นั่งเฉยไม่คิดทำอะไร

ยี่สิบปีที่ผ่านมานี้เขาจึงใช้เวลาที่มีในการศึกษาโอสถสวรรค์ระดับหนึ่งและสองให้มากขึ้นกว่าเก่า

นี่มันคือวิธีการที่เย่หยวนสอนเขามา

หวู่เฉิงเฉานั้นไม่คิดแค้นใดๆ เย่หยวนที่หลอกใช้เขาเลย

กลับกัน เขากลับจะรู้สึกพึงพอใจเสียด้วยซ้ำ

เพราะว่าเขานั้นสามารถจะเห็นถึงการพัฒนาในวิชาการโอสถของตัวเองกับตา!

ด้วยความกังวลในใจนั้นตัวหวู่เฉิงเฉาก็ค่อยๆ เอาโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับสามไปวางบนศิลามารดาก่อเมฆา

มาตรวัดของมันพุ่งทะยานขึ้นทันที!

เมื่อมาตรวัดหยุดลงนั้นคนทั้งโถงใหญ่ต่างก็ต้องร่ำร้องขึ้นมาตามๆ กัน!

“ระดับแปดขั้นกลาง! นี่… เป็นไปได้อย่างไรกัน? ด้วยฝีมือของหวู่เฉิงเฉานั้นเขากลับหลอมโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับสามได้จนถึงระดับแปดขั้นกลางหรือ?” ต้วนหยงชุนนั้นต้องอ้าปากค้างขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง