บทที่ 1928 จ้าวเหมยเป็นมือที่สาม + ตอนที่ 1929 เอาหลักฐานออกมากาง

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1928 จ้าวเหมยเป็นมือที่สาม

คอมพิวเตอร์ที่มีเครื่องซีพียูรุ่น 386 ถูกนักศึกษาคนอื่น ๆจับจองไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงรุ่น 286 ซึ่งเครื่องที่เหมยเหมยเปิดใช้งานก็คือรุ่น 286 จึงตอบสนองช้า ไฟหน้าจอกะพริบอยู่หลายครั้งและช้ายิ่งกว่าเต่าเสียอีก

ขณะที่เหมยเหมยเกือบจะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ ในที่สุดคอมพิวเตอร์ก็เปิดใช้งานได้สำเร็จสักที เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสอนให้เธอเข้าไปในกระทู้ประจำมหาวิทยาลัย เพิ่งกดเข้าไปเหมยเหมยก็เห็นรูปถ่ายสวยงามรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปที่เธอกับเหยียนหมิงซุ่นกอดจูบกันอย่างดูดดื่มพอดี

หากบอกตามตรงรูปนี้ถ่ายได้ไม่เลวเลยจริง ๆ ไม่ว่าจะเรื่องมุมหรือแสงไม่มีที่ติเลย สามารถเอาไปใช้เป็นรูปหน้าปกนิตยสารได้เลย

คนที่ปล่อยรูปนี้เป็นนักศึกษาประจำมหาวิทยาลัยเมืองหลวง เธอได้ข่าวว่าเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพที่ไม่ทราบชื่อสกุลที่แท้จริง แต่กลับมีฉายาในโลกอินเตอร์เน็ตนามว่า ‘ชางไห่อี๋เซี่ยว’

ผลงานของเขาได้รับรางวัลจากทั่วประเทศมามากมายจึงพอมีชื่อเสียงในวงการช่างภาพเมืองหลวงอยู่บ้าง เขาเป็นผู้ใช้งานกระทู้มหาวิทยาลัยบ่อย ๆ เพราะเขามักปล่อยผลงานที่ตนพึงพอใจในกระทู้เป็นระยะ ๆเพื่อให้อาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยวิพากษ์วิจารณ์

อีกอย่างผลงานส่วนมากของเขาก็ได้มาจากรั้วมหาวิทยาลัยเมืองหลวงแทบทั้งสิ้น รวมถึงภาพทิวทัศน์รอบเมืองที่ล้วนเป็นสถานที่อันคุ้นตาของทุกคน ภาพปกติที่ดูคุ้นเคยกันดีกลับดูงดงามเป็นพิเศษยามอยู่ภายใต้เลนส์กล้องของเขาราวกับถูกยกระดับขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

นักศึกษาที่ได้ฉายาว่าชางไห่อี๋เซี่ยวก็ได้เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองคืนคริสต์มาสอีฟเมื่อคืนเช่นกัน ซึ่งเป้าหมายของเขาคือการถ่ายภาพ เดิมทีคิดว่าคงไม่มีเรื่องเซอร์ไพรส์อะไรแต่เขากลับเจอคู่เหมยเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นเข้าเลยดีใจพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายภาพไปหลายใบ นอกจากนี้ยังล้างรูปออกมาทั้งหมดภายในคืนนั้นแล้วเลือกรูปที่พอใจมากที่สุดลงในกระทู้มหาวิทยาลัย

จูบแห่งยุคปลายศตวรรษ–

นี่เป็นชื่อภาพที่ชางไห่อี๋เซี่ยวตั้งเอาไว้ อีกทั้งยังได้รับยอดไลก์จากนักศึกษามากมาย ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตั้งชื่อได้ดี เป็นจูบแห่งยุคปลายศตวรรษจริง ๆไม่ใช่หรือไง?

