จวี่สิงเอ่ยด้วยสีหน้าดื้อรั้น “อาจารย์ ข้าไม่ใคร่ยินดีจะขอยืมมือคนอื่นมาช่วยหล่อเลี้ยงกระบี่บิน”
แต่เขาก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่หากอาจารย์ยืนกรานจะทำเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีทางเกียจคร้านในการหลอมกระบี่”
จวี่สิงพูดอย่างนี้คล้ายต้องการระบายอารมณ์
เฉามู่จึงเป็นกังวลว่าอาจารย์จะขุ่นเคือง
เซี่ยซงฮวายื่นมือไปกดศีรษะของเด็กชาย พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “อิ่นกวานเคยบอกว่า หลังจากที่พวกเจ้ามาถึงใต้หล้าไพศาลแล้ว ห้ามทำอะไรโดยใช้อารมณ์เด็ดขาด ต้องเรียนรู้ที่จะเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ก็เหมือนเขาที่พอไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเคารพขนบธรรมเนียมประเพณีทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเจ้าก่อน จวี่สิง ความหวังที่อิ่นกวานมีต่อพวกเจ้า เจ้าทำได้ไหม?”
จวี่สิงอืมรับหนึ่งที สายตาฉายประกายสดใส พยักหน้ารับอย่างแรง “จดหมายฉบับนั้นที่ใต้เท้าอิ่นกวานฝากเติ้งเหลียงมาส่งให้อาจารย์ ข้ามักจะหยิบมาอ่านบ่อยๆ ในจดหมายบอกไว้แล้วว่าให้พวกเราเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ละอย่างของใต้หล้าไพศาลไปช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน แต่ก็ต้องตั้งใจจดจำเอาไว้ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ล้วนต้องมองดูให้มาก มองแล้วยังต้องคิดให้มากด้วยว่าเพราะอะไร ช่วงท้ายของจดหมายยังกำชับพวกเราว่าจะต้องตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี รอให้ขอบเขตสูงแล้ว อย่างน้อยที่สุดคือสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ค่อยไปใช้เหตุผลกับคนอื่น”
จากนั้นจวี่สิงก็ชำเลืองตามองแม่นางน้อยที่ถือไม้เท้าเดินป่ายืนอยู่ด้านข้าง แล้วยิ้มเอ่ยกับอาจารย์ว่า “ในจดหมายใต้เท้าอิ่นกวานสั่งสอนข้าค่อนข้างมาก แต่เฉามู่กลับไม่ใช่ เขาเขียนแค่ไม่กี่ประโยคเหมือนเต้าหู้ก้อนเล็กๆ ก้อนเดียว ดูท่าแล้วใต้เท้าอิ่นกวานก็คงรู้ว่านางไม่มีทางได้ดิบได้ดี อาจารย์ท่านวางใจเถอะ มีแค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
แม่นางน้อยยู่หน้าด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ น้ำตาคลอเจียนจะหยด อยากร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้อง ท่าทางน่าสงสารนัก
จวี่สิงเห็นท่าทางของเฉามู่แล้วก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างที่หาได้ยาก อันที่จริงตอนอยู่นครโถวหนีพี่หญิงเผยเคยมาพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว บอกว่าวันหน้าอย่าเอาแต่ตีหน้าเคร่งใส่เฉามู่ เพราะเฉามู่คือแม่นางน้อย ส่วนเจ้าคือเด็กผู้ชาย รังแกนางไม่ถือเป็นความสามารถ พวกเจ้าทั้งเป็นคนบ้านเดียวกัน แล้วยังเป็นคนร่วมสำนัก นับว่ามีวาสนาต่อกันซึ่งหาได้ยากมากแล้ว ดังนั้นเจ้าควรปกป้องนางให้มาก อย่างน้อยที่สุดก็ห้ามปล่อยให้นางถูกคนนอกรังแก
จวี่สิงรู้สึกว่าคำพูดของพี่หญิงเผยมีเหตุผลมาก จึงตบอกรับรองกับนางไป เพียงแต่ว่าบางครั้งเขาก็อดพูดเหน็บแนมเฉามู่สองสามคำไม่ไหวจริงๆ นี่นา
อีกอย่างตนก็ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่มีคนนอกที่ไหนมารังแกเจ้าเด็กโง่เฉามู่ผู้นี้ อาจารย์ช่างดียิ่งนัก อยู่ในธวัลทวีปไม่เคยมีศัตรูคนใด เรื่องนี้ก็ทำให้ศิษย์กลัดกลุ้มใจเหลือเกิน
บนลานกว้าง เผยเฉียนถูกหลิ่วซุ่ยอวี๋ถองศอกเข้าที่ใบหน้า ร่างหงายผลึ่งลงพื้นดังปัง แต่นางรีบยกสองมือขึ้นมาป้องกันปลายเท้าที่เหวี่ยงเข้ามาตรงหัวใจอย่างฉับไว
หากถูกลูกถีบนี้เข้า การถามหมัดก็คงจะต้องยุติลงแล้ว
ร่างทั้งร่างของเผยเฉียนไถลครูดไปบนพื้นไกลหลายสิบจั้ง
เพิ่งจะใช้ฝ่ามือตบพื้นพลิ้วกายลุกขึ้นยืน หลิ่วซุ่ยอวี๋ที่เป็นเหมือนเงาตามติดก็ตีเข่าเข้าที่หน้าอกของนาง
หญิงสาวเรือนกายผอมเพรียวกระเด็นลิ่วไปพร้อมเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ก่อนจะร่วงกระแทกลงกับพื้น
ยามที่สองเท้าของหลิ่วซุ่ยอวี๋สัมผัสพื้น นางก็พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ
ออกหมัดขอบเขตเก้าติดต่อกันหลายหมัด แม้ว่าไม่ได้ใช้พละกำลังของขอบเขตยอดเขาในทุกหมัด แต่ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธกลับประคองตัวได้เพียงเท่านี้
หลิวโยวโจวรู้สึกว่าการถามหมัดในวันนี้น่าจะพอถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็สาสมใจกันแล้ว เขาเห็นหญิงสาวที่ลุกขึ้นยืน ถ่มเลือดลงบนพื้น แต่นางกลับตั้งท่าหมัดขึ้นมาอีกครั้ง ดูจากท่าทางนางแล้ว เหมือนไม่รู้สึกรู้สากับอาการบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย อยู่ดีๆ ก็ทำให้เขานึกถึงซากปรักสนามรบโบราณของเกราะทองทวีปในปีนั้นขึ้นมา ตอนที่อวี้เจวี้ยนฟูถามหมัดต่อเฉาสือก็เป็นเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ เพียงแต่ว่าก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน แต่หากจะให้บอกว่าไม่เหมือนกันตรงไหน หลิวโยวโจวไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธจึงอธิบายไม่ถูก หรือจะเป็นเพราะอวี้เจวี้ยนฟูรู้ตัวดีว่าตนสู้คู่ต่อสู้ไม่ได้?
ทว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาซึ่งประหลาดอย่างถึงที่สุดคนนี้กลับไม่แน่เสมอไปที่จะคิดว่าตัวเองสู้ท่านน้าหลิ่วไม่ได้? แต่ยิ่งเจ้าเป็นเช่นนี้ ด้วยนิสัยคลั่งใคล้ในวรยุทธของท่านน้าหลิ่ว ก็มีแต่จะยิ่งทำให้นางออกหมัดหนักกว่าเดิม
หลิวโยวโจวรู้สึกทนมองต่อไปไม่ไหว จึงหันไปชำเลืองตามองขลุ่ยไม้ไผ่ในมือของเพ่ยอาเซียง ถามว่า “อาเซียง ไม้ไผ่บรรพบุรุษที่อยู่บนภูเขาชิงเสินพวกนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ออกจากถ้ำสวรรค์จู๋ไห่มาน้อยมากๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นฮูหยินท่านนั้นที่มอบให้คนอื่นกับมือตัวเอง ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลซึ่งรวมสวนกงหลินของศาลบุ๋นไว้ด้วยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีอยู่แค่ประมาณสี่ห้าจุดเท่านั้น ไม่พูดถึงไผ่เขียวธรรมดาของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ ชิ้นงานที่ทำจากไม้ไผ่บรรพบุรุษทุกชิ้นล้วนมีการลงบันทึกไว้ในจวนเทพภูเขาอย่างแม่นยำ แต่ดูเหมือนว่าขลุ่ยไม้ไผ่เลานี้ของเจ้าจะไม่มีการบันทึกไว้ เรื่องเป็นมาอย่างไรหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าถามท่านน้าหลิ่ว แต่ท่านน้าหลิ่วกลับเอาแต่บอกว่าไม่รู้”
เพ่ยอาเซียงได้ยินคำถามนี้สีหน้าก็เหยเกไปเล็กน้อย เขาส่ายหน้า หมุนขลุ่ยไม้ไผ่ในมือเล่นเบาๆ ไข่มุกสีออกเหลืองที่ห้อยย้อยจากพู่เม็ดนั้นกระทบตัวไม้ไผ่ส่งเสียงดังเสนาะหู เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “เรื่องในอดีตไม่อยากพูดถึง”
หลิวโยวโจวไม่กลัวเรื่องนี้มากที่สุด รีบกดเสียงลงต่ำทันที “เงินจ้างผู้ถวายงานช่วงสิบปีล่าสุดนี้จะเพิ่มอีกเท่าตัว”
เพ่ยอาเซียงชูสองนิ้ว
หลิวโยวโจวปัดนิ้วของเพ่ยอาเซียงทิ้งไป ยิ้มกล่าว “อาเซียงเป็นคนทำอะไรรวดเร็วฉับไวจริงๆ ตกลง!”
เพ่ยอาเซียงถึงได้เอ่ยว่า “เคยได้ยินชื่อเจ้าตะพาบนามว่าอาเหลียงหรือไม่?”
หลิวโยวโจวพยักหน้ารับ “อาเซียงเจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของผู้อาวุโสท่านนั้นประหนึ่งฟ้าผ่าอยู่ข้างหูเชียวนะ อีกอย่างอาหญิงของข้าก็คิดถึงคำนึงหาบุรุษคนนั้นมาโดยตลอด คนทั้งธวัลทวีปมีใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้? หนึ่งหมัดต่อยให้ลำน้ำใหญ่ของแผ่นดินกลางขาดสะบั้น แล้วยังเคยยกขุนเขาบรรพบุรุษของสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งย้ายไปไกลหลายสิบลี้ เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ข้านับถือเขามากที่สุด ได้ยินมาว่าก่อนเขาจะต่อสู้กับใครมักจะชอบท่องบทกวีก่อนหนึ่งบท ข้าเลื่อมใสเขาเรื่องนี้ที่สุดเลย เขาแต่งตั้งตัวเองให้เป็น ‘ผีเสื้อน้อยเสเพลในหมู่มวลบุปผา พี่ชายรูปงามของละแวกใกล้เคียง’ ในสายตาของข้า นี่ต้องไม่ใช่ฉายาที่เลื่อนลอยอย่างแน่นอน เทพธิดาที่หลงรักชื่นชมเขามีมากมายจริงๆ”
หลิ่วหมัวมัวฟังด้วยความกังวลใจ
ขออย่าให้นายน้อยของตนเอาอย่างบุรุษผู้นั้นเลย
เพ่ยอาเซียงยกนิ้วชี้ไปที่ขลุ่ยไม้ไผ่เลานั้น “ถูกคนผู้นั้นซ้อมไปรอบหนึ่ง หลังจบเรื่องก็ชดใช้ให้ด้วยของสิ่งนี้”
หลิวโยวโจวเรื่องไหนไม่พูดดันพูดเรื่องที่แทงใจคน “พวกเจ้ากี่คนรุมหาเรื่องเขาคนเดียว?”
เพ่ยอาเซียงเอ่ยอย่างระอาใจ “ห้าหกคนกระมัง”
หลิวโยวโจวตบไหล่เขาเบาๆ “อาเซียงเจ้าใช้ได้เลยนี่นา หากเรื่องนี้เล่าลือกันไปก็มีหน้ามีตาแล้ว”
เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ”
ไม่น่าอายเลยจริงๆ เพราะถึงอย่างไรก็เคยมีคนสิบคนบนภูเขาล้อมฆ่าคนคนเดียว ผลกลับกลายเป็นว่ามีเพียงคนเดียวที่หนีรอดไปได้
อันที่จริงตอนที่อยู่ในใต้หล้าไพศาล เวทกระบี่ของคนผู้นั้นไม่ถือว่าโดดเด่น เป็นเพราะตอนหลังไปหาประสบการณ์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ร้อยปี ใช้กระบี่สังหารปีศาจใหญ่ยอดเขาของขอบเขตบินทะยานได้ คนของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ถูกเขาสร้างหายนะให้จนชินแล้ว ถึงได้พลันกระจ่างแจ้งว่า ที่แท้เจ้าชาติสุนัขผู้นั้นก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนยังเป็นเพราะเขาลงมือแบบออมกำลัง ซ่อนฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ ส่วนเรื่องที่ภายหลังคนผู้นี้บินทะยานออกจากใต้หล้าไพศาลไปยังฟ้านอกฟ้า สุดท้ายแลกหมัดกับเต๋าเหล่าเอ้อ ‘ผู้ไร้พ่ายที่แท้จริง’ แห่งป๋ายอวี้จิง ต่างฝ่ายต่างต่อยให้อีกฝ่ายกลับมายังใต้หล้าบ้านเกิดของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้คนอ้าปากค้างได้เลย
อยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกับคนวัยเดียวกันบางคน ดูเหมือนว่าจะทั้งมีค่าพอให้รู้สึกเป็นเกียรติ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้ารันทดไปด้วย
ก็เหมือนกลุ่มของเพ่ยอาเซียงที่ได้เจอกับอาเหลียงผู้นั้น
ย้อนไปไกลยิ่งกว่าคือคนที่ได้เจอกับผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ซึ่งใช้หนึ่งกระบี่ชักนำน้ำจากฟากฟ้า
ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ทุกคนในใต้หล้าก็ได้เจอกับเฉาสือ รวมไปถึง ‘อิ่นกวาน’ อันดับที่สิบเอ็ดคนนั้น
เพ่ยอาเซียงคิดมาถึงตรงนี้ก็ชำเลืองตามองคนสองคนที่ยังประลองวิชาหมัดกันอยู่บนลานกว้าง
เผยเฉียนถูกหลิ่วซุ่ยอวี๋ฟาดเท้าเตะจนร่างส่ายไหวอีกครั้ง หลังจากฝืนหยัดร่างให้มั่นคงก็ถูกหลิ่วซุ่ยวอี๋ปล่อยหมัดออกมาติดต่อกันหกหมัด หน้าผาก ข้างแก้ม ลำคอ ล้วนโดนที่ละสองหมัด
การออกสองหมัดซ้ำที่เดิมนี้ก็คือแก่นของวิชาหมัดศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหู มีชื่อว่า ‘ฟ้าร้องทับซ้อน’ คือกระบวนท่าหนึ่งที่เพ่ยอาเซียงเพิ่งบรรลุมาใหม่หลังจากเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบ หวนกลับคืนสู่ธรรมชาติความเป็นจริง มองดูเหมือนเป็นกระบวนหมัดที่เหมือนกัน แต่ปณิธานหมัดกลับตรงกันข้ามกันพอดี สามารถทำร้ายปณิธานหมัดของผู้ฝึกยุทธหรือไม่ก็ช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกลมปราณให้บาดเจ็บสาหัสได้ดีที่สุด
สุดท้ายตรงหน้าอกของเผยเฉียนถูกหมัดหนักๆ กระแทกสองทีซ้อน เท้าสองข้างลอยพ้นจากพื้น ก่อนที่ร่างจะร่วงลงพื้นอย่างหมดสภาพ
ทว่าเด็กสาวผอมบางที่อายุแค่ยี่สิบต้นๆ กลับใช้ข้อศอกแตะพื้น บิดตัวพลิกกลับแล้วยังสามารถพลิ้วกายลุกขึ้นยืนในทันทีทันใดได้อีก นางได้รับบาดเจ็บไม่เบา เห็นชัดๆ ว่าผลแพ้ชนะของทั้งสองฝ่ายปรากฏแล้ว ทว่าปณิธานหมัดบนร่างของแม่นางน้อยคนนั้นไม่ร่วงไม่ลดกลับกันยังพุ่งยังเพิ่มขึ้นมาอีก
เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลแล้วคือเรื่องเล็ก
เพ่ยอาเซียงพยักหน้าเบาๆ
สีหน้าของหลิ่วซุ่ยอวี๋เปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียดอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังมีไฟโทสะนิดๆ ด้วย
ตนผลัดเปลี่ยนลมปราณที่แท้จริงถึงสองครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับยังไม่ได้เปลี่ยนแม้แต่ครั้งเดียว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพราะปณิธานหมัดที่ทอดยาวของนางอ่อนด้อยกว่าอีกฝ่าย แต่เป็นเพราะใจนางคิดจะสอนวิชาหมัด คิดจะป้อนหมัดมากกว่า ดังนั้นถึงได้เป็นฝ่ายผลัดเปลี่ยนลมปราณที่แท้จริงถึงสองครั้ง ทว่าแม่นางน้อยคนนี้ก็ดื้อดึงเกินไปหน่อยหรือไม่ คิดว่าวิชาหมัดของศาลเหลยกงจังหวัดหม่าหูสู้ภูเขาลั่วพั่วของเจ้าไม่ได้จริงๆ หรือ? หรือว่าตั้งแต่แรกก็ตัดสินใจแล้วว่าจะชั่งน้ำหนักหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าบนยอดเขาอย่างนางหลิ่วซุ่ยอวี๋ว่ามีน้ำหนักมากแค่ไหนกันแน่?
จวี่สิงและเฉามู่ที่มองดูอยู่ต่างก็ตื่นเต้นระคนตึงเครียด
พวกเขาเพิ่งจะค้นพบว่าที่แท้ยามที่พี่หญิงเผยถามหมัดกับคนอื่น กับพี่หญิงเผยที่เอาจริงเอาจังยามคัดตัวอักษร ยามที่เงียบขรึมเวลาเดินทางไกล หรือยามที่พูดคุยหัวเราะยิ้มกว้าง ราวกับเป็นคนละคนกันเลย
ส่วนเซี่ยซงฮวานั้นก็ต้องทอดถอนใจไม่หยุด อิ่นกวานรับลูกศิษย์ สายตาใช้ได้เลย
โอกาสที่เฉินผิงอันได้สอนวิชาหมัดแก่เผยเฉียนอย่างแท้จริงต้องมีไม่มากแน่นอน เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เผยเฉียนก็อายุเพียงเท่านั้น ส่วนเฉินผิงอันก็ไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่นานแล้ว
ดังนั้นภูเขาลั่วพั่วที่มีเมฆหมอกล้อมบัง ชื่อเสียงไม่โดดเด่นในทวีปมาตลอดเวลา จะต้องมียอดฝีมืออีกคนที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนภูเขาแน่นอน
ส่วนเรื่องที่หลิวโยวโจวรู้จักภูเขาลั่วพั่วมาตั้งนานแล้ว สาเหตุก็เพราะว่าที่ท่านเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปในอนาคตผู้นี้ว่างงานมากเกินไป
ในสายตาของเซี่ยซงฮวา อาจารย์และศิษย์สองคนอย่างเฉินผิงอันกับเผยเฉียนนี้ จิงเสินชี่ที่อยู่ในกระดูกของพวกเขาเหมือนกันเกินไป เรียกได้ว่าแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลย
แต่พอลองมาดูวิชาหมัดกระบวนท่าหมัดที่เลือกใช้รับมือกับศัตรู ทั้งสองฝ่ายกลับไม่เหมือนกันนัก เผยเฉียนที่อยู่ตรงหน้าออกหมัดรุดไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด ใช้ความคิดและตรรกะแบบเดียวในการทำเรื่องต่างๆ
ส่วนเฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์ของเผยเฉียนกลับชอบที่จะครุ่นคิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบ น้อยครั้งนักที่จะแสวงหาคำว่าสาแก่ใจเต็มคราบ กระบวนท่าหมัดมีมากมาย วิชาหมัดก็เปลี่ยนอยู่ตลอดไม่แน่นอน เน้นปรับไปตามคนโอกาสเวลาและสถานที่ แทบจะเรียกได้ว่าคอยหาจุดด้อยของศัตรูอยู่ตลอด ทุกหมัดล้วนมีการปูพื้นและวางแผนมาก่อนแล้ว สุดท้ายต้องได้ผลประโยชน์ที่ใหญ่หลวงที่สุด แต่เผยเฉียนกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง ยามออกหมัด บนร่างมีกลิ่นอายความองอาจดุจดั่งเบื้องหน้าไร้ผู้ใด ราวกับว่านางที่อายุน้อยๆ ก็เข้าใจคำว่า ‘ฟ้าดินไร้คนอื่น ถามหมัดเพียงแค่ถามตัวเองเท่านั้น’ แล้ว
ถึงอย่างไรเซี่ยซงฮวาก็คือเซียนกระบี่ที่ชอบเดินทางออกท่องเที่ยว จึงเคยสัมผัสกับพวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบของหลิวเสียทวีป เกราะทองทวีปมาก่อน และยังมีสหายสนิทอยู่บ้าง สองคนในนั้นคือผู้เฒ่าขอบเขตปลายทางที่วิชาหมัดและนิสัยใจคอแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องเดียวที่เหมือนกันก็คือต่างก็เลื่อมใสในดินแดนที่ลี้ลับลึกล้ำอย่าง ‘ฟ้าดินโบราณพันปี หนึ่งคนสองหมัด’ อย่างถึงที่สุด เพียงแต่ว่าหลักการเหตุผลที่ยิ่งใหญ่นี้ พูดแล้วเหมือนง่าย คนนอกฟังแล้วก็เหมือนว่าจะเข้าใจได้ไม่ยาก มีเพียงการก้าวเดินบนเส้นทางซึ่งมุ่งหน้าไปยังที่แห่งนี้อย่างแท้จริงเท่านั้นที่กลับล่องลอยเกินไป ยากที่จะใช้วรยุทธของทั้งร่างมาแสดงออกให้เป็นมหามรรคาส่วนนี้ ยากมากจริงๆ
เพียงแต่เซี่ยซงฮวาก็มีข้อสงสัยอีกว่า ในเมื่อตอนอยู่บ้านเกิด เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันน้อยครั้ง เวลาที่แยกจากกันมีมากกว่า เหตุใดเผยถึงได้เคารพอาจารย์ของตัวเองมากขนาดนั้น?
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของนางอย่างจวี่สิงเฉามู่เด็กสองคนนี้ แน่นอนว่าเป็นเด็กรู้ความ กตัญญูรู้บุญคุณ ไม่เพียงแต่มองนางเป็นคนสำคัญ ยังเห็นนางเป็นเหมือนผู้อาวุโสที่เป็นญาติสนิท ดังนั้นเซี่ยซงฮวาจึงพอใจอย่างมาก ไม่อาจหาข้อตำหนิติเตียนใดๆ จากพวกลูกศิษย์ของตนได้ แต่เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันในใจของเผยเฉียนแล้วกลับคล้ายว่าจะยังมีบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน
แม้จะบอกว่าคนในยุทธภพมีคำกล่าวที่โบราณคร่ำครึว่าเลือกอาจารย์ก็เหมือนเลือกไปเกิดในครรภ์ อาจารย์และศิษย์เหมือนบิดากับบุตร ทว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น เมื่ออยู่ในใจในสายตาของลูกศิษย์อย่างเผยเฉียนแล้วก็ราวกับว่าฟ้าดิน ผู้ปกครอง ญาติและอาจารย์ได้มารวมกันอยู่ในตัวเขาคนเดียว
เรื่องของการเลี้ยงดูเด็กๆ นี้ ยังคงเป็นอิ่นกวานหนุ่มที่เชี่ยวชาญจริงๆ เสียด้วย
เซี่ยซงฮวาได้แต่เข้าใจเช่นนี้แล้ว
เพ่ยอาเซียงที่จับตามองการถามหมัดในลานกว้างอยู่ตลอดเวลาจุ๊ปากเอ่ย “สามารถถามหมัดเช่นนี้ได้ ผลประโยชน์ต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าซุ่ยอวี๋อาจจะได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างที่คาดไม่ถึงก็ได้”
หลิวโยวโจวพึมพำว่า “ประวัติความเป็นมาของขลุ่ยไม้ไผ่ อาเซียงเจ้ายังไม่ได้เล่าให้ฟังเลยนะ เงินผู้ถวายงานก้อนนั้น ผู้น้อยยินดีมอบให้ แต่ผู้อาวุโสจะกล้ารับงั้นหรือ?”
เพ่ยอาเซียงยิ้มกล่าว “ไม่มีอะไรที่เล่าให้ฟังไม่ได้หรอก แต่เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปซะ อย่าได้เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังไปทั่ว”
หลิวโยวโจวพยักหน้ารับ
ที่แท้ในอดีตครั้งที่อยู่ในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ทัศนียภาพงดงามเลิศล้ำอย่างถึงที่สุด ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของธวัลทวีป ในช่วงเวลาที่เพ่ยอาเซียงฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาเป็นที่สุด ตอนนั้นในฐานะของแขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงขุนเขาสายน้ำของภูเขาชิงเสิน เพ่ยอาเซียงเคยท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานร่วมกับสหายรักหลายคน และตอนนั้นก็ได้เกิดเหตุวิวาทกับบุรุษสกปรกที่แอบมาขุดหน่อไม้ ขุดรากไผ่อย่างลับๆ ล่อๆ คนหนึ่ง เขาไม่เคยเจอใครที่ไร้ยางอายเช่นนั้นมาก่อน ตอนแรกบอกว่าตัวเองคือเทพแห่งพื้นดินของภูเขาชิงเสิน ต้องการขุดเอาหน่อไม้ไปเลี้ยงรับรองแขกผู้สูงศักดิ์ ภายหลังพอถูกคนแฉก็บอกว่าตนคือแขกผู้มีเกียรติในงานเลี้ยงส่วนตัวของฮูหยินภูเขาชิงเสิน แค่มาขุดหน่อไม้นิดหน่อยจะเป็นไรไป ผลคือเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งรีบส่งข่าวไปรายงานเทพภูเขาทันที คนผู้นั้นก็ใจกล้าไม่เบา ยืนเอนตัวพิงไม้ไผ่ต้นหนึ่ง ยกสองแขนกอดอก บอกว่าพวกเจ้ามาหาเรื่องข้าก็ถือว่าเป็นคราวซวยของพวกเจ้าแล้ว รอให้ถูกฮูหยินขับไล่เมื่อไหร่ วันหน้าหากพวกเจ้ายังเข้ามาในถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ได้อีกแม้แต่ครึ่งก้าว ข้าผู้อาวุโสก็จะใช้แซ่เดียวกับพวกเจ้า
จากนั้นทางฝั่งของจวนเทพภูเขาก็ตอบกลับมาว่า ฮูหยินไม่รู้จักคนผู้นี้ ดังนั้นพวกเพ่ยอาเซียงจึงรุมไล่ตีโจรหนาด้านผู้นั้นเหมือนไล่ตีสุนัข ตอนแรกก็ไม่มีใครคิดเอาจริงเอาจัง เพียงแค่หาเรื่องสนุกทำเสียมากกว่า เพียงแต่ว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งไม่ระวังออกกระบี่หนักเกินไปหน่อย คนผู้นั้นจึงโหวกเหวกขึ้นมาว่า ‘หนึ่งหมัดสำหรับหนึ่งพี่น้อง’ แล้วก็ซัดพวกเขาทุกคนจนหมอบ ไม่เพียงเท่านี้ ชายฉกรรจ์คนนั้นยังฝังทุกคนลงดิน บอกว่าพรุ่งนี้จะมีเซียนกระบี่หยกดิบและผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขางอกงามขึ้นมาอีกเยอะมาก ถือเสียว่านี่เป็นของขวัญที่เขามอบตอบแทนแก่ภูเขาชิงเสินก็แล้วกัน
ตอนที่คนผู้นั้นฝังเพ่ยอาเซียง ได้ถามเพ่ยอาเซียงว่าวิชาหมัดของตัวเขาเองเป็นอย่างไร
มีคนผู้หนึ่งคิดจะแหวกดินออกมา แต่กลับถูกอีกฝ่ายปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้หมดสติไป ทุกคนที่ถูกฝังอยู่ในดินโผล่มาแต่หัว มองดูเหมือนหน่อไม้หลังฝนฤดูใบไม้ผลิที่แตกยอดอ่อนแทงดิน
เพ่ยอาเซียงไม่กล้าขยับ ด้วยกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องอัปยศใส่ตัว
ก่อนหน้านี้สหายรักเซียนกระบี่ที่อายุน้อยที่สุดถูกดินกลบเยอะที่สุด เพราะบุรุษผู้นั้นโกยดินมากลบคนพลางบ่นพึมพำไปด้วย บอกว่าเซียนกระบี่อย่างพวกเจ้านี่แหละที่มีเยอะที่สุด สง่างามมากที่สุด น่ารำคาญเสียจริง วันนี้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้าแล้ว เป็นไงล่ะ…