หนึ่งในทูตดินแดนโบราณมารโลหิต มีบุคคลแห่งยุคนามว่าลั่งเชียนเหิง หมายจะท้าสู้ผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎราชันมรรคาอมตะในดินแดนรกร้างโบราณทุกคน!

เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกมา ดินแดนรกร้างโบราณก็สะเทือนโดยสมบูรณ์ ใต้หล้าต่างฮือฮาเพราะเรื่องนี้

“ไอ้คนบ้าระห่ำรนหาที่ตายคนหนึ่ง!”

นี่เป็นการตอบสนองแรกของหลายคน

ตัวคนเดียวกลับกล้าคุยโวว่าต้องการท้าสู้บุคคลขอบเขตมกุฎในปัจจุบันทั้งหมด วางมาดใหญ่โตเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เห็นพวกเขาดินแดนรกร้างโบราณอยู่ในสายตา

“ในเมื่อข่าวนี้กระจายออกมาจากหอฤทธิ์เทพย่อมไม่ใช่เรื่องเท็จ และในเมื่อลั่งชิงเหิงผู้นี้กล้าโหวกเหวกใหญ่โตเช่นนี้ ต้องเชื่อถือได้แน่นอน”

“ข้ากังวลนัก ถ้าในการท้าสู้ บุคคลขอบเขตมกุฎดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราแสดงความสามารถได้อ่อนแอนัก แพ้ด้วยน้ำมือของคนผู้นี้ เช่นนั้นไม่เพียงขายหน้าง่ายๆ แค่นั้น ยังเป็นไปได้สูงว่าจะกระทบขวัญกำลังใจของพวกเราดินแดนรกร้างโบราณด้วย”

และมีหลายคนกังวลใจนัก

ด้วยฐานะทูตจากดินแดนโบราณมารโลหิต ลั่งเชียนเหิงผู้นี้จะเป็นคนธรรมดาจองหองไม่รู้เรื่องรู้ราวได้อย่างไร

ในเมื่อเขากล้าคุยโวเช่นนี้ ย่อมมีความแข็งแกร่งที่ทำให้มาดมั่นอย่างยิ่ง!

พอหลินสวินได้รู้ข่าวนี้เข้าก็ชะงักไป ในใจลอบเอ่ยว่าการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนยังไม่ทันเริ่ม ทูตดินแดนโบราณมารโลหิตผู้นี้ก็แจ้นมาอวดศักดา ไม่ว่าจะมาด้วยจุดประสงค์อะไร พูดกันถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะดูถูกบุคคลขอบเขตมกุฎในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้น

ที่ทำให้หลินสวินสนใจก็คือ ลั่งเชียนเหิงผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ และมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งปานไหนถึงกล้าท้าทายเช่นนี้

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น หลินสวินคงคร้านจะใส่ใจแม้สักนิด

แต่ลั่งเชียนเหิงผู้นี้ต่างออกไป เขามาจากดินแดนโบราณมารโลหิต ถือเป็นผู้แข็งแกร่งจากหนึ่งใน ‘แปดดินแดน’ สิ่งนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของหลินสวิน

เมื่อการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนเริ่มขึ้นในภายหน้าจะต้องเข่นฆ่ากับศัตรูเช่นนี้แน่ หากรู้ตื้นลึกหนาบางของพวกเขาล่วงหน้าเสียหน่อยย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

‘ช่างเถอะ รออีกสักพักไปก่อน ดูหน่อยว่าเจ้าหมอนี่เก่งกล้าสามารถแค่ไหนก็ได้’

หลินสวินส่ายหัว แล้วไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้อีก

เขาเดินบนถนนลำพัง ท่องไปในใต้หล้าต่อ รู้สึกสบายใจผ่อนคลายและปลอดโปร่งนัก เปรียบดั่งนักพเนจรผู้หนึ่งกำลังสัมผัสความงดงามของสรรพสิ่งในใต้หล้า ความวิเศษของโลกปุถุชนหมื่นจั้ง

ฝึกปราณมาถึงตอนนี้ มรรคาทุกอย่างในตัวเขาทะลวงถึงขั้นสูงสุดของมรรคาอมตะแล้ว ที่วางอยู่ตรงหน้าเขามีเพียงด่านเดียว…

บรรลุอริยะ!

