เห็นต้วนหลิงเทียนยกเกราะเถาวัลย์แก้วขึ้นมา ซุนเหลียงเผิงก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม
“ดูเหมือน…นี่จะเป็นเกราะอมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากจอมราชันอมตะมาแล้วสินะ”
เมื่อตระหนักได้ว่าเกราะที่หยิบยกขึ้นมาเป็นอะไร ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มเย้ยหยันที่มุมปาก “ถึงกับใช้เกราะตัวนี้จ่ายค่าจ้างนักฆ่ากะโหลกเลือด นับว่าให้ราคาชีวิตข้าสูงจริงๆ”
“ประมุข…ตอนนี้ท่านคงไม่ตีเนียนทำเป็นไม่รู้จักเกราะอมตะตัวนี้หรอกนะ?”
ต้วนหลิงเทียนจ้องตาซุนเหลียงเผิงเขม็งพลางถาม
“เกราะอมตะระดับราชาตัวนี้ เป็นของ ‘หวังเชียนจ้าน’ ผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่เรา…แน่นอนว่าข้ารู้แค่เพียงว่านี่เคยเป็นเกราะของมันเท่านั้น แต่มันจะมอบให้ใครไปในภายหลังก็สุดที่ข้าจะทราบได้”
ซุนเหลียงเผิงกล่าว
“อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้าน?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้ว “หากข้าจำไม่ผิด…ก่อนหน้าท่านประมุขบอกว่า ศิษย์คนหนึ่งที่หวังตำแหน่งศิษย์ที่แท้จริง ‘หวังหง’ เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ใช่ไหม?”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด…เกราะอมตะระดับราชาตัวนี้สมควรเป็นหวังเชียนจ้านมอบให้หวังหงกระมัง?จากนั้นนางก็นำไปจ่ายเป็นฆ่าจ้างนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดให้มากำจัดข้า?”
“เพราะสุดท้ายแล้วหากระดับอาวุโสใหญ่คิดฆ่าข้าจริง ก็คงไม่จำเป็นต้องยืมมือใคร…ไหนเลยต้องลำบากลำบนจ้างนักฆ่าให้วุ่นวาย?”
ต้วนหลิงเทียนมองซุนเหลียงเผิงพลางเอ่ยข้อสันนิษฐานออกมาทีละประโยค
“ย่อมมิใช่ฝีมืออาวุโสใหญ่แน่นอน!”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ก็มิน่าจะเป็นหวังหงไปได้…เพราะหากหวังหงคิดจะฆ่าเจ้าจริง นางเพียงเอ่ยปากให้อาวุโสใหญ่ลงมือก็ได้ ไฉนต้องลำบากลำบนไปติดต่อองค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดเพื่อจ้างนักฆ่าด้วย?”
“เช่นนั้น…เจ้าตามข้าไปพบอาวุโสใหญ่เถอะ ข้าจักไปถามว่าเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ ที่แท้มันเคยให้ใครไป!”
ซุนเหลียงเผิงกล่าวชวนต้วนหลิงเทียนจบ ก็เริ่มเหินร่างนำต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่พักอาศัของอาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ทันที
แน่นอนว่าก่อนจะออกเดินทางไปกับซุนเหลียงเผิง ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเก็บเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วรวมถึงของที่เทกระจาดออกมาไปไว้ในแหวนพื้นที่เขา
เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดที่กองอยู่เมื่อครู่ ก็คือสินสงครามที่เขาได้มาจากนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกเลือด แน่นอนว่าไม่อาจทิ้งไว้เฉยๆได้
ไม่ต้องกล่าวใดให้มาก นอกจากเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วที่เป็นเบาะแสชิ้นสำคัญแล้ว ยังมีอุปกรณ์อมตะทั้งสมบัติมากมายที่นักฆ่าจากองค์กรกะโหลกเลือดเก็บสะสมไว้ด้วย
เรียกว่าเอาแค่อุปกรณ์อมตะระดับราชาก็มีนับสิบๆแล้ว
…
ผู้อาวุโสใหญ่นิกายอมตะเป้าผู่ หวังเชียนจ้าน นั้น ใครได้ฟังชื่อก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงร่างสูงใหญ่กำยำดั่งแม่ทัพดุดัน