แม้สังคมในยุคปลายปีเก้าศูนย์จะเปิดกว้างมากขึ้นแต่ก็ยังไม่มากเท่าไร หากจูงมือโอบไหล่ในที่สาธารณะไม่ใช่ปัญหาซึ่งถือได้ว่าพัฒนาขึ้นมากแล้ว แต่การจูบในที่โจ่งแจ้งแบบพวกเหมยเหมยอย่างดูดดื่มร้อนแรงไม่มีใครกล้าทำขนาดนี้หรอก

กลัวเพียงแต่ว่าพอคุณเพิ่งจูบไปไม่นานก็มีผู้ที่เรียกตนว่าผู้ผดุงศีลธรรมออกมาวิจารณ์ตำหนิว่าคุณทำให้สังคมเสื่อมเสียภาพลักษณ์ ผู้ชายจะถูกเรียกว่าคนลามกวิปริต ส่วนผู้หญิงจะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงสำส่อน อย่างไรเสียก็จะมีถ้อยคำด่าสาดเสียเทเสียรอคุณอยู่เป็นกองเลยล่ะ!

สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสังคมอนุรักษ์นิยมคือการเปิดโลกกว้างเรื่องนี้ในรั้วมหาวิทยาลัย

นักศึกษาผู้น่ารักเหล่านี้พยายามต่อสู้กับสังคมอนุรักษ์นิยมที่ล้าสมัย ต่อให้ต้องนองเลือดก็ไม่ย่อท้อ

รูปถ่ายนี้ของพวกเหมยเหมยได้รับยอดไลก์ของคนเกือบพันคน อีกทั้งยังมีคนตอบกระทู้นี้อย่างล้นหลาม

“ความโรแมนติกที่แสนสวยงาม ขอเสนอให้ทางมหาวิทยาลัยใช้รูปนี้เป็นโปสเตอร์รับสมัครนักศึกษาของปีหน้า เชื่อว่าจะมีรุ่นน้องมากมายสึกสนใจและพยายามแก่งแย่งกันเข้ามาเรียนแน่นอน”

“ใช่ คนภายนอกต่างบอกว่ามหาวิทยาลัยปักกิ่งเราไม่มีคนสวย งั้นก็ให้พวกเขาได้เห็นโฉมหน้าอันงดงามของดาวมหาลัยของเราสักหน่อย ในอดีตไม่เคยมีและอนาคตก็จะไม่มีใครสู้ได้…”

“ดาวมหาลัยไม่ใช่แค่หน้าตาดีแต่ยังมากความสามารถอีกต่างหาก ผู้ชายแบบไหนกันนะที่จะสมฐานะ? ฉะนั้น…มีใครรู้บ้างว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน?”

“ฉันรู้ ผู้ชายคนนี้เป็นคู่หมั้นของดาวมหาลัยแต่ลึกลับมาก นี่เพิ่งเคยเห็นปรากฏตัวครั้งแรกเลยนะ!”

“คู่หมั้นของดาวมหาลัยหุ่นดีชะมัดเลย ไหนจะเป็นประเภทที่ฉันชอบมากด้วย เย็นชาแต่รักเดียวใจเดียว เหมือนเทพเจ้าแห่งนรกเฮดีนเลย…นี่เป็นผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุด…”

“เหมือนเฮดีนมากจริง ๆ ดาวมหาลัยดูมีความสุขจัง เธอทำให้ฉันเชื่อในรักแท้อีกครั้ง!”

……

คนตอบกระทู้ล้วนมีแต่คำชื่นชมและอิจฉา เหมยเหมยไล่อ่านทีละข้อความ ๆจนตัวเองเผลอหลุดขำไปด้วย ไฟโทสะที่ก่อตัวเพราะถูกแอบถ่ายก็จางหายไปมากทีเดียว แต่ว่า–

“พวกเธอใสซื่อจริง ๆ จ้าวเหมยไม่มีคู่หมั้นอะไรทั้งนั้น ผู้ชายคนนี้มีภรรยาแล้ว จ้าวเหมยเป็นชู้รักของเขา เธอก็เป็นแค่มือที่สามที่เปิดเผยสถานะอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้เท่านั้นเอง!”

…………………………………………………..

ตอนที่ 1929 เอาหลักฐานออกมากาง

เหมยเหมยมีสีหน้าดุดันไล่อ่านต่อไป จากนั้นจึงพบว่าข้อความนี้มาจากคนที่ใช้ชื่อว่า ‘ฮวาจิงหลิง’ และตอบกลับเมื่อสิบนาทีก่อน อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพราะเธอยังคอยตอบกลับข้อความไม่หยุด

มีคนเสนอข้อสงสัยกล่าวหาว่าคนที่ชื่อฮวาจิงหลิงกำลังโกหก ฮวาจิงหลิงจึงตอบกลับ “ฉันพูดความจริงทั้งนั้น พวกเธอก็ไม่ลองคิดดูว่าถ้าผู้ชายคนนี้เป็นคู่หมั้นของจ้าวเหมยจริง ๆ แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาล่ะ? ก็เพราะผู้ชายคนนี้เปิดเผยตัวตนอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้จ้าวเหมยเลยไม่กล้าพาออกมาให้เห็นไง”

“แต่คืนฉลองคริสต์มาสผู้ชายคนนี้ก็เปิดเผยตัวตนแล้วไม่ใช่เหรอ?” มีคนสงสัย

ฮวาจิงหลิงตอบกลับ “กลางคืนดึกดื่นแล้วคนยังเยอะขนาดนั้นอีก พวกเธอมีใครเห็นได้ชัดบ้าง? อีกอย่างพวกเธอเห็นผู้ชายคนนี้เปิดเผยหน้าตาแล้วหรือยัง?”

ในรูปถ่ายมีเพียงปลายคางของเหยียนหมิงซุ่นโผล่ออกมาให้เห็นอย่างว่าจริง ๆ แต่นั่นเป็นเพราะเขากำลังจูบกับเหมยเหมยแล้วจะให้โผล่มาทั้งหน้าได้อย่างไรกันล่ะ?

คิดไม่ถึงว่าฮวาจิงหลิงคนนี้จะใช้จุดนี้ในการใส่ความ แต่ดันมีคนไร้สมองมากมายที่หลงเชื่อ

“ไม่ได้โผล่หน้าให้เห็นจริง ๆด้วย หรือว่าดาวมหาลัยเป็นมือที่สามจริง ๆ? พระเจ้า…น่ากลัวมาก!”

“ฮือ ๆ…ทำไมผู้หญิงสวย ๆถึงชอบเป็นมือที่สามกันนะ? ก่อนหน้านี้สวีจื่อเซวียนก็คนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ดาวมหาลัยก็เป็นเหมือนกันอีก!”

“เพราะผู้ชายพวกนั้นมีเงินมีฐานะไง อยู่กับพวกเขามีเงินซื้อเสื้อผ้ากับกระเป๋าสวย ๆได้ แล้วยังซื้อเครื่องประดับราคาแพงได้ ลำพังนักศึกษาจน ๆอย่างนายซื้อไหวเหรอ?” ฮวาจิงหลิงพูดประชดอย่างไม่เกรงใจ

มีคนกลุ่มหนึ่งตอบกลับเธอด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ยาวเป็นพรวน ซึ่งดูจากชื่อแล้วน่าจะเป็นผู้ชายทั้งสิ้น คิด ๆแล้วคงกำลังใช้สื่อประมาณว่าอยู่ในอารมณ์ที่พูดไม่ออก!

แต่ก็บ่งบอกได้ว่ามีคนมากมายหลงเชื่อคำพูดของคนที่ชื่อฮวาจิงหลิงว่าเหมยเหมยเป็นมือที่สามจริง ๆ

“คนที่ชื่อฮวาจิงหลิงพูดเหลวไหลทั้งเพ น่าโมโหชะมัด ฉันจะด่าเอง!”