เพียงไม่กี่คำกลับเหมือนกำแพงสวรรค์ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่รู้ขัดขวางวิถีผู้ฝึกปราณให้หยุดก้าวเดินลงตรงนี้มากมายเท่าไร

และเส้นทางอริยมรรคที่หลินสวินเสาะหายังไม่เหมือนกับผู้อื่น เขาฝึกฝนมกุฎมรรคาทั้งสามสายไปพร้อมกัน ระดับมกุฎอริยะที่ต้องบรรลุก็ย่อมไม่เหมือนกับคนอื่น!

ทางเส้นนี้เดินได้ยากนัก ไม่ถึงกับเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่กลับเรียกได้ว่าต่างจากวิถีโลก ต่างจากปวงชน มีสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้มากมายยิ่งนัก

และสิ่งที่ไม่อาจล่วงรู้มักหมายถึงความน่าสะพรึงกลัวและภยันตรายใหญ่ยิ่ง!

แต่จิตใจของหลินสวินไม่ได้รับผลกระทบนี้ ประสบการณ์ฝึกปราณในอดีตขัดเกลาให้เจตจำนงและสภาวะจิตของเขาแกร่งกล้าดังศิลายักษ์ จิตมรรคราวกระบี่ สามารถเฉือนสุริยันจันทราเทพผี ย่อมไม่กลัวความยากลำบากและอันตรายเบื้องหน้า

วันนี้ หลินสวินเหมือนนักพเนจรธรรมดาคนหนึ่ง เดินเข้าไปในโรงน้ำชาที่คึกคักจอแจ เต็มไปด้วยกลิ่นอายเมือง สั่งชาร้อนหนึ่งกาแล้วเอาแต่สนใจลิ้มรสชา

ปุถุชนเป็นภาพแทนของสภาวะต่างๆ ของเหล่าสิ่งชีวิต มีกลิ่นอายโลกีย์หมื่นจั้งไหลเวียน มีเพียงเข้าสู่ทางโลกเท่านั้น จึงเข้าใจความหมายของ ‘สรรพชีวิต’

หลินสวินพลิกมือเอาหีบสำริดขนาดเท่าฝ่ามือออกมา สิ่งนี้ประหนึ่งกระบี่บินสำริดที่หนาหนักเล่มหนึ่ง แผ่กลิ่นอายเจนโลกและลึกลับ

สิ่งนี้ก็คือ ‘อริยะนำพา’ ที่หลินสวินได้มาจากแดนมกุฎ เป็นสิ่งที่จักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนมอบให้ สิ่งที่ผนึกไว้ข้างในคือประสบการณ์และความเข้าใจของมกุฎบรรลุอริยะ!

ก่อนหน้านี้ไม่นานหลินสวินก็เริ่มศึกษาสิ่งนี้ ได้รู้ว่าอริยะนำพาที่ผนึกอยู่ในหีบสำริดนี้ ก็คือใจความความเข้าใจอันสมบูรณ์ยามบรรลุระดับด้วยขอบเขตมกุฎ ของคนใหญ่คนโตที่บรรลุจักรพรรดิตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์อย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนกับจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง

แม้เป็นใจความและการหยั่งรู้ส่วนหนึ่ง แต่ความทรงค่านั้นเรียกได้ว่าเหลือประมาณ!

ถึงอย่างไรจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนก็ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘จักรพรรดิอันดับหนึ่งในยุคดึกดำบรรพ์’ เป็นบุคคลผู้สูงส่งหาใดเทียบที่นำทิศทางการเปลี่ยนแปลงในใต้หล้า

ด้านจักรพรรดิสงครามอู๋ยางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน

ใจความบรรลุอริยะที่บุคคลระดับจักรพรรดิทั้งสองหลงเหลือไว้ชิ้นหนึ่ง หากถูกสำนักเก่าแก่ในดินแดนรกร้างโบราณพวกนั้นรู้เข้า ต้องคลั่งจนชิงไปจากมือหลินสวินอย่างไม่สนใจราคาที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น!

ในช่วงหลายวันมานี้ พอหลินสวินมีเวลาว่างก็จะหยั่งรู้และครุ่นคิดถึงใจความแก่นอัศจรรย์ในอริยะนำพา ตักตวงผลประโยชน์ได้อย่างยิ่งยวด

และยังทำให้เขายิ่งชัดเจนและแน่วแน่ในเส้นทางมกุฎบรรลุอริยะที่ตนต้องการเสาะแสวงขึ้นไปอีก

ยุคดึกดำบรรพ์มกุฎมรรคายังมีอยู่ อย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียนก็ผงาดขึ้นด้วยมรรคกระบี่ ใช้มรรคกระบี่และกลายเป็นมกุฎอริยะกระบี่

มรรคกระบี่ของเขา ก็อยู่ในคำว่า ‘ไท่เสวียน’

ส่วนจักรพรรดิสงครามอู๋ยางแผ้วทางอีกสายหนึ่ง ใช้พลังแจ้งมรรค ใช้การสังหารบรรลุมกุฎอริยะ มรรคอริยะของนางอยู่ที่ ‘สกัดง้าวด้วยการสังหาร’

สกัดง้าว หมายถึงหยุดการต่อสู้และระงับสงคราม มีนัยถึงไร้พินาศ (อู๋ยาง)

ได้เรียนรู้การหยั่งรู้และใจความบรรลุอริยะของพวกเขาทั้งสอง ทำให้หลินสวินรู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงอันดัง ได้เรียนรู้แก่นสารชั้นเลิศอยู่เนืองๆ

เช่นตอนนี้ หลินสวินเพิ่งรู้ว่าอริยะแท้ทั่วไป แม้มีพลังจัดวางมรรคในใต้หล้า เบิกสำนักตั้งพรรค แต่กลับไม่มีรากฐานพลังที่สามารถส่งเสริมค้ำจุนให้พวกเขาทำได้ถึงขั้นนี้!

ที่สำคัญที่สุดก็คืออริยะแท้ทั่วไป ชั่วชีวิตแทบไม่อาจสัมผัสธรณีประตูของระดับจักรพรรดิได้!

มีเพียงขอบเขตมกุฎบรรลุอริยะ ถึงครอบครองรากฐานพลังเหล่านี้

นอกจากนี้ในอริยะนำพาชิ้นนี้ ยังประทับความเข้าใจและการเตรียมตัวยามจักรพรรดิทั้งสองบรรลุอริยะไว้อย่างละเอียด

ไม่ถึงกับคลุมเครือลึกซึ้ง แต่กลับทำให้หลินสวินเข้าใจได้ราวเมฆกระจายตะวันกระจ่าง ตื่นรู้ขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้รู้แจ้งอย่างลึกซึ้ง

ในโรงน้ำชาคึกคักนัก มีคนจากสำนักมากมายรวมตัวกัน หลินสวินนั่งอยู่เช่นนั้น ลิ้มรสชาไปพลางหยั่งรู้ความลับที่อริยะนำพาได้บันทึกเอาไว้ ไม่ได้สะดุดตา

“แพ้อีกแล้ว! คราวนี้บุคคลขอบเขตมกุฎผู้หนึ่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราถูกลั่งเชียนเหิงนั่นเอาชนะ ทั้งการต่อสู้คราวนั้นก็ชี้ขาดแพ้ชนะได้ในสิบกระบวนท่า นี่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนที่สิบสามที่แพ้ด้วยน้ำมือของลั่งเชียนเหิงแล้ว”

ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยผู้หนึ่งรีบร้อนเข้ามาในโรงน้ำชา ส่งเสียงถอนใจเศร้าสร้อย ทำให้อึกทึกไปทั่ว

“อะไรนะ นี่ยังไม่ถึงครึ่งเดือนเลย มีบุคคลขอบเขตมกุฎแพ้มากมายขนาดนี้แล้วหรือ”

มีคนทำใจเชื่อได้ยาก

“ลั่งเชียนเหิงคนนี้เก่งกาจปานนี้จริงหรือ”

“ได้ยินว่าบุคคลขอบเขตมกุฎที่ประมือกับเขา ยังไม่มีที่รับได้เกินสิบกระบวนท่าสักคน!”

“สวรรค์ นี่จะน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง บุคคลขอบเขตมกุฎของดินแดนรกร้างโบราณของพวกเราแข็งแกร่งปานไหน แต่เหตุใดจึงความสามารถอ่อนด้อยเช่นนี้”

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ บ้างขุ่นเคือง บ้างฉงน บ้างไม่อาจเชื่อได้

มีเพียงหลินสวินที่สีหน้าสงบนิ่งดังเดิม

เขาก็เคยได้ยินข่าวพวกนี้มาก่อน ถึงกับรู้ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎที่แพ้ด้วยน้ำมือของลั่งเชียนเหิงเหล่านั้น ในแดนมกุฎตอนนั้นไม่ถึงกับโดดเด่นสะดุดตานัก กระทั่งไม่มีใครพาตัวเองขึ้นอันดับในกระดานทองคำผู้กล้าได้

ในความคิดหลินสวิน คนเหล่านี้แพ้ให้ลั่งเชียนเหิง แม้ทำให้ผู้ฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณไม่อาจรับได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้เช่นกัน

หากลั่งเชียนเหิงที่กล้าท้าทายบุคคลขอบเขตมกุฎทุกคนในดินแดนรกร้างโบราณด้วยตัวคนเดียวนั่นอ่อนแอนัก เช่นนั้นถึงจะน่าประหลาดใจ

ไม่นานนักหลินสวินก็ลุกขึ้นแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

ณ ตอนนี้ความสามารถของลั่งเชียนเหิงยังคงไม่สามารถดึงดูดความสนใจและจิตต่อสู้ของเขา

กาลเวลาผันผ่าน หลินสวินสนใจแต่ท่องไปในโลก ไม่นั่งสมาธิฝึกตนยามค่ำคืน ก็มองดูความงดงามของภูผาธาราที่ยอดเขา ไม่สัมผัสการดำเนินชีวิตในโลกปุถุชน ก็จดจ่อกับการขบคิดปริศนาของอริยะนำพา…

และในขณะเดียวกัน คลื่นความวุ่นวายที่ลั่งเชียนเหิงก่อขึ้นก็ยิ่งถาโถม ยิ่งดึงดูดสายตามากขึ้น

ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ลั่งเชียนเหิงกำราบคู่ต่อสู้ทั้งปวงอย่างไร้เทียมทาน ศึกเล็กศึกใหญ่ทั้งสามสิบเจ็ดครั้งไม่มีสถิติแพ้เลย แข็งแกร่งจนน่ากลัว และยังบ้าระห่ำจองหองจนทุกคนหมดคำพูด

แม้แต่หลินสวินยังไม่มีทางไม่สังเกตเห็น เพราะทุกเมืองที่เขาเดินทางผ่าน แทบจะวิพากษ์วิจารณ์และวิเคราะห์สถิติการต่อสู้ของลั่งเชียนเหิงทั้งนั้น

กล่าวอย่างไม่เกินเลยได้ว่าทั้งดินแดนรกร้างโบราณไม่มีทางสงบได้ ผู้ฝึกปราณมากมายต่างรู้สึกอับอายจนไม่อาจเชิดหน้าได้

หลังศัตรูจากภายนอกคนหนึ่งมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ กลับไม่มีใครต้านทานได้ ปล่อยให้เอาชนะบุคคลขอบเขตมกุฎมากมาย นี่ทำให้ทุกคนกระทบกระเทือนใจ

กระทั่งสัตว์ประหลาดเฒ่าบางคนยังเริ่มทุกข์ใจ เพราะการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนกำลังจะมาถึง เพียงแค่ลั่งเชียนเหิงคนเดียวยังแข็งแกร่งปานนี้ เช่นนั้นหากบุคคลแห่งยุคจากแปดดินแดนอื่นต่างปรากฏตัวด้วยกัน ผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณเหล่านี้จะไปเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างไร

“แย่แล้ว ขนาดเยี่ยนจั่นชิวที่มีศักยภาพระดับอมตะเคราะด่านเก้าในขอบเขตมกุฎจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณยังแพ้เลย!”

ตอนข่าวนี้แพร่ออกมา หลินสวินเพิ่งมาถึงเมืองพันกระแสในเขตแคว้นจันทราม่วงของแดนชัยบูรพา

ทันทีที่เข้าไปในเมืองก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายตามทาง

คราวนี้ในที่สุดหลินสวินก็เริ่มมีความสนใจขึ้นเล็กน้อยแล้ว

เขารู้รากฐานพลังกับพรสวรรค์ของเยี่ยนจั่นชิวดี แม้กล่าวว่าไม่อาจเทียบได้กับบุคคลขอบเขตมกุฎอย่างเซ่าเฮ่า เทพธิดารั่วอู่ หยวนฝ่าเทียนหรือบุตรนรก แต่ก็ถือว่าเป็นบุคคลชั้นเลิศในขอบเขตมกุฎแล้ว

แต่เยี่ยนจั่นชิวกลับแพ้เช่นกัน หนำซ้ำยังแพ้ภายในสิบกระบวนท่า จากจุดนี้ก็อนุมานได้ว่าลั่งเชียนเหิงที่มาจากดินแดนโบราณมารโลหิตคนนี้ ก็คงเป็นบุคคลระดับยักษ์ใหญ่อหังการผู้หนึ่งในแง่การสำเร็จมกุฎมรรคา

ทว่า ก็เป็นเพียงความสนใจน้อยนิดเท่านั้น ความสามารถของลั่งเชียนเหิงยังไม่เพียงพอจะทำให้เขาหลินสวินกระหายจะไปทำความเข้าใจ

บนถนนพลุกพล่าน หลินสวินกำลังเดินเล่น เขาเคยมาเมืองพันกระแส งานชุมนุมพันกระแสตอนนั้นก็จัดขึ้นบนเขาพันกระแสในเมืองนี้

งานชุมนุมครั้งนั้นจัดขึ้นโดยหมีเหิงเจิน เชิญเหล่าผู้กล้ารุ่นเยาว์มาแลกเปลี่ยนถกมรรคร่วมกัน

เวลาผ่านไปหลายปี มาถึงเมืองนี้อีกครั้งหนึ่งก็ถือว่ากลับมาเที่ยวซ้ำที่เก่าแล้ว

“เอ๊ะ ที่นี่คึกคักจัง”

ตอนผ่านเขาพันกระแส หลินสวินก็เห็นว่าที่หน้าตีนเขามีเกี้ยวสมบัติงามหรูกับสัตว์พาหนะแข็งแรงเหนือธรรมดามากมายจอดอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าของต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา

บนเขามองเห็นว่ามีเงาร่างมากมายกำลังรวมตัวอยู่ตรงนั้น

พอเห็นหลินสวินหยุดยืนที่นี่ จู่ๆ หญิงสาวใบหน้างดงามที่อยู่หน้าเขาพันกระแสผู้หนึ่งก็เดินมาเอ่ยถามว่า

“คุณชาย ท่านก็มาร่วมงานชุมนุมพันกระแสหรือเจ้าคะ”

“งานชุมนุมพันกระแสหรือ”

หลินสวินอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปี ดันมีงานชุมนุมนี้จัดขึ้นที่เขาพันกระแสอีกครั้ง

หญิงสาวใบหน้างดงามเอ่ยว่า “คุณชาย งานชุมนุมคราวนี้มีผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎอี้เทียนหลินจาก ‘ลัทธิเทพต้นกำเนิด’ เป็นหัวเรือใหญ่จัดงาน สิ่งที่จะหารือกันเป็นเรื่องของลั่งเชียนเหิง ท่านไม่เคยได้ยินหรือ”

หลินสวินไม่เคยได้ยินจริงๆ ในดินแดนรกร้างโบราณตอนนี้ งานชุมนุมทำนองนี้พบเห็นได้ทั่วไปหมด เขาจะใส่ใจได้อย่างไร

——