ขยับเข้าใกล้ร้านเครื่องหอมบ้านตน บนถนนสายเล็กเงียบสงบที่ลักษณะคล้ายคลึงกับตรอกฉีหลง เถ้าแก่หนุ่มเดินลงจากขั้นบันไดไปช้าๆ ตรงสุดปลายตรอกมีแม่นางน้อยสวมชุดบุนวมผ้าฝ้ายคนหนึ่งกำลังถูกห่านขาวตัวใหญ่ไล่จิก เนื้อตัวนางมอมแมมสกปรก ตอนแรกก็วิ่งไปหัวเราะไป แต่พอโดนจิกก็กลายเป็นวิ่งไปร้องไห้ไป
เถ้าแก่เหยียนฟ่างหยุดมองภาพนั้น ยามที่เขายิ้มจนดวงตาโค้งลง สีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความอ่อนโยน
สตรีคนหนึ่งอยู่ด้านล่างของตรอกนั้นพอดี นางเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ เมื่อนางเงยหน้ามองเห็นภาพนั้นก็ยากที่จะปล่อยวางได้อีก
เหยียนฟ่างเดินสวนไหล่กับสตรี
สายลมแผ่วเบาพัดจอนผมริมหูของคนหนุ่มให้ปลิวพลิ้ว เรือนกายของเขาโยกเอนเล็กน้อย บนร่างของบุรุษมีทั้งกลิ่นหอมสดชื่นของถุงหอมที่ห้อยเอวและกลิ่นหอมของสุราลอยโชยมาจางๆ
เมื่อในสายตาของบุรุษไม่มีสตรีกลับยิ่งทำให้สตรีเห็นเขาอยู่ในสายตามากขึ้น
กลับมาถึงร้านที่ปิดประตูไว้ชั่วคราว เวลายังเช้าอยู่มาก แต่กลับมีสตรีส่วนหนึ่งมารออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว ปากก็บ่นพึมพำไม่หยุด แต่พอได้เห็นเถ้าแก่หนุ่มกลับคลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบานทันที
วันนี้กิจการยังคงดีมากเหมือนเดิม
ร้านยังไม่ปิด แต่เนื่องจากไม่มีลูกค้ามาเยือนชั่วคราว เหยียนฟ่างจึงยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งที่หน้าประตู แล้วก็ได้เห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเดินเคียงข้างกันผ่านไปบนถนน
ครู่หนึ่งต่อมาเด็กหนุ่มก็ย้อนกลับมาทางเดิม มานั่งยองอยู่ข้างกายเถ้าแก่หนุ่ม เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “เถ้าแก่ ข้าไม่กล้ามอบถุงหอมใบนั้นไปให้นาง”
จากนั้นเด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น พูดให้กำลังใจตัวเองว่า “พรุ่งนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะต้องมอบให้นางแน่นอน!”
เถ้าแก่หนุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เจ้ามอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้นางแล้ว นางก็รับเอาไว้แล้ว ดียิ่งกว่าถุงหอมเสียอีก”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ “ข้าไม่ได้มอบอะไรให้นางสักหน่อย”
เถ้าแก่หนุ่มคลี่ยิ้ม “มอบให้แล้ว แล้วยังเป็นชาดทาแก้มตลับหนึ่งด้วย”
เด็กหนุ่มยิ่งสับสน “อะไรนะ?”
เถ้าแก่หนุ่มแหงนหน้ามองก้อนเมฆที่ฉาบสีอัสดงตรงริมขอบฟ้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ยามที่เจ้าใช้ใจมองนาง นางก็หน้าแดงไงล่ะ”
เด็กหนุ่มคิดแล้วก็เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
เขาลุกขึ้นยืน หยิบม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา ปิดร้านสำหรับวันนี้
กลับมาถึงเรือนด้านหลัง รอกระทั่งริ้วคลื่นลมปราณที่ยากจะสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่งค่อยๆ สลายหายไปแล้ว เถ้าแก่หนุ่มก็ยังคงเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย โบกพัดพับเบาๆ ลมเย็นสดชื่นไหลโชยมาเอื่อยเฉื่อย
ตลอดหลายปีมานี้ที่อยู่ในนครลมเย็น คนทำการค้าจากต่างถิ่นผู้นี้ล้วนเกียจคร้านเช่นนี้เสมอมา
พัดพับที่อยู่ในมือ นับแต่โบราณมาก็ได้รับคำเรียกที่สง่างามว่ามิตรแห่งความเย็น แล้วก็ถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบังหน้า (ทั้งคำว่ามิตรแห่งความเย็น 凉友 และคำว่าบังหน้า 障面 ล้วนเป็นอีกชื่อที่ใช้เรียกพัดในภาษาจีน)
วันหนึ่งต่อมามีสตรีออกเรือนแล้วพาสาวใช้สองคนมาซื้อเครื่องหอมที่นี่ นางค่อนข้างเป็นคนช่างเลือกช่างติเตียน เถ้าแก่หนุ่มยืนเอียงตัวพิงโต๊ะคิดเงิน ไม่ว่านางถามอะไร เขาก็ตอบอย่างนั้น
จากนั้นต่อมาเนื่องจากกิจการของร้านเครื่องหอมดีเกินไป เถ้าแก่หนุ่มจึงรังเกียจที่ตัวเองยุ่งมากเกิน ก็เลยจ้างสตรีคนหนึ่งมาช่วยงาน
คาดไม่ถึงว่ากิจการจะร่วงดิ่งลงเหว
แต่เถ้าแก่หนุ่มก็ยังไม่ค่อยใส่ใจอยู่เหมือนเดิม เขายกกิจการในร้านให้สตรีผู้นั้นคอยดูแล ส่วนตัวเองไปหลบอยู่ในเรือนด้านหลังนั่งโบกพัดรับลมเย็นๆ
ท่ามกลางแสงจันทร์ สตรีเลิกม่านไม้ไผ่ขึ้น ยืนอยู่ตรงหน้าประตูของเรือนหลัง มองเถ้าแก่หนุ่มที่เอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย ยิ้มถามว่า “รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”
เถ้าแก่หนุ่มยังคงโบกพัดพับไม้ไผ่หยก เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ไม่ใช่ฮูหยินสกุลสวี่ผู้นั้นก็แล้วกัน”
สตรีกล่าว “อันที่จริงเจ้าเคยพบนางแล้ว”
เถ้าแก่หนุ่มร้องอ้อหนึ่งที
สตรีเอ่ยต่อ “ข้ารู้ว่าเจ้าสวมหน้ากาก หากเจ้ายินดีเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงกับข้า ข้าก็ยินดีเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อเจ้า”
เถ้าแก่หนุ่มหุบพัดแล้วควงมันเล่นเป็นวงกลม สุดท้ายคว้าจับเอาไว้ ใช้มันเคาะหน้าผากเบาๆ “แต่ข้าเคยชินกับหน้ากากที่ใช้ตอนนี้แล้วนะ”
สตรีรู้สึกขุ่นเคืองระคนอับอาย นางกัดริมฝีปากเบาๆ จากนั้นก็พลันถลึงตาเอ่ยว่า “ในเมื่อรู้แต่แรกอยู่แล้วว่าข้าไม่ใช่สตรีชาวบ้านอะไร เหตุใดถึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาโดยตลอด? หรือจะบอกว่าแท้จริงเจ้าคาดเดาจุดประสงค์ของนครลมเย็นออกแล้ว ก็เลยจงใจเก็บข้าไว้ข้างกาย?”
เถ้าแก่หนุ่มหันหน้ามาเล็กน้อย มองสตรีที่ร่ายเวทอำพรางตาผู้นั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าจะพูดยังไงก็แล้วแต่เจ้าเถอะ”
สตรีถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เถ้าแก่หนุ่มถอนสายตากลับมามองม่านฟ้า “ข้าน่ะหรือ ก็คือผีขี้เมาคนหนึ่งไงเล่า”
สตรีหลุดหัวเราะพรืด “หากข้าจำไม่ผิด เจ้าไม่เคยดื่มเหล้าเลย”
เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “พรุ่งนี้จะดื่มแล้ว”
เถ้าแก่หนุ่มที่ใกล้จะได้เป็นผู้ถวายงานสกุลสวี่นครลมเย็นยังเหลือด่านอีกหนึ่งด่านที่ต้องผ่านไปให้ได้
แต่สตรีอยู่กับเขานานวันเข้ากลับเริ่มรู้สึกสงสารอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน
ทว่าพอนึกถึงวิธีการของเจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็น รวมไปถึงเรื่องที่ตนต้องคอยพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาของผู้อื่น สุดท้ายนางก็ถอนเวทอำพรางตาออก แล้วเอ่ยเรียกเหยียนฟ่างเบาๆ
เขาได้ยินเสียงจึงหันหน้ามาช้าๆ ก่อนจะรีบคลี่พัดพับมาบังใบหน้าของตัวเอง ไม่มองนางอีก เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็คือเจ้าแห่งแคว้นหู โลกมนุษย์ช่างมีบุญตายิ่งนัก”
สตรีขมวดคิ้วแน่น โบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้างตบพัดพับในมือเขาทิ้งไป
นางพลันพุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาในชั่วพริบตา ประกบสองนิ้วยื่นออกมาค้ำตรงหว่างคิ้วเขา จากนั้นก็ถามสองสามคำถาม
แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ดึงนิ้วกลับ มองคนหนุ่มที่คล้ายจะหลับใหลแล้วนางก็เม้มปากยิ้ม ยื่นนิ้วออกมาอีกครั้ง ไปจับตรงจอนหูของเขาแล้วดึงออกเบาๆ
นางก้าวถอยหลังหลายก้าวอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่
ดวงตาของนางเบิกกว้าง มือหนึ่งปิดปาก อีกมือหนึ่งกุมหัวใจ
คนผู้นั้นขมวดคิ้วน้อยๆ คืนสติกลับมา เขาลืมตาขึ้น เอ่ยเสียงเย็น “ไสหัวไป”
นางสงบจิตใจให้มั่นคง ยิ้มกล่าว “โอ้โห ที่แท้ก็คือขอบเขตร่างทองที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำ”
เขายื่นมือออกไปคว้า บังคับพัดพับเข้ามาไว้ในมือ ลุกขึ้นยืนแล้วพลันคลี่ยิ้มกว้าง เดินมายืนอยู่ข้างกายนาง ใช้พัดที่รวบเข้าด้วยกันตบข้างแก้มของนางเบาๆ เขายิ้มตาหยีพลางเอ่ยเสียงเบา “เด็กดี วันหน้ามาเป็นสาวใช้ของข้าก็แล้วกัน คิดจะตอบแทนด้วยร่างกายนั้นคงไม่ต้อง อันที่จริงเจ้าไม่ได้หน้าตาดีเลย ข้ากลัวว่าจะขาดทุน”
นางเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อย สายตาเลี่ยงไปมองทางอื่น ก่อนจะหันมาสบตากับเขาอีกครั้ง ยกมือผลักพัดพับไม้ไผ่หยกออก ยิ้มกล่าว “ไม่เสียแรงที่เป็นผีขี้เหล้า พูดจาเหมือนคนเมามายจริงๆ”
เพราะถูกผลักออก เขาจึงเหวี่ยงหลังมือตบฉาดเข้าที่ใบหน้าของนาง
นางคล้ายจะมึนงงเล็กน้อย เจ้าแห่งแคว้นหูผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งกลับถูกตบบ้องหูเช่นนี้?
แต่เขากลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแหงนหน้ามองม่านราตรีเท่านั้น นางพลันคลี่ยิ้มหวาน แล้วก็หมุนตัวกลับมายืนมองม่านฟ้ายามราตรีพร้อมกับเขาเงียบๆ ประหลาดนัก พระจันทร์กลมโตคล้ายจะผลุบหายเข้าไปในก้อนเมฆพอดี
ดวงจันทร์หลบเร้นอยู่ในก้อนเมฆ เขินอายคนยืนอยู่เคียงข้าง
จูเหลี่ยนรวมเสียงให้เป็นเส้น ถามว่า “ข้ารอเจ้ามาหลายปี ไม่อาจเป็นฝ่ายไปหาเจ้าก่อนได้ ได้แต่รอให้เจ้ามาพบข้า รอให้เจ้าเป็นฝ่ายปรากฏตัวด้วยตัวเอง คำพูดของข้าต่อไปนี้ไม่ใช่คำพูดของคนเมามาย เจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี”
ความคิดในหัวของนางเริ่มตีกัน สัญญาตญาณทำให้นางไม่กล้าฟังคำพูดที่เขากำลังจะพูด แต่ปากนางกลับเอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้กลายเป็นผู้ถวายงานลำดับสามของสกุลสวี่นครลมเย็นแล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าข้าจะยังเป็นผู้ถวายงานนี้ต่อไป”
นางส่ายหน้า “แนะนำเจ้าว่าอย่าได้พูดอะไรเกินความจำเป็น เพราะง่ายที่จะเป็นการวาดงูเติมขา ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง หากพยายามเข้าสักหน่อย วันหน้าก็มีหวังว่าจะได้กลายเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่ง”
จากนั้นในใจนางก็พลันพรั่นผวา
ไม่ถูกสิ! คนผู้นี้ไม่มีทางเป็นแค่ขอบเขตร่างทองอย่างแน่นอน!
แล้วก็จริงดังคาด คนผู้นั้นกล่าวอย่างระอาใจว่า “น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้น อย่างมากสุดรออีกสามปี นครลมเย็นแห่งนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอจะให้ข้าเสียเวลาไปมากกว่านั้นแล้ว”
นางหัวเราะหยัน “เจ้าต้องตายแน่ อาจเป็นคืนนี้ อย่างช้าสุดก็คือพรุ่งนี้”
จูเหลี่ยนพึมพำกับตัวเองว่า “อยากย้ายตลอดทั้งแคว้นหูไปอยู่ในสถานที่ที่มีอิสระเสรีหรือไม่? อย่างน้อยก็ไม่ต้องเป็นอย่างทุกวันนี้ที่ทุกปีจะต้องมียันต์หนังจิ้งจอกแผ่นแล้วแผ่นเล่าติดตามคนอื่นออกไปจากนครลมเย็น”
“ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ขอบเขตเจ็ด ขอบเขตแปด แต่คือขอบเขตยอดเขา”
“หากไม่ตอบตกลง ข้าก็คงได้แต่ต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแล้ว”
นางพูดเสียงสั่น “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?!”
จูเหลี่ยนใช้พัดพับดันปลายคาง คลี่รอยยิ้มน่าหลงใหล “ช่างเถิด ตัดใจต่อยให้แม่นางคนหนึ่งตายไม่ลงจริงๆ หากเจ้าไม่ตอบตกลงก็ไปส่งข่าวแจ้งฮูหยินสกุลสวี่ของนครลมเย็นผู้นั้นได้เลย จากนั้นก็ให้เจ้านครมาฆ่าข้า ข้าเองก็จะได้ลองสัมผัสกับความสามารถของบุคคลอันดับหนึ่งที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปดูสักหน่อย แต่เงื่อนไขก็คือเขายอมตัดใจทำลายนครลมเย็นครึ่งหนึ่งได้ลง แต่หากเจ้าตอบตกลง ข้าก็จะบอกขั้นตอนการย้ายถิ่นให้เจ้าฟังอย่างละเอียด แค่สามปีก็เพียงพอ เจ้าฟังไปแล้วก็น่าจะแน่ใจได้แล้วว่า ข้าไม่ได้เอ่ยคำพูดเพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนกับเจ้าอยู่”
นางหันหน้ามาจ้องใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้นเขม็ง แม้จะไม่กล้ามองมาก แต่ก็จำเป็นต้องมองให้มาก คำพูดเหลวไหลของคนผู้นี้สุดท้ายแล้วก็ทำให้นางหวั่นไหวจนได้
แต่ไม่รู้ว่าทำไม นางถึงได้รู้สึกเหมือนว่าเขาคาดหวังให้ตนไม่ตอบตกลงเสียมากกว่า?
จูเหลี่ยนหยิบหน้ากากแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ปิดทับลงบนใบหน้าเบาๆ เป็นใบหน้าที่เหมือนกับคนหนุ่มก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน การกระทำของเขานุ่มนวลละเอียดลออ ประหนึ่งสตรีที่แต่งแต้มดอกไม้ประดับใบหน้า
ดูเหมือนว่าจะคาดการณ์ได้ถึงวันนี้มานานแล้ว รู้ว่านางจะเป็นคนฉีกหน้ากากของเขาออกกับมือตัวเอง แล้วก็จะต้องตอบตกลงกับข้อเสนอของเขา ดังนั้นถึงได้เตรียมหน้ากากชิ้นนี้มาไว้พร้อมใช้งาน
จูเหลี่ยนเอนกายนอนบนเก้าอี้หวาย
นางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เพียงแค่หันหน้าไปมอง ไม่เห็นโฉมหน้าก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ก็รู้สึกเสียดายนิดๆ ด้วย
นางถามว่า “ชื่อจริงของเจ้าคืออะไร?”
จูเหลี่ยนใช้พัดพับชี้ไปที่ม่านไม้ไผ่
จู๋เหลียน (ม่านไม้ไผ่/มู่ลี่) พ้องเสียงกับคำว่าจูเหลี่ยน
และสกุลสวี่นครลมเย็นก็ใส่ใจภูเขาลั่วพั่วของถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีตอย่างมาก ในฐานะผู้ปกครองแคว้นหูที่ถือเป็นต้นกำเนิดเงินทองครึ่งหนึ่งของนครลมเย็น นางจึงรู้เรื่องนี้ชัดเจนเป็นอย่างดี
นางเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับนครลมเย็นจริงๆ รึ?!”
หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้เป็นคนแพร่งพรายความลับด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าผู้นี้จะเป็นผู้ดูแลเฒ่าที่เรือนกายหลังค่อมงองุ้มอยู่ทุกเมื่อเชื่อปีของภูเขาลั่วพั่วคนนั้น!
เขาโบกพัดพับในมือที่หุบประกบกัน เอ่ยว่า “มานวดไหล่ให้ข้าที”
สีหน้านางมืดทะมึน “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะส่งข่าวบอกฮูหยินเดี๋ยวนี้?”
เขาเอ่ย “ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่เล่า?”
นางพูดอย่างห่อเหี่ยว “ไหนเจ้าลองบอกขั้นตอนพวกนั้นมาสิ ข้าฟังแล้วค่อยตัดสินใจอีกที”
คาดไม่ถึงว่าจูเหลี่ยนผู้นั้นจะใช้พัดตีไปที่ไหล่
นางจึงกัดฟัน เดินไปหาอีกฝ่าย ทรุดตัวลงนั่งยอง เตรียมจะข่มกลั้นความอายและโทสะช่วยนวดไหล่ให้เขา
คาดไม่ถึงว่าจูเหลี่ยนจะตะแคงตัวหันมามองสบตานาง
เขายิ้มเอ่ยว่า “คืนนี้อย่าได้แอบเข้ามาในห้องข้าล่ะ อากาศร้อนระอุขนาดนี้ ไม่ต้องการคนอุ่นผ้าห่มหรอกนะ”
นางหลุดปากพูดไปเหมือนถูกผีสิง “ถอดหน้ากากออกเถอะ”
เขาใช้พัดพับเคาะหน้าผากนางเบาๆ จากนั้นก็พลิกตัวกลับไปนอนให้ดีดังเดิม “ค่ำคืนที่แสงจันทร์งดงามถึงเพียงนี้ เจ้ากับข้าช่างทำลายบรรยากาศนัก”
นางเหม่อลอยไร้คำพูด แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนเคยพูดไปแล้ว “อันที่จริงข้าเคยชินกับรูปโฉมของเจ้าในตอนนี้มากกว่า”
เขาอืมรับหนึ่งที
นางถามว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาจริงๆ หรือ?”
เขาพยักหน้ารับเบาๆ
ผู้อาวุโสชุยได้จากไปแล้ว หลี่เอ้อก็ยิ่งออกมาจากแจกันสมบัติทวีปตั้งนานแล้ว
คุณชายบ้านตนออกเดินทางไกลยังไม่กลับมา
แม้แต่เผยเฉียนก็ยังไปท่องเที่ยวต่างบ้านต่างเมือง
แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้จึงเหลือแค่ซ่งจ่างจิ้งคนเดียวที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ
หากขนาดนี้แล้วเขายังไม่มีปัญญารีบเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบได้อีก ต่อให้มีหน้ากากมากกว่านี้ก็ไม่มีหน้าไปพบเจอใครแล้ว
เพียงแต่ว่ายังขาดการต่อสู้อีกครั้งสองครั้ง
ดังนั้นสัญญาตญาณก่อนหน้านี้ของเจ้าแห่งแคว้นหูข้างกายเขาจึงไม่ผิดไปเลยสักนิด คนบ้าวรยุทธผู้นี้หวังให้นางส่งข่าวไปแจ้งแก่สกุลสวี่นครลมเย็นจริงๆ
ในอดีตตอนอยู่บ้านเกิดอย่างพื้นที่มงคลดอกบัว ยามที่คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์ออกท่องยุทธภพ ก็เป็นช่วงออกหมัดยามเมามายที่ทำให้สตรีจิตใจหวั่นไหวได้มากที่สุด ทำให้คนเคลิบเคลิ้มตายได้เลยจริงๆ
นางหิ้วม้านั่งตัวหนึ่งมานั่งข้างเก้าอี้หวาย ชมดวงจันทร์ไปพร้อมกับเขา
คนทั้งสองต่างก็ไม่ได้พูดอะไรกัน
จูเหลี่ยนคลี่พัดพับออกเบาๆ โบกเอาลมเย็นเข้าหาตัวเป็นระลอก
ลมเย็นพัดผ่านผมตรงจอนหูของคนทั้งสอง
นางเอ่ยว่า “จูเหลี่ยน แคว้นหูสามารถย้ายไปอยู่ภูเขาลั่วพั่วได้สำเร็จจริงๆ หรือ? ข้าสามารถเชื่อใจเจ้าได้จริงๆ หรือไม่? ข้ารักตัวกลัวตาย ยิ่งกลัวว่าตลอดทั้งแคว้นหูจะต้องเดือดร้อนเพราะข้า”
เขาเอ่ยว่า “เชื่อตัวเองก่อนแล้วค่อยมาเชื่อใจข้า”
นางนิ่งคิดเงียบๆ อยู่นาน สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามว่า “คนอย่างเจ้า เหตุใดถึงยินดีถวายชีวิตรับใช้ภูเขาลั่วพั่ว?”
เขาตอบไม่ตรงคำถาม “ใครเล่าที่ไม่ใช่นกในกรง ใครเล่าที่ไม่ใช่แขกที่มาเยือนโลกมนุษย์”
จูเหลี่ยน จูเหลี่ยน เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม (ประโยคภาษาจีนอ่านว่า จูเหยียนเหลี่ยนฉาง 朱颜敛藏)
——