“ลุงซุน สิ่งที่ท่านว่ามานั้นมันผิดแล้ว! เมืองน้ำพองท่านนั้นเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมืองสวรรค์ใต้ที่สุดทำให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีได้เปรียบเรื่องเวลาและภูมิประเทศ ไหนจะยังเรื่องผู้คนอีก ท่านนั้นเป็นอันดับหนึ่งเสมอมามันจึงยิ่งทำให้ท่านแข็งแกร่งกว่าใครๆ ขึ้นไปอีกเท่าตัว เวลานี้แล้วมากล่าวเย้ยเมืองสงบทักษิณเราไปให้มันได้อะไร? หากท่านเก่งกาจจริงก็เอาชนะเมืองสวรรค์ใต้ให้ได้สิ!”
ในเวลานั้นเองที่ซูเป่ยหยุนได้กล่าวขึ้นมาแทรกคำเย้ยของซุนหยุนจิง
เมื่อซูยี่ได้เห็นซูเป่ยหยุนเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นมา “หยุนเอ๋อ เจ้ากลับมาแล้ว!”
ซูเป่ยหยุนนั้นยิ้มตอบกลับมา “ท่านพ่อ หยุนเอ๋อแค่ออกไปฝึกฝนตัวท่านต้องทำท่าทางเช่นนั้นด้วยหรือ?”
พ่อลูกสองคนนี้ดูแล้วคงสนิทกันมาก สายตาของซูยี่ที่มองซูเป่ยหยุนนั้นมันเป็นสายตาของพ่อที่ตามใจลูกสุดโต่ง
เห็นได้ชัดเจนว่าซูเป่ยหยุนนั้นเป็นลูกรักของซูยี่
“หึๆ แม่หนูซูนี้มันปากคอเราะร้ายเสียจริง! เมืองสวรรค์ใต้นั้นมันคือเมืองหลวงของแดนสวรรค์ใต้เรา จะเอาเมืองรองอย่างเราไปเทียบได้อย่างไรกัน? คิดอยากเทียบเคียงนั้นมันก็ต้องมาเทียบกันระหว่างเก้าเมืองหนามใต้นี้ ไม่เช่นนั้นเราจะยังมาจัดงานชุมนุมโอสถสวรรค์เก้าเมือง?” ซุนหยุนจิงหัวเราะตอบกลับไป
“หึ! สุดท้ายแล้วเหตุผลที่วิชาโอสถเราตกต่ำมันก็เพราะว่าเราขาดทรัพยากรอยู่ดี! พวกท่านก็แค่ชนะคนที่ไม่มีอะไรสู้!” ซูเป่ยหยุนนั้นยังตอบกลับไปอย่างดุดัน
ซุนหยุนจิงนั้นหัวเราะตอบกลับมา “นังเด็กคนนี้ เออๆ เจ้าเมืองผู้นี้ก็ยังไม่ตกต่ำไปจนถึงขั้นต้องถือสาเด็กน้อยอย่างเจ้าหรอก แต่ซูยี่ รอบต่อไปจะเริ่มกันแล้ว เจ้าคิดจะส่งใครลงไปกันเล่า?”
งานชุมนุมโอสถสวรรค์เก้าเมืองนี้มันมิใช่แค่การมาเย้ยหยันกันเล่นๆ เท่านั้นแต่มันเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากรด้วย
แต่ละเมืองนั้นจะได้ทรัพยากรจากเมืองสวรรค์ใต้แตกต่างกันไปแล้วแต่ผลงานที่ทำได้!
เพราะจะอย่างไรเสียกรรมการของงานชุมนุมโอสถสวรรค์เก้าเมืองในครั้งนี้มันก็คือเหล่านักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่จากเมืองสวรรค์ใต้!
เพราะฉะนั้นผลการประลองครั้งนี้มันจึงสำคัญกับเมืองทั้งเก้ามาก
เพียงแค่ว่าเมืองสงบทักษิณนั้นพ่ายแพ้มาต่อเนื่องหลายครั้งทำให้ยิ่งตกต่ำลงไปทุกวัน
กอปรกับความที่ไม่มียอดคนมากพรสวรรค์อยู่ด้วยแล้วมันจึงทำให้ความตกต่ำนั้นยิ่งย่ำแย่ลงทุกวัน
ซูยี่นั้นเองก็ได้แต่นั่งหน้าดำคร่ำเครียดก่อนจะหันไปหาชายแก่ข้างๆ ตัว “ผู้อาวุโสเก่อ ข้าคงต้องวานเจ้าอีกแล้ว!”
เก่อหลิงนั้นเองก็ได้แต่ถอนใจยาวก่อนจะเดินลงไปในสนามประลอง
ซูยี่นั้นได้แต่หวังว่าเก่อหลิงจะแก้ตัวเอาชนะมาได้
เพียงแค่ว่าความหวังนี้มันเลือนรางเสียเหลือเกิน
“ท่านพ่อ ข้าขอแนะนำคนให้ท่านพ่อได้รู้จัก นี่คือสหายที่หยุนเอ๋อได้พบเจอระหว่างเดินทางมาเขามีนามว่าเย่หยวน! เป็นเพราะเขาคนนี้ที่ทำให้ลูกสาวท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย!” ซูเป่ยหยุนรีบกล่าวแนะนำเย่หยวนด้วยใบหน้าตื่นเต้น
ซูยี่นั้นหันมามองเย่หยวนอย่างไม่คิดสนใจ
เย่หยวนนั้นจะอย่างไรก็มีพลังแค่ชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่ ซูยี่จึงคิดไปว่าเขาคงแค่ช่วยเหลืออะไรลูกสาวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
หลังจบเรื่องราวนี้ไปแล้วเขาก็จะเอารางวัลให้เย่หยวนสักหน่อยก่อนจะถือว่าจบเรื่องกัน
บางทีเจ้าเด็กคนนี้มันอาจจะคิดผูกสัมพันธ์กับเขาเสียด้วยซ้ำจึงได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกสาวเขา
“อืม ขอบคุณมากน้องชาย!” ซูยี่กล่าวขึ้นมา
มีหรือที่เย่หยวนจะมองไม่ออกว่าซูยี่คิดอะไรอยู่ในหัวจากท่าทางนั้น? แต่เขาเองก็ไม่คิดสนใจมากมายและตอบกลับไปห้วนๆ “ไม่ต้องคิดมากหรอก”
ท่าทางของเย่หยวนนี้มันทำให้ซูยี่ไม่พอใจอยู่น้อยๆ
แต่เวลานี้ความคิดของเขามันมีแต่ความกังวลเรื่องการประลองของเก่อหลิงทำให้เขาไม่มีเวลาจะหันมาสนใจใดๆ นี้
ซูเป่ยหยุนนั้นเห็นบรรยากาศหนักอึ้งเช่นนี้และได้แต่ต้องทำท่าลุกลี้ลุกลนไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร
เพราะเวลานี้สถานการณ์มันไม่อำนวยให้นางสามารถเล่าเรื่องราวได้มากมาย นางจึงได้แต่ต้องค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงงานชุมนุมโอสถสวรรค์เก้าเมืองแทน
แต่นางเองก็โล่งใจที่ได้เห็นว่าเย่หยวนเองก็ให้ความสนใจกับเรื่องการประลองนี้
“ข้าคงทำให้ผู้อาวุโสเย่หัวเราะเย้ยแล้ว เมืองสงบทักษิณเรานั้นมันมีวิชาการโอสถที่ตกต่ำในหมู่เมืองทั้งเก้า แม้ว่าอาจารย์เก่อท่านนั้นจะเก่งกาจแค่ไหนมันก็ยังไม่อาจจะเอาชนะศึกนี้ได้!” ซูเป่ยหยุนกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ
เย่หยวนส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “เก่อหลิงนั้นไม่ได้อ่อนแอเพียงแค่ว่าในวิธีการหลอมโอสถของเขามันยังมีจุดที่บกพร่องอยู่ไม่น้อย ทำให้สุดท้ายเขาหลอมออกมาได้คุณภาพไม่เท่ากับคนอื่นๆ หากเขาสามารถจัดการปัญหาจุดนั้นได้แล้วเขาก็ย่อมจะไม่ได้อ่อนแอไปกว่าคนทั้งหลายนี้เลย!”
ในเวลานี้เองที่การประลองโอสถรอบถัดไปมันก็ได้เริ่มขึ้น
แล้วสายตาของเย่หยวนนั้นมันดีเลิศปานใด?
ตอนที่เขาสร้างศาลาโอสถขึ้นมานั้นคนที่เขาสั่งสอนนั้นมันเป็นถึงนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่!
เก่อหลิงนั้นมีจุดอ่อนจุดแข็งใด เขาย่อมจะเข้าใจมันสิ้น
หากคิดจะพูดถึงว่าใครมีฝีมืออ่อนแอหรือแข็งแกร่งกว่ากันในหมู่นักหลอมโอสถสวรรค์ของเมืองทั้งหลายนี้แล้ว มันย่อมจะแยกแยะออกจากกันอย่างสิ้นเชิงไม่ได้
เพราะจะอย่างไรเสียตัวตนที่ยังอยู่ในเมืองทั้งเก้านั้นก็ย่อมจะไม่ได้แตกต่างกันมาก แม้ว่ามันจะต่างกันที่ใครได้ทรัพยากรมากหรือน้อยกว่าแต่สุดท้ายมันก็ไม่อาจจะสร้างช่องว่างที่ใหญ่ล้ำได้
แต่ว่าการหลอมโอสถมันก็เป็นเช่นนั้น
รายละเอียดนั้นคือเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จ!
ปัญหาเล็กน้อยนั้นมันอาจจะทำให้คุณภาพโอสถแตกต่างกันไปอย่างมากได้
ซูเป่ยหยุนนั้นคิดว่าเย่หยวนกล่าวขึ้นเพื่อปลอบตัวนางจึงยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป “ต่อให้อาจารย์เก่อท่านจะสมบูรณ์พร้อมแค่ไหนโอสถข้ามชีวาหนึ่งหทัยระดับห้าขั้นต่ำนั้นมันก็คือที่สุดของเขาแล้ว ระดับหกนั้นย่อมจะไม่มีทางเป็นไปได้! เขานั้นไม่อาจจะเทียบชั้นอาจารย์ซัวเฟิงได้จริงๆ”
เย่หยวนจึงตอบกลับไป “ซัวเฟิงนั้นมีกำลังฝีมือจริงแต่หากเก่อหลิงกำจัดจุดอ่อนของตนลงได้แล้ว เขาย่อมจะเก่งกาจกว่าอีกฝ่ายได้แน่”
เมื่อพูดถึงการหลอมโอสถแล้วเย่หยวนย่อมจะวิจารณ์ออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร
กำลังของเขาในตอนนี้มันแข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าตอนที่เขาประลองกับชางหยงหนิงไปไม่รู้กี่เท่าตัวแล้ว
คนอย่างซัวเฟิงนั้นย่อมจะเป็นคนที่แสนธรรมดาในสายตาของเขา
“หึๆ ช่างเป็นคำพูดที่สูงส่งเสียจริง! นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่คนหนึ่งก็กล้ามาวิจารณ์นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสาม เจ้าไปเอาความกล้านี้มาจากที่ใดกัน?”
ซุนหยุนจิงนั้นอยู่ไม่ไกลออกไปและย่อมจะได้ยินคำพูดทุกถ้อยคำของเย่หยวนอย่างชัดเจนจึงได้แสดงความไม่พอใจออกมา
“หากเจ้าเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามแล้วมาวางท่า มันย่อมจะไม่มีใครว่าเจ้า แต่นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่มาวางท่าอะไร?”
ซูยี่เองก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเพราะยิ่งได้ยินเขาก็ยิ่งไม่พอใจเย่หยวนมากขึ้น
ในสายตาของเขานั้นการที่เย่หยวนพูดกล่าวเช่นนี้ออกมานั้นมันย่อมจะจงใจให้คนทั้งหลายได้ยิน เป้าหมายนั้นก็เพื่อจะทำให้เขานั้นกลายเป็นที่หัวเราะของคนทั้งหลายหนักกว่าเก่า
เพียงแค่ว่าคนที่มีพลังแค่ชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่นี้ใครมันไปเอาความกล้าขนาดนี้มาให้?
คำพูดนี้มันมิใช่แค่การกวนเท้า แต่เป็นการยกเท้าขึ้นมาลูบหน้า!
