มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1468

ไม่ให้โอกาสหลัวซิวได้สอบถาม หลังจากชายหนุ่มชุดคลุมยาวดาราพูดจบแล้ว เงาร่างของเขาก็หายวับไปในทันที ถัดจากนั้นพื้นที่อันมืดครึ้มก็สั่นเทิ้มขึ้นมา

มีเสาหินขนาดใหญ่ปรากฏ ตัวเสาหินล้อมอยู่รอบกายหลัวซิวตามลำดับ ล้อมเขาไว้ตรงกลาง

ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ก็มีแสงเรืองที่แวววาวจับตาเปล่งประกายขึ้นมาบนเสาหินเหล่านี้ หลัวซิวจ้องเขม็งไป พบว่าบนเสาหินมีสัญลักษณ์สักอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งความหมายของสัญลักษณ์ที่อยู่ด้านบนนั้นลึกซึ้งมากจนยากที่จะเข้าใจได้

และในตอนนี้เอง ก็มีอำนาจวิญญาณที่มีพลังมากมายมหาศาลพรั่งพรูออกมา บีบรัดมาทางหลัวซิว

ในขณะเดียวกัน ก็มีเงาวิญญาณหลายร่างปรากฏอยู่ในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว พวกมันต่างกระโจนเข้าไปทางศูนย์กลางตัวหยั่งรู้ของเขา ราวกับจะกลืนกินวิญญาณดั้งเดิมและยึดครองกายาของเขายังไงอย่างนั้น

“ทลายซะ!”

หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น เงาร่างที่เหมือนดั่งเขาทุกประการเดินออกมาจากส่วนลึกตัวหยั่งรู้ ส่วนตรงกลางระหว่างคิ้วนั้นคือช่องจิตที่ดุจร่องรอยตรากฎ

เขาเหมือนดั่งผู้ชี้ขาดที่สูงส่งในโลกานี้ เสี้ยววินาทีที่นึกคิด ตัวสำนึกดุจกระบี่ กวาดล้างเงาวิญญาณทั้งหมดที่พุ่งเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของเขา

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง มุมปากของหลัวซิวก็มีเลือดไหลออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาด้วยร่างกายสั่นเทา

ในระหว่างนั้น เขาต้านทานการโจมตีทางวิญญาณไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ความแรงในการโจมตียิ่งอยู่ยิ่งแรงขึ้น จากระดับเทพมารที่สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดายในตอนแรก หลัง ๆ ก็เริ่มเพิ่มขึ้นสูงถึงระดับเทพฟ้า

ใช่ว่าตัวสำนึกวิญญาณของเขาจะมีมากมายอย่างไร้ขอบเขตเสมอไป จากการที่สูญเสียตัวสำนึกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความยากในการต้านทานแรงโจมตียิ่งอยู่ยิ่งเพิ่มขึ้น

ซึ่งแตกต่างจากบททดสอบด้านปัญญาในสามด่านแรก ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่ด่านนี้ทดสอบจะเป็นความแข็งแกร่งด้านวิญญาณและพลังแห่งปณิธาน

บัดนี้ในตัวหยั่งรู้ของเขามีกระบี่ศุภรดาราปรากฏทั้งหมด 12 เล่ม เขาโคจรพลังแปรเสวียนเทียนและแปรจิตเทพมาต้านทานแรงโจมตี อ้าปากแล้วกระอักเลือดออกมา สีหน้าท่าทางดูย่ำแย่มาก

เวลาผ่านพ้นไปอย่างไม่หยุดหย่อน ก็ไม่รู้เช่นกันว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เขารู้สึกว่ามันใกล้จะเข้าใกล้ขีดจำกัดของเขาแล้ว

ฟึ่บ!