(เชียนจ้าน = พันสงคราม)
อย่างไรก็ตาม ตัวจริงหวังเชียนจ้านนั้น กลับผอมเหลือเกิน และหากผอมกว่านี้ไม่พ้นต้องถูกผู้คนเรียกลำไผ่แล้ว
อย่างน้อยๆตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงนิกายอมตะเป้าผู่ เขาก็ไม่เคยเห็นใครผ่ายผอมกว่าหวังเชียนจ้านเลย นอกจากนักฆ่ากะโหลกเลือดที่เขาฆ่าทิ้งไป
“ประมุข”
ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายอมตะเป้าผู่ เมื่อพบเห็นประมุขนิกายมาเยือน มันก็เร่งประสานมือโค้งคารวะทันที
ขณะเดียวกันสำนึกเทวะของมันก็แผ่ออกมาตรวจสอบชายหนุ่มชุดม่วงที่ติดตามอยู่ข้างกายซุนเหลียงเผิง
“อาวุโสใหญ่”
ซุนเหลียงเผิงส่งยิ้มให้หวังเชียนจ้างพลางกล่าวทักทาย จากนั้นก็ผายมือแนะนำต้วนหลิงเทียนให้อีกฝ่ายรู้จัก “นี่คือต้วนหลิงเทียน ผู้อาวุโสใหญ่คงเคยได้ยินเรื่องเขามาแล้วกระมัง”
“ข้าย่อมเคยได้ยินเป็นธรรมชาติ…ด้วยความสำเร็จในวัยเพียงเท่านี้ นับเป็นอัจฉริยะที่ร้ายกาจอันยากจะพบพานในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวนัก นับเป็นพรของนิกายอมตะเป้าผู่เราจริงๆที่ตัวตนเช่นนี้เลือกจะเข้าร่วมเป็นศิษย์!”
หวังเชียนจ้านกล่าว ขณะเดียวกันก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
“อาวุโสใหญ่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักอาวุโสใหญ่ จากนั้นก็สะบัดมือเรียกเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วออกมาทันที รัศมีแสงสีเขียวนวลตาเริ่มเรืองสว่างออกมา
การกระทำดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนกระทั่งซุนเหลียงเผิงยังอึ้งไปด้วยไม่คิดคาดอยู่บ้าง
“เกราะอมตะเถาวัลย์แก้ว!?”
แทบจะเป็นวินาทีเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเรียกเกราะออกมา หวังเชียนจ้านก็โพล่งอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าท่าทีงุนงง “ต้วนหลิงเทียน ไฉนเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วถึงมาอยู่กับเจ้าได้เล่า!?”
“ข้าจำได้ว่า…เมื่อ 3 ปีก่อน ตอนข้าออกไปทำธุระด้านนอก ข้าได้ใช้มันเพื่อแลกกับวัตถุดิบหายากบางอย่างเพื่อนำมาสร้างยันต์อมตะไปแล้วนี่นา…”
หวังเชียนจ้านกล่าว
ตั้งแต่วินาทีที่ต้วนหลิงเทียนสะบัดมือเรียกเกราะเถาวัลย์แก้วออกมา เขาก็จับตาดูความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอารมณ์ของหวังเชียนจ้านไม่วางตา
ทว่าเขากลับไม่พบพิรุธใดๆเลย
หวังเชียนจ้านดูเหมือนจะประหลาดใจจริงๆ ที่เห็นเขานำเกราะตัวนี้ออกมาได้
“อาวุโสใหญ่…ท่านแน่ใจหรือว่าเมื่อ 3 ปีก่อน ท่านได้นำเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ไปแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับผู้อื่น?”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยถาม
ได้ยินคำถามของซุนเหลียงเผิง หวังเชียนจ้านก็พยักหน้ารับเร็วไว “มิผิด ข้าจำได้แม่น ตอนนั้นข้าใช้มันเพื่อแลกกับวัตถุดิบเลิศล้ำสำหรับสร้างยันต์อมตะระดับราชานับสิบๆชนิด”
“ต้วนหลิงเทียน หรือเจ้ารู้จักผู้ฝึกตนที่ข้าเคยแลกเปลี่ยนวัตถุดิบด้วยคนนั้น?”
หวังเชียนจ้านหันไปมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ นับเจ้ามีวาสนาต้องกันกับข้าไม่น้อยเลย”
“อาวุโสใหญ่…ท่านมีหลักฐานใดพิสูจน์หรือไม่ ว่าเกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ เป็นตัวเดียวกันกับที่ท่านใช้แลกเปลี่ยนวัตถุดิบไปเมื่อ 3 ปีก่อน?”
ต้วนหลิงเทียนมองหวังเชียนจ้านด้วยสีหน้าท่าทีสงบ เอ่ยถามออกด้วยน้ำเสียงรางเรียบ ไม่หยิ่งหรือนอบน้อมอะไร
“หลักฐานหรือ?”
หวังเชียนจ้านขมวดคิ้ว “ข้าไม่มีหรอก…แต่ข้ามั่นใจว่าเกราะอมตะในมือเจ้า เป็นเกราะอมตะที่ข้าเคยมีในอดีตแน่นอน เพราะไม่ว่าจะกลิ่นอายหรือลักษณะมันเหมือนกันทุกประการ”
เกราะอมตะระดับราชานั้น ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แม้จะพบเจอเกราะอมตะที่มีลักษณะคล้ายๆกันอยู่บ้าง แต่หากสังเกตให้ละเอียดแล้ว เกราะอมตะทุกตัว ไม่เว้นอุปกรณ์อมตะระดับราชาใดๆ ย่อมมีกลิ่นอายเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน
‘หวังเชียนจ้านนี่มันไม่ได้โกหกจริงๆงั้นเหรอ?’
ต้วนหลิงเทียนที่ไม่พบพิรุธหรือเบาะแสใดๆในสีหน้าท่าที ไม่เว้นแววตาของหวังเชียนจ้านเลย อดไม่ได้ที่จะลอบคิดในใจ ‘หรือ…ระหว่างเดินทางมาที่นี่ประมุขได้ลอบแจ้งเรื่องราวแก่หวังเชียนจ้านผ่านยันต์อมตะสื่อสารทางวิญญาณไปแล้ว ให้หวังเชียนจ้านนี่มันเตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า?’
หากซุนเหลียงเผิงลอบให้ความร่วมมือกับหวังเชียนจ้านจริงๆ เขาก็ถูกลิขิตให้ไม่อาจพบเจอผู้ที่จ้างนักฆ่าองค์กรกะโหลกเลือดให้มาฆ่าเขา โดยใช้เกราะอมตะตัวนี้เป็นหลักฐานได้แน่นอน
“ผู้อาวุโสใหญ่!”
ตอนนี้เองซุนเหลียงเผิงก็ชักสีหน้าเคร่งขรรึม กล่าวเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
ในบรรดาเรื่องราวที่เล่า ยังจงใจเน้นย้ำเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนพบเกราะอมตะตัวนี้จากแหวนพื้นที่ของนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือด!
“อันใด!?”
“อะ…องค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดหรือ!?”
“เกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้อยู่ในแหวนมัน!?”
…
พอซุนเหลียงเผิงเล่าถึงจุดนี้ สีหน้าของหวังเชียนจ้านก็ฉายความตกใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนมันไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยจริงๆ
‘หากทั้งหมดเป็นหวังเชียนจ้านนี่กำลังเสแสร้งหลอกลวงข้าอยู่…นับว่าทักษะการแสดงของมัน หากเป็นในโลกเก่าคงเหมารางวัลตุ๊กตาทองได้ทุกสาขาแล้วจริงๆ’
ต้วนหลิงเทียนที่จับตาดูหวังเชียนจ้านเงียบๆ ลอบกล่าวในใจ
“เช่นนั้นหมายความว่า เกราะอมตะเถาวัลย์แก้วตัวนี้ นักฆ่าอาจได้รับมาจากผู้ฝึกตนที่ทำการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับท่านเมื่อ 3 ปีก่อนสินะ?”
ซุนเหลียงเผิงเอ่ยคาดเดา
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
หวังเชียนจ้านพยักหน้าเบาๆ จากนั้นหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ต้วนหลิงเทียน ทีหลังหากเกิดเรื่องเช่นนี้เจ้าสมควรหารือกับท่านประมุขก่อน แม้เจ้าจักกังวลเรื่องที่นักฆ่าอาจจับตัวสหายเจ้าไปจริงแต่ก็มิจำเป็นต้องวู่วามแบบนี้”
“อีกทั้งหากเจ้ากลัวว่าความเคลื่อนไหวใดๆของประมุขหรือคนในนิกายอาจจะถูกนักฆ่าล่วงรู้…เพียงท่านประมุขติดต่อไปยังผู้อาวุโสนิกายอมตะเป้าผู่เราที่ไปทำธุระด้านนอกให้มาช่วยเจ้าก็จบแล้ว”
“เจ้ามิจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองนั่นให้เสียเปล่าเลย…ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นนักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรกะโหลกเลือด ก็ยังมิคู่ควร…”
วาจาที่หวังเชียนจ้านกล่าวออกมา มันชักสีหน้าเป็นกังวลทั้งเสียดายแทนออกมาอย่างไร้พิรุธ เสมือนมันเสียดายที่ต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองไปเพราะสาเหตุนั้นจริงๆ
และตอนที่ซุนเหลียงเผิงเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมา ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ หวังหง หลานสาวของอีกฝ่ายได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยไปแล้วแม้แต่น้อย
ทำให้หวังเชียนจ้านเองก็ไม่ได้เผยท่าทีผิดแปลกอะไรออกมา
‘ดูเหมือนการมาครั้งนี้จะไม่ได้เรื่องอะไร….’