ซูเป่ยหยุนและหวงห่าวหยานนั้นเองก็ผงะไปเช่นกัน
เย่หยวนนั้นไปลบหลู่เหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายเช่นนี้พวกเขาเองก็คงไม่ได้อะไรกลับไปเช่นกัน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันมีแต่จะทำให้เจ้าเมืองซูยี่ไม่ชอบหน้าเขามากขึ้นเท่านั้น
“หยุนเอ๋อ เจ้าพาเพื่อนของเจ้านี้ไปเดินเล่นในเมืองไป” ซูยี่สั่งออกมาด้วยท่าทางเหลือจะทน
แต่ซุนหยุนจิงนั้นกลับก้าวขึ้นมาหยุดไว้ก่อน “อย่าเพิ่ง! น้องชายท่านนี้ดูท่าดูถูกแม้แต่นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสาม เขาย่อมจะต้องมีฝีมือแน่แล้ว! เจ้าเมืองผู้นี้อยากจะเห็นนักว่าเขานั้นมีความคิดที่เหนือล้ำเช่นใดอีก?”
ซูยี่ได้แต่ทำหน้าดำมืดตอบกลับไปอย่างไม่พอใจ
ซุนหยุนจิงนั้นไม่คิดจะเปิดช่องให้เขาหลบหนีไป!
ซูเป่ยหยุนนั้นเห็นสภาพแล้วก็ได้แต่ต้องเดินเข้ามาขวางไว้ “ลุงซุน ข้าขออภัยด้วย! สหายของข้านี้เขาแค่คิดจะพูดปลอบข้า ข้าจะพาเขาออกไปให้เอง!”
พูดจบแล้วนางก็รีบไปกระตุกแขนเสื้อเย่หยวนเพื่อจะส่งสัญญาณให้เย่หยวนออกไปด้วยกัน
แต่เย่หยวนนั้นกลับไม่คิดสนใจและตอบกลับไป “หากเจ้าอยากได้ยินข้าก็จะบอกให้เอาบุญ ซัวเฟิงนั้นมีวิธีการหลอมที่เป็นระบบดูท่าแล้วคงได้อาจารย์ดี! หากข้าเดาไม่ผิดเขานั้นคงเป็นคนจากเมืองสวรรค์ใต้ใช่หรือไม่? กลับกันแล้วตัวเก่อหลิงนั้นกลับมีวิธีการที่หยาบกร้านกว่ามาก เวลาหลอมนั้นเขาไม่ได้มีการวางระบบระเบียบใดๆ มากมาย ดูท่าแล้วเขาคงลองผิดลองถูกขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามด้วยตัวเองโดยไร้อาจารย์แล้ว แต่ว่าเก่อหลิงนั้นก็เก่งกาจไม่น้อย เขานั้นมีพื้นฐานที่หนักแน่นและพรสวรรค์ที่ไม่เลว หากเขาได้รับการฝึกฝนที่เหมาะสมแล้วเขาย่อมจะก้าวขึ้นไปถึงระดับสี่ได้ไม่ยากแน่นอน”
คำพูดเดียวนี้มันทำให้เหล่าเจ้าเมืองทั้งเก้าต้องหันมามองพร้อมๆ กัน
คำพูดอธิบายเบื้องหลังความเป็นมาของคนทั้งสองนี้ แม้ว่ามันจะมิใช่ความลับใดๆ แต่มันก็ย่อมจะมิใช่ความรู้ทั่วไปที่นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่จะมีได้
แต่เย่หยวนนั้นกลับบอกมันออกมาได้อย่างแม่นยำ!
แต่ซูเป่ยหยุนนั้นกลับกล่าวขึ้นมาอย่างตกตะลึง “ผู้อาวุโสเย่ ท่านมีสายตาที่เฉียบคมจริงๆ! อาจารย์ซัวเฟิงนั้นเคยศึกษาภายใต้การสั่งสอนของอาจารย์หวู่เติงแห่งเมืองสวรรค์ใต้มาก่อนเพียงแค่ว่าเรื่องนี้มันมีคนรู้ไม่มาก! ส่วนตัวอาจารย์เก่อหลิงนั้นข้าได้ยินมาว่าเขาเคยเจอสมบัติบางอย่างที่ช่วยทำให้เขาสามารถลองผิดลองถูกและก้าวขึ้นมาเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ได้!”