ฉีฉีเก๋อแย่งแป้นพิมพ์มาอย่างอดไม่ได้แต่เธอพิมพ์ค่อนข้างช้าทั้งยังเป็นการพิมพ์แบบใช้นิ้วจิ้ม ๆเอาอีก จึงทำเอาเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโมโหผลักเธอออกไป “พิมพ์ช้าเป็นเต่าคลานอย่างเธออย่ามาทำตัวอับอายขายหน้าเลย ฉันจะถ่วงเวลานังแพศยานี่ไว้เอง เธอไปตามหาให้ทั่วห้องนะ ฉันเดาว่านังแพศยาคนนี้น่าจะยังอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์นี่แหละ!”

“นั่นสิ ทั้งมหาวิทยาลัยก็มีแค่ห้องคอมพิวเตอร์ห้องเดียว ตอนนี้หล่อนกำลังตอบข้อความอยู่ งั้นก็แปลว่าต้องอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ ฉันจะไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย”

ฉีฉีเก๋อถึงบังอ้อเลยเบิกตากว้างก่อนจะวิ่งผลุนผลันออกไปตามหา

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนใช้สองมือกดแป้นพิมพ์เกิดเสียงดังปึงปัง ๆ แค่ดูก็รู้ว่าคงผ่านการเล่นคอมพิวเตอร์มาไม่น้อย เธอทักถึงฮวาจิงหลิงโดยตรง “เธอบอกว่าจ้าวเหมยเป็นมือที่สามก็ต้องมีหลักฐานมากางสิ ผู้ชายที่ลึกลับคนนั้นชื่ออะไร ทำงานอะไร ภรรยาของเขาเป็นใคร เรื่องพวกนี้ถ้าเธอบอกกล่าวหาลอย ๆแบบนี้ใครจะเชื่อ? แบบนี้ฉันยังพูดได้เลยว่าเธอเป็นสาวจากสโมสรเศรษฐีน่ะ!”

เดิมทีเหมยเหมยค่อนข้างโมโหพอสมควร แต่พอเห็นประโยคของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็อดขำไม่ได้ รู้สึกอบอุ่นในใจและไม่ได้โมโหเท่าก่อนหน้านี้แล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับตัวฮวาจิงหลิงนี่มาให้ได้ ไม่อย่างนั้นหากปล่อยให้เธอพูดจาเหลวไหลใส่ความไปเรื่อย ๆ คนที่ไม่รู้ความจริงจะต้องหลงเชื่อถ้อยคำบ้าบอของยัยนี่แน่ ๆ

พอเหมยเหมยเห็นว่าเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเพียงคนเดียวก็เพียงพอสำหรับการต่อกรกับอีกฝ่ายแล้ว เธอจึงลุกขึ้นไปตามหาผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเป็นฮวาจิงหลิงด้วยอีกคน ห้องคอมพิวเตอร์ค่อนข้างกว้างมีหลายสิบคนกำลังเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ หากช่วยกันตามหาคงจะเร็วขึ้นบ้าง

ฮวาจิงหลิงโมโหแทบแย่เพราะถ้อยคำของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเลยโต้กลับ “เธอสิสาวจากสโมสรเศรษฐี เธอคงเป็นขี้ข้ารับใช้ของมือที่สามนั่นสินะ ดูนิสัยทาสของเธอสิ!”

เหริ่นเชี่ยนเชี่ยน “เธอบอกว่าเธอไม่ใช่สาวจากสโมสรเศรษฐีก็เอาหลักฐานมากางสิ เธอพูดลอย ๆว่าตัวเองไม่ใช่สาวนั่งดริ๊งก์ ฉันเองก็ไม่ใช่เชียนหลีเหยี่ยน[1] ที่จะพิสูจน์ได้ว่าเยื่อพรหมจรรย์เธอยังอยู่ผ่านจอคอมพิวเตอร์ได้สักหน่อย!”

………………………

[1] เชียนหลีเหยี่ยน หรือตาพันลี้ เทพตาทิพย์ที่มีหน้าที่คอยช่อยเหลือเจ้าแม่ในเรื่องต่างๆ