พอเห็นเรื่องราวดำเนินไปในลักษณะดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวลาซุนเหลียงเผิงกับหวังเชียนจ้าน ก่อนจะเหินกลับไปยังลานบนเกาะส่วนตัวเพียงลำพัง ทีท่ายังแลดูเฉยเมยไร้แสนัก
ไม่ว่าหวังเชียนจ้านจะพูดความจริงหรือเล่าความเท็จ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีหลักฐานใดๆมาบ่งชี้ว่าเกราะอมตะตัวนี้เป็นสิ่งที่หวังหงมอบให้นักฆ่าเป็นค่ามัดจำจริงๆ
‘อย่างไรก็ตาม วันหน้าอย่าให้ข้ารู้แล้วกันว่าเป็นเจ้ามอบเกราะนี่ให้หลานสาวตัวดีของเจ้า แล้วนางเอาไปจ่ายเป็นค่ามัดจำให้นักฆ่า…ถึงตอนนั้นอย่าหวังว่าหลานสาวเจ้ากับข้าจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันได้!’
พอกลับมาถึงลานส่วนตัว สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววอำมหิตนัก จิตสังหารยังแผ่ซ่านออกมาหนาแน่น จนบรรยากาศในห้องหับกลับกลายเป็นเยียบเย็นไม่น้อย ทำราวกับจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คนเป็นๆ!
คราวนี้หากไม่ใช่เพราะเขามีอุปกรณ์อมตะระดับจอมราชันประเภทสิ้นเปลือง เขาก็ไม่พ้นต้องตายกลายเป็นผีคามือนักฆ่าขององค์กรกะโหลกเลือดไปแล้ว
ดังนั้นเขาย่อมอยากลากคอผู้จ้างวานออกมาสำเร็จโทษ!
และตอนนี้เขาก็เพ่งเล็งหวังหง หลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ไว้เป็นพิเศษ หากมีหลักฐานอะไรล่ะก็เขาไม่คิดเลิกราแน่!
อีกด้านหนึ่ง
หลังต้วนหลิงเทียนจากไปไม่นานนัก ซุนเหลียงเผิงเองก็อำลาหวังเชียนจ้านและเหินกลับที่พักของตัวเองเช่นกัน
และเมื่อทุกคนกลับไปหมดแล้ว สีหน้าหวังเชียนจ้านก็เปลี่ยนไปทันที ยังเร่งส่งข้อความไปแจ้งหวังหงหลานสาวของมัน เพื่อให้นางรับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่มันได้ฟังมาจากซุนเหลียงเผิงทันที
ด้านหวังหงพอได้รับทราบเรื่องราวที่ปู่ส่งมา นางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอึ้งค้างไปพักใหญ่
“นักฆ่าขอบเขตราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิดขององค์กรมือสังหารกะโหลกเลือดนั่น…ที่แท้กลับตกตายด้วยน้ำมือตัวต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ!?”
“มันถึงกับมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลือง!?”
หวังหงจำต้องตะลึงอึ้งค้างไปแล้วจริงๆ
เพราะผลลัพธ์ดังกล่าว กระทั่งหลับนางยังไม่อาจฝันถึงด้วยซ้ำ
และพอหวังหงนำเรื่องทั้งหมดไปเล่าให้เจิ้งหงอี้ฟัง ตัวเจิ้งหงอี้เองก็ถึงกับสติล่องลอยไปพักใหญ่ “เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น…มันกลับมีอุปกรณ์อมตะจอมราชันสิ้นเปลืองติดตัวจริงๆ? หมายความว่ามันถือครองพลังขอบเขตจอมราชันอมตะงั้นสิ!?”
เช่นเดียวกับหวังหง เจิ้งหงอี้เองก็สุดที่จะคาดคิดได้ออกจริงๆ
ว่านักฆ่าของกะโหลกเลือดนั่น ที่แท้ก็ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย!