บทที่ 705.5 เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หลิวเสี้ยนหยางแทะเมล็ดแตงต่ออีกครั้ง ค้อมเอวมองไปยังทิศไกล “หากไม่มีรายงานขุนเขาสายน้ำฉบับนั้น ข้าก็คงไปหาเรื่องที่ภูเขาตะวันเที่ยงจริงๆ แล้ว แต่ในเมื่อผิงอันน้อยยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนละเรื่องกันแล้ว ไว้รอเขากลับมาแล้วไปพร้อมกันดีกว่า เขาไม่มีคุณธรรม แต่ข้ามีนี่นา”

หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “สำรองอันดับสิบคนมีหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาด้วย”

หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้า “พี่ปันไฉผู้น่าสงสาร อยู่กับเจ้าโง่หม่าทุกวันจะต้องสะอิดสะเอียนแทบแย่แล้วแน่ๆ”

หมี่อวี้ถามอย่างสงสัย “ปันไฉ? ใคร?”

หลิวเสี้ยนหยางอธิบาย “ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงนั่นอย่างไรล่ะ หรือก็คือซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองในทุกวันนี้”

หมี่อวี้ไม่ถามอะไรมากอีก เรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับใต้เท้าอิ่นกวานพวกนี้ หมี่อวี้ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร

หลิวเสี้ยนหยางแทะเมล็ดแตงหมดแล้วก็เอาสองมือสอดรองกันไว้ใต้ท้ายทอย กล่าวอย่างระอาใจว่า “นายท่านใหญ่หลิวไม่ได้เรื่องเลย อย่าว่าแต่ไม่มีชื่อติดกระดานทั้งสองฉบับ แม้แต่คนรุ่นเยาว์สิบคนของแจกันสมบัติทวีปที่อุตรกุรุทวีปคัดเลือกมาก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีข้า หรือสาเหตุจะเป็นเพราะว่าข้าหาเมียไม่ได้กันนะ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลเลยที่ข้าจะด้อยกว่าผิงอันน้อย”

หมี่อวี้ฟังแล้วก็แค่ปล่อยผ่านไป

ไม่อย่างนั้นบนภูเขาลั่วพั่วบ้านตน แล้วยังมีอำเภอไหวหวงที่เล็กเท่าฝ่ามือแห่งนี้ ก็ง่ายนักที่จะทำให้คนต่างถิ่นสมองเลอะเลือน คิดอะไรไม่ค่อยออก

เรื่องที่หมี่อวี้สนใจ แน่นอนว่าต้องเป็นการจัดอันดับสองฉบับนั้น

สำรองสิบคนที่เพิ่งออกจากเตามาสดๆ ร้อนๆ ก็ไม่มีการเรียงลำดับก่อนหลังอยู่เหมือนเดิม

นอกจากหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่แล้ว

ยังมีลูกศิษย์คนแรกของหลิวชาปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่าง จู๋เชี่ย

อารามเสวียนตูใหญ่แห่งใต้หล้ามืดสลัวมีนักพรตหญิงคนหนึ่งของสายเซียนกระบี่

ภิกษุรูปหนึ่งของวัดโส่วซิน

สู่จ้งสู่นักพรตพรรคมหายันต์ที่เดินทางไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า บุตรชายโทนของประมุขแห่งถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ของหลิวเสียทวีป

ยามที่เขาถือกำเนิดได้เกิดภาพปรากฎการณ์อันเป็นมงคล เป็นค่ำคืนของวันไหว้พระจันทร์พอดี ดอกบัวขาวในสระไท่เย่แตกกิ่งก้านผลิบาน มีเทพหญิงโอบอุ้มหลิงจือหยกขาวมาประทานพรด้วยการเจิมหน้าผากให้เขาด้วยตัวเอง

ไม่เพียงเท่านี้ยังได้มอบบุปผาไขปริศนาคำให้หนึ่งดอก พวกมันทยอยกันผลิกลีบหกกลีบ แต่ละกลีบมีตัวอักษรหนึ่งคำ ถ้อยคำกลมกลืนเป็นธรรมชาติคงอยู่ยาวนานได้หมื่นปี และกำลังจะผลิกลีบที่เจ็ด คาดว่าคงจะเป็นตัวอักษร ‘ใหม่’ อีกตัว

ฉุนชิงเด็กสาวจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของฮูหยินภูเขาชิงเสิน เชี่ยวชาญการหลอมโอสถ เขียนยันต์ เวทกระบี่ เคล็ดลับการเรียนวรยุทธ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนเป็นทั้งหมด

เด็กสาวเองก็เป็นเพียงคนเดียวในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนและสำรองอันดับสิบคนที่มีการบรรยายอายุอย่างละเอียดไปจนถึงวันเดือนปีเกิด

เพิ่งจะอายุสิบสี่ปี

นักพรตหวังหยวนลู่ สายของโจรข้าวสารที่ไม่ได้รับการยอมรับจากป๋ายอวี้จิงแห่งใต้หล้ามืดสลัว

คนหนุ่มคนหนึ่งนามว่าสวี่ป๋ายจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

ถือกำเนิดในแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสถานที่แห่งหนึ่งคือสะพานขอพรในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด คนเฝ้าสะพานแซ่สวี่ มีบุตรชายคนหนึ่ง เด็กหนุ่มรูปโฉมโดดเด่นดุจเจ๋อเซียนเหริน จึงเป็นเหตุให้ได้รับฉายาว่าสวี่เซียน

ว่ากันว่าตอนที่สวี่ป๋ายยังเป็นเด็ก ยามอ่านหนังสือก็จะมีเทพและวิญญาณเซียนคอยช่วยจุดตะเกียงส่องแสงสว่างให้อยู่ด้านหลัง

ภายหลังไปพักค้างแรมบนสะพานเด็กหนุ่มฝันเห็นนักพรตเฒ่าถือไม้เท้าเดินมา แม้เรือนกายจะผ่ายผอม แต่กลับคล้ายจะมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา เด็กหนุ่มกึ่งหลับกึ่งตื่น พอแสงตะเกียงพลันสว่างจ้า คนก็อยู่บนทะเลเมฆปลาอยู่บนฟ้า

คนหนุ่มคนหนึ่งของหลิวเสียทวีปที่มีโชควาสนาลึกล้ำได้เอ่ยถ้อยคำประหลาดว่าเขาเป็นนักท่องฝัน

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งของสายคนจับมีดแห่งใต้หล้ามืดสลัว อายุเกือบห้าสิบปี เป็นคอขวดขอบเขตยอดเขา

นอกจากนี้สำรองสิบคนก็มีคนที่อยู่อันดับที่สิบเอ็ดเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้มีอิ่นกวาน จึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘อันดับที่สิบเอ็ด’ ดังนั้นคนผู้นี้จึงมือฉายาว่า ‘ยี่สิบสอง’

ชีวิตที่ไม่ถือว่ายาวนานของคนผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นนิยายเรื่องเล่ามหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยความพิลึกพิลั่นอย่างถึงที่สุด แรกเริ่มสุดคุณสมบัติของเขาพอใช้ได้ จึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อฝ่ายนอกของสำนักแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกผู้คนรอบข้างดูแคลน ต้องประสบพบเจอกับอุปสรรคมากมาย แล้วยังเคยเจ็บปวดกับความรัก จากนั้นมีครั้งหนึ่งระหว่างที่ลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ เพื่อช่วยคนอื่นที่ประสบภัย ตัวเองกลับโชคร้ายเจอหายนะเสียเอง สุดท้ายกลายเป็นเหมือนผีที่ตายไปครึ่งหนึ่ง

เมื่อเขาได้พบเจอกับแสงสว่างอีกครั้ง ในมือก็ได้ครอบครองถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่ง

อายุน้อยๆ ก็กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักแห่งหนึ่ง สร้างสำนักขึ้นมาใหม่อย่างเข้มงวด ในสำนักมีบรรพจารย์อยู่กลุ่มใหญ่ แต่กลับสามารถสยบผู้คนมากมายได้

เล่าลือกันว่าเคยไปมาหาสู่กับหย่าเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อที่ไปท่องเที่ยวในใต้หล้ามืดสลัว รวมไปถึงลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของใต้หล้าบ้านตัวเอง นักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตู และบุคคลอันดับหนึ่งด้านการหลอมโอสถ ล้วนเคยมีการถ่ายทอดมรรคกถาหรือไม่ก็วิชาความรู้ให้แก่กัน