พลังการโจมตีตัวสำนึกกลายกระบี่ของเขาเพิ่มขึ้นด้วยพลังแปรเสวียนเทียน ทำลายกระบี่ศุภรดาราแรกไปได้

แต่วินาทีนี้เอง กระบี่ศุภรดาราที่เหลือทั้ง 11 เล่มก็พุ่งตรงเข้ามา ลูกแก้วความเป็นตายที่รวมเข้ากับวิญญาณดั้งเดิมไม่ได้ออกมาต้านทานแรงโจมตีอัตโนมัติ เขาจึงต้านทานการโจมตีทั้งหมดเอาไว้คนเดียว

หลังจากที่ผ่านไปหลายชั่วโมง กระบี่ศุภรดาราทั้ง 12 ก็เหลือเพียงเล่มสุดท้ายแล้ว อีกทั้งรังสีของมันหม่นหมอง ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาสังหารเขาเร็วปานฟ้าแลบ

ร่างกายของเขาอาบเต็มไปด้วยเลือด ตัวสำนึกวิญญาณที่อยู่ภายในตัวหยั่งรู้ตัดสลับกันไปมา ซึ่งอันตรายอย่างมาก

“ทลาย!”

เขาตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว พลังแห่งตัวสำนึกกลายเป็นแสงกระบี่ กระบี่ศุภรดาราสุดท้ายถูกโจมตีจนพังทลาย

อย่างไรก็ตามทั้งหมดทั้งมวลนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ถัดจากนั้นก็มีกระบี่ศุภรดารา 12 เล่มปรากฏอยู่ในตัวหยั่งรู้ของเขา พุ่งตรงเข้ามาเฉือนฟันวิญญาณดั้งเดิมของเขาโดยตรง

หลัวซิวสูดหายใจเข้าลึก ๆ การที่เขาต้านทานกระบี่ศุภรดาราทั้ง 12 เล่มไปได้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ๆ แล้ว วินาทีนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีก 12 เล่ม เขารู้สึกว่าใช่ว่าตัวเองจะสามารถต้านทานมันได้เสมอไป

อย่างไรก็ตามปณิธานของเขากลับแน่วแน่มาก ไม่ท้อถอยเลยแม้แต่น้อย โคจรวิชาแปรจิตเทพให้ถึงขีดสุด เพื่อปะทะกับกระบี่ศุภรดาราทั้ง 12 เล่มโดยตรง

ทุกครั้งที่เขาถูกกระบี่ศุภรดาราโจมตี ร่างเนื้อร่างแท้ของเขาก็จะกระอักเลือดเฮือกใหญ่ และเขาก็จะใช้โอกาสนี้ทุ่มสุดกำลังสามารถ ทำลายหนึ่งในกระบี่ศุภรดาราทิ้งเช่นกัน

วิธีการต่อสู้เช่นนี้แทบจะเป็นการสู้สุดชีวิต จนกระทั่งหลังผ่านไปอีกสามชั่วโมง หลัวซิวก็รู้สึกปวดหัวมากจนหัวใกล้จะระเบิด สูญเสียตัวสำนึกไปเป็นจำนวนมาก ตัวหยั่งรู้เริ่มมีท่าทีที่จะแตกกระจาย

ท้ายที่สุดก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แต่กลับยังมีกระบี่ศุภรดาราสามเล่มฟาดฟันเข้ามา ทันทีที่ถูกโจมตี เขารู้สึกว่าวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองต้องพินาศย่อยยับไปพร้อมกับการโจมตีนี้อย่างแน่นอน

“เวิง!”

มีเงาลวงวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพปรากฏด้านหลังเขา เมื่อใกล้จะถึงขีดจำกัดของเขา เสี้ยววินาทีที่ชีวิตถูกคุกคาม ลูกแก้วความเป็นตายก็จะออกโรงคุ้มกันเจ้านาย

กระบี่ศุภรดาราทั้งสามเล่มถูกวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกลืนกิน พลังวิญญาณที่บริสุทธิ์พลังหนึ่งถูกสกัดออกมาจากกระบี่ศุภรดารา จากนั้นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไหลเข้ามาในวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ และผสมเข้าไปในวิญญาณดั้งเดิมของหลัวซิว ทำให้พลังแห่งตัวสำนึกของเขาที่แทบจะแห้งเหือดแล้ว ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว