บทที่ 706.1 ยามหิมะละลาย

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นอกศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหู เพ่ยอาเซียงทอดถอนใจด้วยความชื่นชมจากใจจริง “หมัดดี”

ราวกับคำว่าหมัดดีนี้ยังไม่มากพอจะบรรยายได้ถึงความมหัศจรรย์ของหมัดนี้ เพ่ยอาเซียงจึงยื่นมือมาลูบคลึงหัวเข่าเบาๆ ดวงตาฉายประกายระยิบระยับ พยักหน้าติดต่อกันถี่ๆ เอ่ยเสริมว่า “ลำพังเพียงแค่พูดถึงความทอดยาวของวิชาหมัด ปณิธานหมัดที่ทับซ้อนกันหนาชั้น ข้าก็สู้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกขุนเขาของหมัดนี้ไม่ได้ ช่างเป็นหมัดที่ดีจริงๆ ดั่งคำว่าม่านน้ำตกแขวนห้อยบนฟ้า วิชาหมัดอยู่สูงมาก ยามที่หมัดตกกระทบลงมาบนพื้นจึงหนักหน่วงมาก”

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบบนโลก ไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน

สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางที่หยิ่งทระนงในตัวเองรู้สึกเลื่อมใสชื่นชมวิชาหมัดของสายอื่นได้อย่างจริงใจเช่นนี้ อันที่จริงก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว

ที่แท้แม่นางน้อยที่เรียกตัวเองว่าเผยเฉียนได้ใช้ปณิธานหมัดชนิดเดียวปล่อยออกมาติดต่อกันถึงสิบเจ็ดหมัด ทุกหมัดล้วนโจมตีโดนหลิ่วซุ่ยอวี๋ลูกศิษย์ที่เพ่ยอาเซียงภาคภูมิใจที่สุด

เป็นเหตุให้หลิ่วซุ่ยอวี๋จำต้องสะบั้นปณิธานหมัดส่วนนั้นทิ้ง ไม่กล้าปล่อยให้เผยเฉียนเพิ่มปณิธานหมัดไปมากกว่านั้นอีก

หลิวโยวโจวที่หลบอยู่ด้านหลังเพ่ยอาเซียงยืดคอยาวออกมาพึมพำเบาๆ ว่า “ปล่อยหมัดติดต่อกันสิบกว่าหมัด ทำเอาท่านน้าหลิ่วได้แต่ตั้งท่าต้านรับ ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือให้เอาคืนแม้แต่น้อย นี่มันเกินจริงไปแล้วนะหากเรื่องนี้แพร่ออกไปคงไม่มีใครเชื่อหรอกกระมัง”

เพ่ยอาเซียงด่าขำๆ “เจ้าจะไปเข้าใจกะผายลมอะไร สิบเจ็ดหมัดนี้ของแม่นางน้อยถือว่าเป็นแค่หมัดเดียวเท่านั้น”

บนลานกว้างนอกศาลเหลยกง ปณิธานหมัดซัดกระเพื่อมรุนแรง ปณิธานหมัดของเพ่ยอาเซียงจึงไหลรินออกไปช้าๆ ปกป้องหลิวโยวโจวที่อยู่ด้านหลังของตนอย่างเงียบเชียบ

ส่วนหลิ่วหมัวมัวกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้แล้ว ต่อให้หญิงชราจะเป็นขอบเขตเซียนดิน ต่อให้จะแค่มองดูหมัดอยู่ไกลๆ ก็ยังคงรู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยอยู่ดี

ปณิธานหมัดบนลานกว้างขุมนั้นถูกชักนำ เส้นแสงในแต่ละจุดจึงเริ่มเกิดการบิดเบือน มีการตัดสลับถักทอกันอย่างลับๆ นี่ก็คือภาพบรรยายกาศที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งใช้สองหมัดเขย่าคลอนฟ้าดิน

หลิ่วหมัวมัวไม่ได้เป็นห่วงว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋จะแพ้ ผู้ฝึกยุทธของธวัลทวีปมีมากมาย แน่นอนว่าเป็นเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงมีขอบเขตสูงที่สุด ทว่าขอแค่ซุ่ยอวี๋สามารถใช้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาได้ โชคชะตาบู๊ของหนึ่งแคว้นก็จะเป็นซุ่ยอวี๋ที่ได้ไปมากที่สุด หลิ่วซุ่ยอวี๋เคยได้คำว่าแข็งแกร่งที่สุดมาสามครั้ง จะว่าไปแล้วก็แปลก ตามการอนุมานของเพ่ยอาเซียงผู้เป็นอาจารย์ของนาง ดูจากภาพปรากฎการณ์การไปมาของโชคชะตาบู๊ในใต้หล้า หลายครั้งที่หลิ่วซุ่ยอวี๋พลาดคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไป ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนั้น

นี่หมายความว่านอกจากซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลีแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ยังต้องมีปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเก้าอีกสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น

หลิ่วโยวโจวรู้สึกปลงอนิจจัง เอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าได้ยินมาว่าภูเขาลั่วพั่วของแจกันสมบัติทวีปสนิทสนมกับเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของภูเขาพีอวิ๋นมาก กิจการของท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวก็ไม่เลวเลยจริงๆ ทุกวันนี้ก็ได้ทำการค้าที่ไม่เล็กกับสำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ของกุรุทวีป เพียงแต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีแม่นางอายุน้อยที่วิชาหมัดเลิศล้ำเทียมฟ้าเช่นนี้อยู่ แจกันสมบัติทวีปช่างเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดจริงๆ พื้นที่ใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสาร แต่กลับทำให้คนประหลาดใจได้เสมอ ผู้ฝึกยุทธซ่งจ่างจิ้ง เซียนกระบี่เว่ยจิ้น ผู้ฝึกตนหม่าขู่เสวียน ล้วนไม่เลวเลยจริงๆ”

เพ่ยอาเซียงเอ่ยสัพยอก “นี่เจ้าเห็นคนนอกดีกว่าคนกันเองงั้นรึ? คิดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วหรือไร?”

หลิวโยวโจวเอ่ยอย่างตกตะลึง “ในที่สุดท่านน้าหลิ่วก็ออกหมัดแล้ว!”

ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าการที่หลิ่วซุ่ยอวี๋เพียงแค่รับหมัดไม่เคยตอบโต้เอาคืนมาตั้งแต่แรก ถึงจะเป็นเรื่องที่ปกติ

เพ่ยอาเซียงจึงได้แต่ช่วยอธิบายให้กับคนนอกสาขาไม่มีความเชี่ยวชาญผู้นี้ว่า “แม่นางน้อยคนนี้ทั้งมาถามหมัด แล้วก็เป็นทั้งแขก ส่วนซุ่ยอวี๋นั้นไม่ว่าจะอายุหรือขอบเขตก็ล้วนถือเป็นผู้อาวุโสของอีกฝ่าย แล้วยังถือเป็นเจ้าบ้านครึ่งตัว ตามกฎของยุทธภพ แน่นอนว่าต้องรับหมัดก่อนหนึ่งหมัด ดังนั้นจึงจะเสียเปรียบเล็กน้อย แน่นอนว่าหมัดนี้ของแม่นางน้อยขัดเกลามาได้อย่างถึงแก่น คือรากฐานของนาง หมัดของอีกฝ่ายดี พวกเราก็ต้องยอมรับ อย่างน้อยหมัดนี้ของซุ่ยอวี๋ก็คือท่ามหานทีทอดขวางที่ข้าบรรลุมาหลังจากเห็นเจียวหลงข้ามแม่น้ำในปีนั้น แน่นอนว่าไม่มีทางแย่ไปกว่ากันแน่”

อันที่จริงหมัดขวางนทีที่หลิ่วซุ่ยอวี๋ลูกศิษย์ของตนใช้สะบั้นปณิธานหมัดของอีกฝ่ายก็มีความมหัศจรรย์มากจนเกินบรรยายเช่นกัน เพราะเป็นวิชาความรู้ทั้งหมดที่เพ่ยอาเซียงถ่ายทอดให้ลูกศิษย์

แน่นอนว่าในฐานะขอบเขตยอดเขาที่ปณิธานหมัดสมบูรณ์แบบ การที่หลิ่วซุ่ยอวี๋ขอบเขตสูงกว่าเผยเฉียนหนึ่งขั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากด้วย

ไม่อย่างนั้นหากเป็นขอบเขตเดินทางไกลกันทั้งคู่ คาดว่าการถามหมัดครั้งนี้ ลำพังอาศัยแค่หมัดนี้ของเผยเฉียน ทั้งสองฝ่ายคิดจะแบ่งแพ้ชนะก็ได้แต่แบ่งเป็นตายกันอย่างเดียวแล้ว

หลิ่วซุ่ยอวี๋ไม่เพียงแต่สะบั้นปณิธานหมัดของอีกฝ่ายด้วยหมัดเดียว หมัดที่สองยังต่อยเข้าที่จุดไท่หยางของเผยเฉียน ต่อยจนฝ่ายหลังปลิวกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง

ศีรษะของเผยเฉียนเหวี่ยงสะบัด ร่างพลิกกลับอยู่กลางอากาศ ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันพื้นแล้วพลันขยุ้มดิน พริบตาเดียวก็รั้งเรือนกายที่ลอยละลิ่วเอาไว้ได้ นางตีหลังกากลับไปด้านหลัง ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตาหลิ่วซุ่ยอวี๋ก็มาปรากฎตัวข้างกายเผยเฉียน ปล่อยหมัดออกไปครึ่งหมัด เพราะเผยเฉียนไม่ได้ไปโผล่ตรงตำแหน่งที่คาดการณ์ไว้ หากเผยเฉียนรับหมัดนี้ไป คาดว่าการถามหมัดครั้งนี้ก็น่าจะสิ้นสุดได้แล้ว หนึ่งหมัดของยอดเขาขอบเขตเก้าหากปล่อยไป เด็กรุ่นหลังคนนี้ก็จำต้องอยู่ต่อที่ศาลเหลยกงนานเป็นเดือนเพื่อสงบใจรักษาบาดแผลให้หายดี ถึงจะออกเดินทางต่อได้อีกครั้ง

หลิ่วซุ่ยอวี๋เก็บหมัดอีกครึ่งหนึ่งนั้นมา ไม่ได้ไล่ตามเรือนกายของเผยเฉียนไปต่อ เพียงหยุดยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผู้ฝึกยุทธหญิงขอบเขตยอดเขาคนนี้ตกตะลึงอยู่ในใจ ร่างกายของแม่นางน้อยแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่ออย่างมาก

เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “หากเจ้าสามารถทำให้แม่นางน้อยกลายเป็นผู้ถวายงานสกุลหลิวได้ อย่างน้อยที่สุดท่านพ่อของเจ้าก็จะได้จวนหยวนโหรวแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัวกลับคืนมา”

หลิวโยวโจวส่ายหน้า “ท่านพ่อเคยกำชับข้าไว้ว่า ห้ามทำการค้ากับสหายสนิทง่ายๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ไม่อาจเป็นเพื่อนกันอีกได้อีกต่อไป การค้าก็ยากที่จะมีจุดจบที่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนขาดทุน”

สกุลหลิวมีกฎบรรพบุรุษอยู่ข้อหนึ่ง เงินทองใต้หล้าแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือเงินเทพเซียนที่จับต้องได้จริง อีกหนึ่งคือใจคน

เพ่ยอาเซียงเอ่ยเย้ยหยัน “แม่นางน้อยเป็นสหายของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? เจ้าเคยถามนาง แล้วนางตอบตกลงแล้วหรือ?”

หลิวโยวโจวเงียบงันไม่พูดตอบ มองสตรีงดงามที่อายุไม่มากคนนั้น นางดำกว่าเงินเกล็ดหิมะเพียงเล็กน้อย

กลางอากาศสูงของศาลเหลยกง ปราณกระบี่ส่วนหนึ่งของเซี่ยซงฮวาที่ไหลรินออกไปเหมือนก้อนเมฆล่องลอยทำให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสองมีพื้นที่ให้หยัดยืน จวี่สิงโอบหีบไม้ไผ่เอาไว้ เฉามู่ถือไม้เท้าเดินป่า นางค้นพบว่าไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตนี้พอมาอยู่ในมือแล้วหนักมาก อาจารย์จึงอธิบายให้ฟัง บอกว่าไม้เท้าเดินป่าอันนี้ร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้ วัสดุที่แท้จริงคือการรวมตัวกันของของเหลวที่ลักษณะคล้ายบ่อสายฟ้า แล้วถูกคนนำมาหล่อหลอมให้มีรูปลักษณ์เป็นไม้เท้าเท่านั้น ผลคือเฉามู่กลับพูดว่าด้านในไม้เท้าเดินป่าคล้ายจะมีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์เป็นเส้นๆ อยู่ด้วย พอเซี่ยซงฮวารับเอามาถือ ลองสัมผัสกับปณิธานกระบี่ส่วนนั้นอย่างละเอียดก็ถอนหายใจเบาๆ บอกว่าเป็นของที่เซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้ามอบให้

จวี่สิงถาม “อาจารย์ ขอบเขตวิถีวรยุทธของพี่หญิงเผยตอนนี้สามารถทัดเทียมกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดได้หรือไม่?”

เซี่ยซงฮวาเอ่ยว่า “ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ หากเผยเฉียนต่อกรกับก่อกำเนิด ก็พอจะมีโอกาสชนะได้อยู่บ้าง”

แต่ว่าเพียงไม่นานเซียนกระบี่หญิงท่านนี้ก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “ต้องบอกว่าโอกาสชนะมีสูงมากถึงจะถูก”

เพราะหากเผยเฉียนผ่านศึกแห่งความเป็นความตายก็มีโอกาสมากที่จะฝ่าทะลุขอบเขตอีกครั้ง ใช้ขอบเขตยอดเขาสังหารก่อกำเนิด

เผยเฉียนเห็นว่าหลิ่วซุ่ยอวี๋เก็บหมัดหยุดยืนนิ่งจึงได้แต่รั้งร่างตัวเองให้หยุดชะงักตามไปด้วย นางขมวดคิ้วน้อยๆ คล้ายประหลาดใจว่าเหตุใดผู้อาวุโสหลิ่วถึงได้ไม่ฉวยโอกาสไล่ตามมาโจมตีต่อ นี่ทำให้กระบวนท่าหมัดที่นางเตรียมรอไว้ไม่มีโอกาสได้เอามาใช้ ก่อนหน้านี้ตรงจุดไท่หยางด้านหนึ่งโดนหมัดที่หนักมากของหลิ่วซุ่ยอวี๋ไปเต็มๆ แน่นอนว่าไม่มีทางรู้สึกดีได้แน่ เพียงแต่เผยเฉียนกลับไม่รู้สึกว่านี่ทำให้พลังการต่อสู้ของตนเสียหาย ไม่อย่างนั้นหลายปีที่นางฝึกหมัดอยู่บนเรือนไม้ไผ่ การป้อนหมัดของผู้อาวุโสหลี่เอ้อบนยอดเขาสิงโตก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าเท่านั้น สายภูเขาลั่วพั่วของนาง นับแต่อาจารย์ไปจนถึงท่านปู่ชุย ต่อให้รวมพ่อครัวเฒ่าเข้าไปด้วยอีกคน จนมาถึงตนที่คุณสมบัติแย่ที่สุด ขอบเขตต่ำที่สุด การได้รับบาดเจ็บนั้นมีประโยชน์เพียงอย่างเดียว ก็คือสามารถเอามาเพิ่มปณิธานหมัดได้! แล้วก็ถือโอกาสนำมาใช้เป็นเวทอำพรางตาได้

ถึงเวลานั้นหมัดต่อไปก็จะเป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า อีกทั้งจะเร็วยิ่งกว่าและแรงยิ่งกว่าหมัดแรกด้วย

พ่อครัวเฒ่าเคยพูดว่า ‘เว้นเสียจากว่าข้าตาย ก็จะถามหมัดไม่หยุด’

และเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของผู้ฝึกยุทธที่ฝึกหมัดก็คือออกหมัดต่อยให้สัญชาตญาณความกลัวเจ็บกลัวตายในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ตายไปก่อน

ตอนนั้นเผยเฉียนเพิ่งขึ้นไปฝึกหมัดบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ได้ไม่นาน คำพูดยามที่พ่อครัวเฒ่าเอ่ยชวนคุยยามผูกผ้ากันเปื้อนรัดเอว หยิบกระทะมาผัดอาหาร หรือไม่ก็ยามที่ใช้ทัพพีตักข้าว ทุกครั้งในเวลานั้นๆ เผยเฉียนจะทำเหมือนลมที่พัดผ่านข้างหู กระทั่งภายหลังได้ออกเดินทางท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปพร้อมกับหลี่ไหว ตอนที่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ทุกครั้งที่การเดินเท้าก็คือการฝึกหมัดซึ่งผสานรวมกันได้อย่างกลมกลืนเป็นธรรมชาติ นางถึงได้หยิบเอาถ้อยคำที่จงใจหลงลืมไปพวกนั้นกลับมาอีกครั้ง คล้ายผักดองแต่ละชิ้นที่อยู่ในไหซึ่งถูกเผยเฉียนหยิบออกมาเคี้ยวซ้ำไปซ้ำมาเสียงดังกร้วมๆ แล้วก็จะรู้สึกว่าที่แท้พ่อครัวเฒ่าก็พูดจาน่าเชื่อถืออยู่บ้าง

หลิ่วซุ่ยอวี๋ยิ้มถาม “เผยเฉียน วิชาหมัดสายของศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูไม่ใช่ได้แค่เป็นฝ่ายถูกซ้อมอย่างเดียวเท่านั้น หากออกหมัดขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่เบาแน่ การถามหมัดของพวกเราครั้งนี้จะหยุดแค่พอสมควร หรือว่าจะเอาให้เต็มคราบเต็มอิ่ม?”

เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “เลือกอย่างหลัง ต่อจากนี้ผู้อาวุโสหลิ่วไม่ต้องกังวลว่าข้าจะบาดเจ็บหรือไม่ เมื่อการถามหมัดสิ้นสุดลง ทั้งสองคนต่างก็ยังยืนอยู่ได้ นั่นย่อมไม่ถือว่าเป็นการถามหมัดแล้ว”

หลิ่วซุ่ยอวี๋พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เผยเฉียนผู้นี้ นิสัยใจคอถูกใจนางนัก

เมื่อครู่นี้ในเมื่อนางสามารถใช้กระบวนท่ามหานทีทอดขวางรับหมัดของเผยเฉียนก่อนหนึ่งหมัด แล้วค่อยสะบั้นปณิธานหมัดของอีกฝ่าย หากจะบอกว่าเป็นการถามหมัดของขอบเขตเดียวกันก็จะถือว่าถอยออกมาดูสถานการณ์เพื่อหาจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามแล้วค่อยโจมตี ชนะในหมัดแรก

แต่ถึงอย่างไรหลิ่วซุ่ยอวี๋ก็มีขอบเขตสูงกว่าเผยเฉียนหนึ่งขอบเขต อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้คู่ต่อสู้ออกหมัดอย่างเต็มที่ ถ้าอย่างนั้นหมัดนี้ก็ถือว่าสูสีกันได้อย่างถูไถ

ปลายเท้าข้างหนึ่งของเผยเฉียนขยี้บนพื้นดินเบาๆ จ้องหลิ่วซุ่ยอวี๋เขม็ง “หมัดก่อนหน้านี้ของผู้อาวุโสหลิ่วได้เผยมาดของผู้อาวุโสออกมาอย่างเต็มที่ ผู้น้อยรับน้ำใจเอาไว้แล้ว! แต่หากต่อจากนี้ยังจงใจยอมให้ข้าทุกหมัดอีก ก็เท่ากับว่าวิชาหมัดสายของศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูดูแคลนวิชาหมัดสายของภูเขาลั่วพั่วข้าแล้ว”

หลิ่วซุ่ยอวี๋หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ดี ถ้าอย่างนั้นก็จะมองผู้ฝึกยุทธภูเขาลั่วพั่วอย่างเจ้าให้สูงขึ้นสักหน่อย!”

สุดท้ายเผยเฉียนเอ่ยว่า “หากข้าแพ้ก็เป็นเพราะเผยเฉียนเรียนวิชาหมัดได้ไม่ดีพอ ไม่ใช่เพราะวิชาหมัดของภูเขาลั่วพั่วไม่สูง”

หลิ่วซุ่ยอวี๋ค่อยๆ ตั้งกระบวนท่าหมัด สองแขนของสตรีมีแสงสายฟ้าหลายเส้นตัดสลับแลบแปลบปลาบ ดวงตาทั้งคู่ของนางก็ยิ่งกลายเป็นสีทองอ่อนๆ “ไม่สนหรอกว่าจะสูงหรือไม่สูง ล้วนต้องนอนพูดกับข้าทั้งสิ้น!”

เพ่ยอาเซียงยื่นนิ้วมานวดคลึงหว่างคิ้ว “ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยคนนี้จะชอบเรียกร้องให้คนซ้อมจนเป็นความเคยชินแล้ว”

หลิวโยวโจวเอ่ย “อย่าให้ทำลายความปรองดองเลย”

เพ่ยอาเซียงยืดเอวขึ้นตรง จับขลุ่ยไม้ไผ่สีเขียวสดปลั่งจากภูเขาชิงเสินเหลานั้นเอาไว้ “ถามหมัดอย่างเลอะเลือนถึงเรียกว่าทำลายความปรองดอง ถามหมัดอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา หมัดมีแบ่งสูงต่ำ นั่นต่างหากจึงจะเป็นวิถีวรยุทธ”

หลิวโยวโจวมองสองฝ่ายที่ออกหมัดกันอยู่บนลานกว้าง ท่านน้าหลิ่วยึดครองความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แล้ว ขอบเขตของหลิวโยวโจวไม่สูงพอ ตอนนี้ยังไม่ใช่เซียนดินโอสถทอง เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร เขาถึงขั้นไม่อาจมองเห็นเรือนกายของทั้งสองฝ่ายได้อย่างชัดเจนด้วยซ้ำ ได้แต่อาศัยสีสันเสื้อผ้าของสตรีทั้งสองที่เห็นอยู่ลางๆ มาวิเคราะห์สถานการณ์ ทุกครั้งที่ท่านน้าหลิ่วออกหมัดจะต้องมีภาพฟ้าร้องฟ้าแลบ สายฟ้าตัดสลับกันวูบวาบอยู่นานก็ไม่จางหาย ดังนั้นทุกครั้งที่ออกหมัดหนึ่งหมัด บนลานกว้างก็คล้ายมีบ่อสายฟ้าที่ปณิธานหมัดสร้างขึ้นมาหนึ่งบ่อ

ท่านน้าหลิ่วเป็นราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์กองสายฟ้าที่ถูกขับลงมายังโลกมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงแล้วสายของศาลเหลยกงแห่งธวัลทวีปทุกคนที่ฝึกหมัดจนประสบความสำเร็จใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้กันหมด เหมือนเกิดมาก็ได้สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างไว้บนร่าง น้ำไฟมิอาจกล้ำกราย เวทคาถาทั่วไปก็มิอาจแหวกผ่าปณิธานหมัดขุมนั้นไปได้ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่เป็นศัตรูกับพวกเขาปวดหัวมากที่สุด เพียงแต่ว่าในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเพ่ยอาเซียงและลูกศิษย์ของลูกศิษย์ผู้สืบทอดนั้น มีหลิ่วซุ่ยอวี๋ที่ได้รับปณิธานแท้จริงของวิชาหมัดของเขาไปได้มากที่สุด

หลิ่วหมัวมัวเห็นการออกหมัดของหลิ่วซุ่ยอวี๋ลูกหลานตน หญิงชราย่อมปลาบปลื้มเกินจะหาสิ่งใดมาเปรียบ

เซี่ยซงฮวาใช้เสียงในใจเอ่ยกับลูกศิษย์ทั้งสอง “ด้านหลังของศาลเหลยกงมีเนินเขาเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง คือภูเขาเหลยฟานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เพียงแต่ว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันอยู่ใกล้กับศาลเหลยกงเล็กๆ แห่งนี้ ภูเขาลูกนั้นคือสถานที่หลอมศาสตราวุธของสิ่งศักดิ์สิทธิ์กองสายฟ้าในยุคบรรพกาลในตำนาน จวี่สิง ‘เหลยเจ๋อ’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจ้าเหมาะที่จะมาหล่อหลอมอยู่ที่นี่มากที่สุด เพราะจะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ผลลัพธ์มากเป็นเท่าตัว กระบี่บินเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเรา หากสามารถเลื่อนขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนได้ เมื่อเทียบกับอาวุธกึ่งเซียนที่ผ่านการหลอมใหญ่ของผู้ฝึกลมปราณแล้ว อันที่จริงมีความต่างราวฟ้ากับเหว”

แน่นอนว่าเงินเทพเซียน วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินที่ผู้ฝึกกระบี่จำเป็นต้องหล่อหลอมก็คือหลุมไร้ก้นแห่งหนึ่งที่กินเงินทองไปนับไม่ถ้วน เหนือกว่าผู้ฝึกลมปราณประเภทอื่นๆ มากนัก นี่ก็ยิ่งเป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน

ยกตัวอย่างเช่นหากจวี่สิงมาหลอมกระบี่อยู่ที่ภูเขาเหลยฟานแห่งนี้ เซี่ยซงฮวาก็ต้องเตรียมสมบัติอาคมที่ใช้ในการโจมตีสามชิ้นและเงินฝนธัญพืชอีกก้อนใหญ่ไว้เป็นค่าตอบแทนสำหรับเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกง แต่ปัญหาก็คือไม่แน่เสมอไปว่าเพ่ยอาเซียงจะตอบตกลง

นี่จำเป็นต้องให้กระบี่ที่อยู่ในกล่องไม้ไผ่ด้านหลังของเซี่ยซงฮวามาทำหน้าที่หั่นราคา

เฉามู่เอ่ยอย่างอารมณ์ดี “คำประเมินของคฤหาสน์หลบร้อน ได้จัด ‘เหลยเจ๋อ’ ของจวี่สิงไว้ในลำดับรองขั้นกลาง ระดับขั้นจึงสูงมากๆ แล้ว”

กระบี่บินลำดับหนึ่งทุกเล่มของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ยกตัวอย่างเช่นน้ำค้างหวานของอู๋เฉิงเพ่ย เหมาะสำหรับการเข่นฆ่าในวงกว้างบนสนามรบเป็นที่สุด ดังนั้นจึงมีน้อยจนนับนิ้วได้ ส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทางคฤหาสน์หลบร้อนนำมาจัดวางไว้ในแผนการรบ หากต้องเอาไปต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกกระบี่ด้วยกันจริงๆ กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะได้เปรียบ

เป็นเหตุให้หากออกมาจากสนามรบ การจับคู่เข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนบนภูเขาที่มีมากกว่า กลับกลายเป็นว่ากระบี่บินลำดับรองที่สายอิ่นกวานประเมินออกมาต่างหากที่ถึงจะมีพลังพิฆาตโดดเด่นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตในลำดับรองขั้นบนที่ทุกเล่มล้วนได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้งเหมือนกันทุกเล่ม ยกตัวอย่างเช่น ‘ป๋ายลู่’ ของเฉินซานชิวที่ก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ด้านโชคชะตาบุ๋นถึงเลื่อนขั้นมาเป็นลำดับรองได้

ส่วน ‘เหลยเจ๋อ’ ของจวี่สิงนั้น ในเมื่อได้รับการประเมินให้อยู่ใน ‘ลำดับรองขั้นกลาง’ แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะวิชาอภินิหารของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวอ่อนเซียนกระบี่อย่างจวี่สิงผู้นี้ ทั้งสามารถจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่นโดยมีพลังพิฆาตมหาศาล แล้วยังเหมาะให้เอาลงสนามรบเพราะสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์ได้หลากหลาย

หันกลับมามองแม่นางน้อยเฉามู่ แม่ว่านางจะมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่าง ‘พางถัว’ ‘หงหนี’ แต่กลับถูกประเมินให้อยู่แค่ในลำดับสองขั้นล่างและลำดับสามขั้นบนเท่านั้น

แต่คำว่า ‘แค่’ นี้ก็เพียงแค่เปรียบเทียบกับจวี่สิงเท่านั้น นอกจากลำดับหนึ่งแล้ว หากได้อยู่ในสองลำดับอย่างสองและสาม และหกขั้นอย่างบนกลางกล่างรวมกัน อันที่จริงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทุกเล่มล้วนถือว่าดีทั้งหมด

จวี่สิง เฉามู่ข้างกายเซี่ยซงฮวา รวมไปถึงเฉินหลี่ เกาโย่วชิงที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของลี่ไฉ่ ตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ถูกพวกเซียนกระบี่พาออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านี้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาล้วนอยู่ในลำดับสองและสามทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่าระดับขั้นของกระบี่บินคือเรื่องหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียงการประเมินบนหน้ากระดาษเท่านั้น ลงสนามรบเข่นฆ่าอย่างแท้จริงก็คืออีกเรื่องหนึ่ง ใต้หล้านี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน เรื่องไม่คาดฝันมักจะเกิดขึ้นได้เสมอ

ก็เหมือนวงการขุนนางล่างภูเขา มีชาติกำเนิดจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลินคิดจะได้เป็นขุนนางใหญ่ ได้รับการอวยยศที่ไพเราะ ถึงอย่างไรก็สามารถทำได้ง่ายกว่าพวกขุนนางที่มาจากตำแหน่งจิ้นซื่อ