คู่บำเพ็ญเพียรของเขาก็ยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริด

คือบรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาขอบเขตบินทะยานของอีกสำนักหนึ่ง

ทั้งสองฝ่ายไม่ว่าจะเป็นด้านอายุ ตบะหรือสถานะล้วนแตกต่างกันอย่างมาก

ประเด็นสำคัญคือระหว่างสำนักทั้งสองแห่ง เดิมทีคือศัตรูคู่อาฆาตที่ผูกปมแค้นกันมานานหลายพันปี

ดังนั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายกลายเป็นคู่รักกันจึงแทบจะทำให้นักพรตครึ่งหนึ่งของใต้หล้ามืดสลัวปากอ้าตาค้างกันได้เลย

หลิวเสี้ยนหยางโยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กจนเกิดเสียงดังออดแอด เขาพึมพำว่า “นักท่องฝันของหลิวเสียทวีปพอจะน่าสนใจอยู่บ้าง”

ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนมากมายของแจกันสมบัติทวีป นอกจากจะรู้สึกเป็นเกียรติเท่าทวีแล้ว ยังรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง เพราะเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเพิ่งจะผ่านอายุห้าสิบปีไป ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองก็เช่นเดียวกัน

ไม่อย่างนั้นหากก่อนหน้ามีซ่งจ่างจิ้งและเว่ยจิ้นที่ติดอันดับสิบคนรุ่นเยาว์พร้อมกัน ต่างคนต่างยึดครองพื้นที่หนึ่ง จากนั้นก็มีหม่าขู่เสวียนตามมาติดๆ ในอันดับสำรองสิบคน

ในใต้หล้าทั้งหลาย การจัดอันดับสองฉบับที่รวมแล้วมีคนทั้งสิ้นยี่สิบเอ็ดคนนี้

แจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุดของใต้หล้าไพศาลก็จะมีคนถึงสามคนที่ได้ยึดครองพื้นที่!

หลิวเสี้ยนหยางพลันหันหน้ามาจ้องหมี่อวี้เขม็ง ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “พี่อวี๋หมี่ ท่านหน้าตาหล่อเหลาสง่างามถึงเพียงนี้ วันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วมีงานอย่างบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ จะต้องหาเงินได้ก้อนใหญ่แน่ ถึงเวลานั้นท่านต้องพาข้าไปด้วยนะ ข้าจะไปช่วยเป็นไม้ประดับให้ท่านเอง!”

หมี่อวี้ปากอ้าตาค้าง จู่ๆ ก็เริ่มเข้าใจสีหน้าจริงใจของใต้เท้าอิ่นกวานในปีนั้นขึ้นมานิดๆ แล้ว

ดังนั้นหมี่อวี้จึงรีบยืดเอวตั้งตรงทันใด “ลากเว่ยซานจวินไปทำด้วยกัน มีสุขต้องร่วมกันเสพ!”

หลิวเสี้ยนหยางรีบเอ่ยทันที “เอาเมล็ดแตงมาเพิ่มอีกหน่อย ต้องฉลองแล้ว”

หมี่อวี้จึงควักเมล็ดแตงที่หมี่ลี่น้อยมอบให้ออกมาอีกหนึ่งกำมือ แล้วแบ่งครึ่งหนึ่งให้กับหลิวเสี้ยนหยาง

……

นครลมเย็นที่บรรยากาศครึกครื้นเป็นสถานที่ที่คนของสามสำนักเก้าสาขาอยู่ปะปนกัน ฝูงชนที่เบียดเสียดกันแออัดล้วนมาเพื่อแสวงหาโชคลาภเงินทอง

อีกทั้งสกุลสวี่ยังมีแคว้นหู ดังนั้นนครลมเย็นแห่งนี้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นหลุมศพวีรบุรุษบ้านเกิดแห่งความอบอุ่นของแจกันสมบัติทวีป

บุรุษหนุ่มคนหนึ่งเปิดร้านขายเครื่องหอม อายุน่าจะยังไม่ถึงสามสิบปี มีนามว่าเหยียนฟ่าง ท่าทางสุภาพเรียบร้อยราวกับคุณชายสูงศักดิ์ที่ตระกูลตกอับ

เมื่อหลายปีก่อนเขามาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ อยู่ในนครลมเย็นที่มีเทพเซียนบนภูเขาเดินกันเกลื่อนถนนแห่งนี้ เถ้าแก่คนนี้จึงไม่ได้สะดุดตาเท่าใดนัก

คนที่ร้านเครื่องหอมคบค้าสมาคมด้วยแน่นอนว่าต้องมีแต่สตรี ส่วนใหญ่เป็นสตรีออกเรือนแล้วที่ทางบ้านมีฐานะ หรือไม่ก็เด็กสาวที่รักสวยรักงาม

รูปโฉมของบุรุษยังไม่ถึงสามสิบปี ทว่าสายตาของเขากลับคล้ายคนอายุสี่สิบปีมานานแล้ว

บุรุษที่เป็นเช่นนี้ อีกทั้งยังขายเครื่องหอม ต่อให้ไม่ได้รับรองแขกอย่างกระตือรือร้นมากนัก แค่พอจะเรียกได้ว่ามีมารยาทเหมาะสม กิจการก็ไม่มีทางย่ำแย่ไปได้

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทรงผม เครื่องประดับหรือเสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรี เถ้าแก่คนนี้ล้วนเข้าใจทุกเรื่อง

เถ้าแก่หนุ่มชอบไปเดินซื้อหาหนังสือ ดังนั้นจึงได้รู้จักกับสหายที่ทำการค้าร้านหนังสือซึ่งฐานะทางบ้านดีคนหนึ่ง

กำลังทรัพย์ของตระกูลพ่อค้าร้านขายหนังสือนั้นนับว่าสมบูรณ์พูนล้น การค้าร้านหนังสือในนครลมเย็นก็เป็นร้านเขาที่ใหญ่ที่สุด เพียงแต่ว่าอยู่ในนครลมเย็นแห่งนี้กลับไม่ถือว่าเป็นตระกูลเศรษฐีใหญ่อะไร เพราะเมื่อเทียบกับตระกูลชนชั้นสูงที่ไปมาหาสู่กับพวกเทพเซียนแล้วก็ยังไม่อาจเทียบได้

วันนี้เหยียนฟ่างถูกพ่อค้าหนังสือชวนไปดื่มเหล้าที่บ้าน พอดื่มจนเมาพ่อค้าหนังสือก็เริ่มเรียกเหยียนฟ่างเป็นพี่เป็นน้อง แล้วก็เริ่มระบายทุกข์ให้ฟังว่าตนหยัดยืนอยู่ในนครลมเย็นได้ไม่ง่าย จะให้บุตรสาวที่งดงามดุจบุปผาดุจหยกออกเรือนกลับยังมีอุปสรรคมากมายขนาดนั้น ถึงขนาดถูกว่าที่บ้านดองดูแคลน บอกว่ากิจการนี้ของตนหากเอาไปวางไว้ในแคว้นเล็กใต้อาณัติแห่งใดก็ตาม ก็ถือว่าเป็นคหบดีคนหนึ่งได้แล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าพอมาอยู่ในนครลมเย็นกลับถูกคนรังเกียจว่าธรณีประตูต่ำเกินไป

แต่กระนั้นบุตรสาวของตนที่เดิมทียังมีความคับแค้นใจ อันที่จริงทุกวันนี้ก็ไม่ได้ใช้น้ำตาอาบหน้าทุกวันอีกแล้ว ก็เหมือนอย่างในวันนี้ที่นางมักจะมาถามบิดาเป็นระยะว่ากับแกล้มพอหรือไม่

เถ้าแก่เหยียนจึงบอกวิธีหาเงินที่ค่อนข้างจะประหลาดวิธีหนึ่งให้ เขาหมุนจอกเหล้าพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “พี่หยวน ข้าอาจไม่สามารถช่วยหาเงินก้อนใหญ่ให้ท่านได้ แต่สามารถช่วยให้ลูกหลานสามรุ่นของท่านมีรายรับที่เป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาว”

พ่อค้าหนังสืออึ้งตะลึง ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “พี่ชายอย่างข้าล้างหูรอฟังแล้ว”

เถ้าแก่หนุ่มยิ้มเอ่ย “ข้าคิดว่าตัวเองค่อนข้างเข้าใจเรื่องตำรา ภาพวาด ตัวอักษรและการแกะสลักอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายอะไร ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเป็นนักประพันธ์ใหญ่โตอะไรได้ แต่อาศัยความสามารถเล็กน้อยนี้มาหาเลี้ยงชีพกลับไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าข้ายังขาดเงินทุนก้อนนั้นอยู่ ส่วนพี่หยวนก็มีเงินทุน ดังนั้นจึงสามารถแสดงฝีมืออันต้อยต่ำได้พอดี พี่หยวนคือพ่อค้าร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในนครลมเย็น ถ้าอย่างนั้นการจัดพิมพ์ตำราหนังสือจึงเป็นเรื่องง่ายอย่างมาก ทุกๆ หนึ่งปีข้าจะรับผิดชอบคอยเขียนตำราตราประทับให้พี่หยวนหนึ่งเล่ม ด้านในมีตราประทับร้อยแบบ เก้าสิบกว่าแบบที่เก็บเอาโน่นมาผสมนี่ล้วนเป็นผลงานใหญ่ของคนมีชื่อเสียงที่เป็นของแท้แน่นอน มีหลักฐานพิสูจน์ได้ ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นของปลอม”

พ่อค้าหนังสือกล่าวอย่างกังขา “ทำของปลอม? แล้วจะขายอย่างไร? ไม่ใช่ว่าพี่ชายไม่เชื่อในฝีมือการแกะสลักของเจ้านะ แต่เป็นเพราะแต่ละคนที่ในกระเป๋ามีเงินล้วนเป็นพวกเจ้าเล่ห์กันทั้งนั้น คิดจะหลอกพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย”

เหยียนฟ่างจิบเหล้าหนึ่งคำ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์และอักขรานุกรมท้องถิ่นของแคว้นเล็กๆ มาไม่น้อย จะยกตัวอย่างให้ฟัง สมมติว่าข้าช่วยพี่หยวนแกะสลักตราประทับเลียนแบบของคนที่มีชื่อเสียงอันหนึ่ง ตัวอักษรที่แกะลงไปจะจงใจเปลี่ยนแปลงตัวอักษรบางคำที่เป็นชื่อหรือเป็นเครื่องหมาย จงใจทำให้ดูเหมือนว่าเป็นช่องโหว่แต่ก็ไม่ใช่ช่องโหว่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับสอดคล้องกับบันทึกที่มีอยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล ดังนั้นการค้านี้ต้องไม่มีทางหาเงินมาจากมือของคนธรรมดาได้แน่นอน แต่จะเอาเงินจากพวกสุภาพชนที่อ่านหนังสือมามากและอ่านหนังสือหลากหลายมากพอ ขอแค่ลองตรวจสอบดู พวกเขากลับจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก็บตกของดีได้ วิธีนอกรีตที่คล้ายคลึงกับวิธีนี้ยังมีอีกมาก”

พ่อค้าหนังสือเริ่มรู้สึกหวั่นไหว “จะสำเร็จได้จริงๆ หรือ?”

เหยียนฟ่างชำเลืองตามองสตรีที่อยู่ด้านหลังฉากบังตาแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ตกลงกันไว้ก่อนว่า หากทำให้พี่หยวนขาดทุนเงินค่าพิมพ์หนังสือตราประทับ ข้าก็จะดื่มสุราลงทัณฑ์ขออภัยพี่หยวน แต่หากจะให้ชดใช้ด้วยเงิน ข้าก็ไม่มีเลยจริงๆ แต่หากในอนาคตได้เงินมาจริง พี่หยวนก็อย่าลืมเลี้ยงเหล้าหมักตระกูลเซียนข้าสักกาแล้วกัน”

หลังจากพูดคุยปรึกษารายละเอียดกันเรียบร้อย พ่อค้าหนังสือก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะสามารถทำได้ สุดท้ายเขาลุกขึ้นยืนโงนเงนแต่แล้วก็ต้องนั่งลงอีกครั้ง ได้แต่บอกให้บุตรสาวไปส่งเถ้าแก่เหยียนฟ่าง

รอจนบุตรสาวกลับมาแล้ว พ่อค้าหนังสือกลับนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะสุรา ถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเป็นสำเนียงของแถบอวี๋โจวราชวงศ์จูอิ๋งเก่า?”

สตรีพยักหน้า “น่าเสียดายที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก แต่ก็ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์มากแล้ว ขอแค่ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายคือชาวบ้านของจูอิ๋งที่หลงเหลืออยู่ก็สามารถชักชวนมาได้”

พ่อค้าหนังสือขมวดคิ้ว “ไม่เหมือนพวกคนที่ละโมบในทรัพย์ คำพูดคำจาสุภาพสง่างาม ไม่ธรรมดาเลยสักนิด”

สตรีเอ่ยหยอกล้อ “พี่หยวนเห็นเขาเป็นพี่น้องอย่างจริงใจ แต่น่าเสียดายที่เขากลับอยากเป็นลูกเขยของพี่หยวน”

พ่อค้าหนังสือหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ ส่ายหน้ากล่าวว่า “สตรีที่เชี่ยวชาญการยั่วยวนอย่างเจ้าอาจไม่สามารถทำให้คนผู้นี้หวั่นไหวได้อย่างแท้จริงเสมอไป หากจะบอกว่าทำให้เขายอมถวายชีวิตอุทิศตนให้สกุลสวี่พวกเราใช้งานก็ยิ่งเป็นเพียงความเพ้อฝันแล้ว”

สตรีลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “สามารถให้บรรพบุรุษบ้านข้าลงมือด้วยตัวเองได้”

“เจ้าล้อเล่นอยู่หรือไง?!”

พ่อค้าหนังสือเริ่มสองจิตสองใจตามไปด้วย จึงต้องชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียใหม่อีกครั้ง “ไม่ต้องถึงขั้นระดมกำลังใหญ่โตขนาดนี้หรอกกระมัง เว้นเสียจากว่า…”

สตรีพยักหน้า “เว้นเสียจากว่าคนผู้นี้สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทอง ทางที่ดีที่สุดคือมีหวังเสี้ยวหนึ่งว่าจะกลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเดินทางไกลได้ นครลมเย็นของพวกเราไม่ขาดแคลนชะตาบุ๋น แต่กลับขาดแคลนชะตาบู๊เป็นที่สุด!”

พ่อค้าหนังสือเอ่ย “ไม่รีบ คอยจับตาดูไปอีกสักระยะก็แล้วกัน บรรพบุรุษบ้านเจ้าจะปรากฏตัวหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าและข้าจะสามารถตัดสินใจได้ ต้องถามฮูหยินก่อนถึงจะได้”

เหยียนฟ่างผู้นั้นเดินกลับร้านตัวเองด้วยความเมามาย พึมพำเบาๆ ด้วยสีหน้าเปลี่ยวเหงา “ริมสะพานจูเชวี่ย หน้าตรอกอูอี หน้าโถงหวังเซี่ย ในบ้านร้อยแซ่ เมื่อวานคือวันใด วันนี้คือวันใด พรุ่งนี้คือวันใด…ยามหิมะตกบอกลากับท่าน ยามดอกไม้โรยได้เจอท่านอีกครั้ง…ยามไม่ดื่มเหล้า ใจปรารถนาให้สำเร็จ ยามดื่มเหล้าเมามาย ฝันงามกลายเป็นจริง…”

ด้านหลังมีคนเดินผู้หนึ่งย่ำเท้าเดินเร็วจนชนเข้ากับไหล่ของเถ้าแก่หนุ่มโดยไม่ทันระวัง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นกลับเป็นฝ่ายเซถอยเสียเอง พอเอ่ยคำหนึ่งว่าขอโทษแล้วก็ก้าวเร็วๆ จากไปอีกครั้ง

คนผู้นี้เดินอ้อมเส้นทางกลับไปยังบ้านของพ่อค้าหนังสือ ทวนประโยคของเถ้าแก่หนุ่มอย่างไม่ตกหล่นสักคำซ้ำหนึ่งรอบ จากนั้นก็เอ่ยว่า “พื้นฐานของผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกดีเยี่ยม ถึงขั้นที่ทำให้ข้าสงสัยว่าคนผู้นี้จะใช่ขอบเขตเจ็ดแล้วหรือเปล่า”

พ่อค้าหนังสือสบตากับหญิงสาว

ผู้ฝึกยุทธที่โยกย้ายมาชั่วคราวตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกตัวจริง

ส่วนข้อที่ว่าเหยียนฟ่างจะเกิดสงสัยเพราะเหตุนี้หรือไม่ ไม่สำคัญเลยสักนิด เพราะไม่แน่ว่าอีกไม่นานเขาอาจกลายมาเป็นเพื่อนร่วมงานของนครลมเย็นก็เป็นได้

——