มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1469

“ถึงแม้ตัวสำนึกวิญญาณของข้าจะเทียบทัดกับเทพฟ้า พลังโจมตีตัวสนึกหลังใช้เคล็ดวิชาแปรจิตเทพสามารถเทียบทัดกับเทพฟ้าช่วงปลาย แต่ทว่าข้ายังขาดพลังอมตะที่ใช้คุ้มกันวิญญาณ”

จากการประสบพบเจอกับโชคชะตาร้าย ๆ ในครั้งนี้ ทำให้หลัวซิวตระหนักรู้ถึงจุดที่ยังดีไม่พอของตนได้อย่างลึกซึ้ง เดิมที่เขาคิดว่าตัวเองสมบูรณ์แบบมาก ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลการฝึกตน ร่างเนื้อ ตัวสำนึกหรือกำลังรบ

หากเขามีพลังอมตะที่ต้านทานการโจมตีวิญญาณได้ เช่นนั้นการปะทะกันในตัวสำนึกวิญญาณในครั้งนี้ เขาไม่มีทางต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างยากลำบากเช่นนี้แน่นอน

ในขณะเดียวกัน หลังจากตัวสำนึกวิญญาณของเขาผ่านการขัดเกลาจากเหตุการณ์ครั้งนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเริ่มมีสัญญาณว่าจะบรรลุแล้ว

แคว็ก!

ราวกับการพันธนาการที่มองไม่เห็นถูกทลายไปยังไงอย่างนั้น จู่ ๆ พลังแห่งตัวสำนึกของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมา บรรลุถึงแดนเทพฟ้าขั้น 2

“เวิง!”

และตอนนี้ สายรุ้งรัศมีดาราหลายแสงก็ปรากฏอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา พลังออร่าที่แผ่กระจายออกมาบรรลุถึงเทพฟ้าขั้น 9 แล้ว

นี่คือพลังการโจมตีวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา ถึงแม้เขาจะบรรลุแล้ว และใช้เคล็ดวิชาแปรจิตเทพวิวัฒนาการกระบี่ตัวสำนึกออกมา แต่ทว่ามากสุดก็แค่สามารถเทียบทัดกับเทพฟ้าขั้น 7 ได้เท่านั้น

สองแดนเล็ก ๆ เหมือนจะดูไม่ห่างกันมากนัก แต่ในความเป็นจริงมันกลับแตกต่างราวฟ้ากับดิน

อย่างไรก็ตามครั้งนี้หลัวซิวกลับไม่ใช้เคล็ดวิชาแปรจิตเทพเพื่อมาต้านทานการโจมตี แต่เป็นการใช้หมื่นจักรวาลไร้รูปวิวัฒนาการสองระดับความเป็นตายออกมา ลองอนุมานพลังอมตะที่ใช้ในการต้านทานการโจมตีวิญญาณออกมาในระยะเวลาที่สั้นที่สุด

มีคลังสมบัติใหญ่อย่างวัฏสงสาร เขามีพลังอมตะและเคล็ดวิชาที่นับไม่ถ้วน สามารถเรียนรู้แก่นสารที่อยู่ภายในพลังอมตะและเคล็ดวิชาเหล่านั้น ผสานเข้ากับทัศนะและวิถียุทธ์ของตน การบุกเบิกพลังอมตะพลังหนึ่งขึ้นมานั้น ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา

เมื่อสายรุ้งรัศมีดาราพุ่งตรงมาถึงตรงหน้า ภายในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าหลัวซิวจะอนุมานต้นแบบพลังอมตะออกมาได้สำเร็จ

มีรูปร่างลักษณะคล้ายเตาลาง ๆ ปรากฏเหนือศีรษะเขา ภายใต้การพุ่งชนของสายรุ้งรัศมีดารา เตาใบนั้นก็ระเบิดแตกสลาย แต่ทว่ามันก็หักล้างพลังการโจมตีวิญญาณไปได้ไม่น้อยเช่นกัน

อั่ก!

ร่างเนื้อร่างแท้ที่อยู่โลกภายนอกกระอักเลือดเฮือกใหญ่ ถัดจากนั้นเสาหินที่ปรากฏอยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป

ความคิดของหลัวซิวย้อนกลับมายังร่างแท้ สีหน้าขาวซีด มีเสียงเสียงหนึ่งดังก้องอยู่ในพื้นที่ที่มืดครึ้ม

“ปณิธานวิญญาณบรรลุเงื่อนไข ผ่านด่าน!”

ณ วินาทีนี้ พื้นที่อันมืดครึ้มนี้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง มีหินศิลาจารึกขนาดใหญ่ผุดขึ้นมา

หินศิลาจารึกดังกล่าวดูโบราณและเรียบง่าย ด้านบนมีสัญลักษณ์ของแสงดาวกระพริบระยิบระยับ สัญลักษณ์ระยิบระยับดุจดวงดาว ราวกับมีความเร้นลับของธรรมะที่ไร้ขอบเขตซ่อนอยู่ยังไงอย่างนั้น

เงาร่างของชายหนุ่มชุดคลุมยาวดาราปรากฏบนจุดสูงสุดของหินศิลาจารึกอีกครั้ง มองหลัวซิวลงมาจากที่สูงพลางพูดอย่างเรียบนิ่ง: “ปัญญา ปณิธานวิญญาณของเจ้าล้วนผ่านด่านหมดแล้ว สิ่งที่บททดสอบในด่านนี้คือความสามารถในการตระหนักรู้ ภายในระยะเวลาสามวัน หากเจ้าสามารถฝึกพลังอมตะที่ซ่อนอยู่บนหินศิลาจารึกได้ ก็จะถือว่าเจ้าผ่านด่าน”

เหมือนดั่งครั้งก่อน ๆ หลังจากพูดจบชายหนุ่มชุดคลุมยาวดาราก็หายวับไป

สายตาของหลัวซิวร่วงลงบนสัญลักษณ์ที่อยู่บนหินศิลาจารึก เขามีความมั่นใจในด้านความสามารถในการตระหนักรู้ของตัวเองมาก ๆ

พรสวรรค์ ปัญญา ความสามารถในการตระหนักรู้ เป็นมาตรฐานที่ใช้วัดอัจฉริยะคนหนึ่ง หลัวซิวทราบอยู่ว่าด้านที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองก็คือความสามารถในการตระหนักรู้ เมื่อเปรียบเทียบกับพรสวรรค์และปัญญาแล้ว ความสามารถในการตระหนักรู้ของเขาจะโดดเด่นมาก

โดยเฉพาะหลังจากที่มีการอนุมานหมื่นจักรวาลไร้รูป เขาสามารถตระหนักรู้ในพลังอมตะและเคล็ดวิชาต่าง ๆ ดูดซับแก่นสารที่อยู่ในพลังอมตะและเคล็ดวิชาได้เป็นจำนวนมาก ความสามารถในการตระหนักรู้ของเขาพุ่งพรวด ถึงขั้นไม่สามารถใช้คำว่าเก่งกาจดุจปีศาจมาเปรียบเทียบได้แล้ว

ผลการฝึกตนของเขาเป็นเพียงเทพมาร แดนกฎก็อยู่ในระดับเทพฟ้าเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับสามารถสร้างมหาอิทธิฤทธิ์ที่เทียบทัดระดับราชาเทพออกมาได้!

สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หนึ่งในสัญลักษณ์บนหินศิลาจารึก จู่ ๆ จิตสำนึกของหลัวซิวก็ตกเข้าไปในห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง

“เคล็ดแสงดาวเทียนเต้า?”

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันกว่า หลัวซิวก็ดึงสายตากลับมากะทันหันพลางพูดพึมพำ

เขาค้นพบวรยุทธ์หนึ่งจากสัญลักษณ์ที่ดุจดวงดาวบนหินศิลาจารึก ซึ่งมีนามว่าเคล็ดแสงดาวเทียนเต้า