เจ้าเมืองอีกคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา “ซัวเฟิงและเก่อหลิงนั้นจะอย่างไรก็เป็นสุดยอดนักหลอมโอสถสวรรค์แห่งเก้าเมืองหนามใต้ ข้อมูลนี้แม้มันจะสืบได้ยากแต่ก็ใช่ว่าจะตามสืบไม่ได้หากตั้งใจจริง”
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็กลับมาตั้งสติกันได้อีกครั้งในทันทีพร้อมสายตาที่หันไปมองเย่หยวนนั้นกลับยิ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความดูถูก
เพียงแค่ว่าซูเป่ยหยุนและหวงห่าวหยานนั้นต่างรู้ดีว่าเย่หยวนมิใช่คนจากแดนสวรรค์ใต้เสียด้วยซ้ำ มีหรือที่เขาจะไปถามหาข้อมูลได้?
เพราะฉะนั้นแล้วความเป็นไปได้นั้นมันจึงมีเพียงแค่อย่างเดียว เขานั้นเห็นมันด้วยตาของตนเอง
แม้จะไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ แต่แค่พลังความสามารถในการแยกแยะด้วยตาเปล่านี้มันก็เหนือล้ำมากพอแล้ว
“ซูยี่ เจ้าต้องระวังลูกสาวเจ้าไว้ให้ดีเล่า!” ซุนหยุนจิงนั้นกล่าวขึ้นมาพร้อมหันมามองเย่หยวน
ความหมายนั้นมันคือว่าเจ้าเด็กคนนี้มันวางแผนการใหญ่โตมาเพื่อจะตกลูกสาวของเขาไป
มีหรือที่ซูยี่จะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงมานั้น? ใบหน้าของเขานั้นดำมืดขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
เพราะเดิมทีเขานั้นก็ไม่ได้ชอบใจตัวเย่หยวนมาแต่เดิมแล้ว เวลานี้เขายิ่งเกลียดชังหนักขึ้นยิ่งกว่า
หากไม่เห็นแก่หน้าลูกสาวเขาแล้วเขาคงลงมือหักขาเย่หยวนโยนทิ้งออกไปด้านนอกแน่
นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่คนหนึ่งกลับมาวางท่าต่อหน้าเหล่าเจ้าเมืองทั้งเก้า มันจะไม่รู้จักคำว่ากาลเทศะเลยหรือ?
ซูเป่ยหยุนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ต้องมุดหน้าลงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
แต่หวงห่าวหยานที่ได้ยินนั้นกลับแสดงสายตาไม่พอใจออกมา
เขานั้นกัดฟันตอบกลับไป “ท่านเจ้าเมืองซุน อาหารนั้นมันกินได้ไม่ต้องเลือกมาแต่คำพูดคนเรามันต้องเลือกเสียหน่อย! เป่ยหยุนนั้นเป็นคนรักของหวงห่าวหยานคนนี้! ข้าเกรงว่าท่านพูดกล่าวคิดจับคู่คนเช่นนี้ออกมามันคงไม่เหมาะแล้ว?”
ได้ยินเช่นนั้นซูเป่ยหยุนก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นจนแทบต้องมุดหัวหลบลงไปในเสื้อ
เย่หยวนที่ได้ยินนั้นเองก็ตะลึงไปกับความกล้าของหวงห่าวหยานนี้เช่นกัน เด็กหนุ่มคนนี้มักจะวางท่าเหมือนเป็นคนต่ำต้อยไม่กล้าทำอะไรต่อหน้าเขากลับกล้าจะผงาดขึ้นมาด่าว่าเจ้าเมืองกลับไป
ชัดเจนเลยว่าความรู้สึกที่เขามีต่อซูเป่ยหยุนนั้นมันรุนแรงแค่ไหน
ซุนหยุนจิงนั้นเองก็ผงะไปเช่นกันก่อนจะหัวเราะขึ้นมาแทน “น่าสนใจๆ เจ้าคือลูกของหวงหนานซาน? หึๆ เจ้าเมืองผู้นี้ขอโทษเจ้าด้วยแล้วกัน! เรื่องราวคนหนุ่มสาวนั้นข้าเองก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้แน่ชัดนัก”
เสียงหัวเราะของเขานั้นมันแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกล้ำ
เมื่อเจ้าเมืองคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็หัวเราะออกมาตามเช่นกันจนทำให้ซูยี่นั้นแทบอยากจะมุดดินหนีลงไปให้มันพ้นๆ
มีหรือที่พวกเขาจะไม่เข้าใจว่าเสียงหัวเราะนั้นหมายความว่าอย่างไร?
เพราะเสียงหัวเราะนั้นมันเหมือนเป็นการกล่าวต่อหน้าเขาว่าลูกเจ้ามันสำส่อนดีจริง!
“ยัยหนู มันเรื่องอะไรกันแน่?” ซูยี่กล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าดำมืด
เขานั้นแทบจะไม่เคยโกรธเคืองลูกสาวตนแต่ครั้งนี้มันเหลือความอดทนจริงๆ
“ท่านพ่อ ข้า…ข้า…” ซูเป่ยหยุนนั้นได้เห็นท่าทางของพ่อจนตื่นตระหนกไม่รู้ต้องตอบอย่างไร
“มันไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่ลูกเจ้านั้นคิดหวังดีพาข้ามาให้เจ้าได้รู้จัก นางจึงได้ลากตัวข้ามาถึงที่นี่ แต่ดูท่าเจ้าจะไม่อยากรับความหวังดีของลูกเจ้าไว้” เย่หยวนกล่าวขึ้น
“พาเจ้ามาให้รู้จัก? หึๆ เจ้าที่มีพลังแค่ชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่นั้นก็มีค่าจะมารู้จักเจ้าเมืองหรือ? ไอ้เด็กคนนี้มันไม่รู้จักประเมินตัวเองเสียจริง! เจ้าคิดว่าแค่สืบสาวเรื่องราวมานิดหน่อยแล้วตัวเองจะเก่งกาจมากหรือ?” ซุนหยุนจิงนั้นกล่าวขึ้นมาก่อนที่ซูยี่จะทันได้กล่าวอะไร
เย่หยวนหันไปมองหน้าซุนหยุนจิงก่อนจะกล่าวขึ้นตอบ “เจ้ามันโอหังเสียจริง!”
ซุนหยุนจิงที่ได้ยินนั้นก็กล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าดำมืดอย่างไม่พอใจ “เด็กน้อย เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร?”
เย่หยวนไม่คิดสนใจเขาและหันไปหาซูเป่ยหยุน “เดิมทีข้านั้นก็ไม่ได้สนใจจะช่วยเหลือเมืองสงบทักษิณใดๆ แต่เวลานี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
ซูเป่ยหยุนนั้นยิ้มกว้างขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน “ผู้อาวุโสเย่ ท่านพูดจริงแล้ว?”
เวลานี้ซูเป่ยหยุนนั้นเริ่มจะรู้สึกขอบคุณซุนหยุนจิงขึ้นมา
เพราะหากมิใช่เพราะเขาปากมากล่าวว่าเย่หยวนมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตัวเย่หยวนเองก็คงไม่คิดสนใจร่วมมือกับเมืองสงบทักษิณใดๆ
เพราะอย่างน้อยๆ นางก็พอเดาได้ว่าค่ายสำนักที่อยู่เบื้องหลังเย่หยวนนั้นมันต้องแข็งแกร่งกว่าเมืองสงบทักษิณไปมาก
บางทีมันอาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองสวรรค์ใต้เสียด้วยซ้ำ!
วินาทีที่ซุนหยุนจิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกขำขึ้นมาในใจ “เด็กน้อย เจ้ามันวางท่าได้เก่งเสียจริง! ความหมายของเจ้านั้นคือหากเจ้าเข้าร่วมกับเมืองสงบทักษิณแล้วพวกเราทั้งหลายจะต้องระวังตัวหรือ?”
เมื่อเหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
ในสายตาของพวกเขานั้นเย่หยวนย่อมจะเป็นแค่คนโง่โอหังไม่ประเมินตัวคนหนึ่ง ได้ไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
พวกเขานั้นไม่รู้ว่าซูเป่ยหยุนไปกินอะไรผิดมาจนถึงขั้นยอมรับนับถือเย่หยวนเป็นผู้อาวุโสเช่นนี้!
เย่หยวนนั้นหันไปมองซุนหยุนชิงด้วยสายตาประหลาดใจ “ดูท่าเจ้าเองก็จะไม่ได้โง่อย่างสิ้นเชิงนี่!”
พูดจบเย่หยวนก็ยกนิ้วขึ้นมา
พร้อมกันนั้นมันก็เกิดปราณดาบพุ่งเข้าไปหาเก่อหลิงบนสนามประลองทันที
ปัง!
การหลอมของเก่อหลิงนั้นถูกขัดลงอย่างง่ายดาย
เขานั้นกำลังตั้งสมาธิทำการหลอมอยู่อย่างสุดตัวเมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนั้นเขาย่อมจะไม่พอใจอย่างมาก
“เด็กน้อย เจ้ารนหาที่ตายหรือ?” เก่อหลิงนั้นพุ่งตัวมาหยุดลงตรงหน้าเย่หยวนในทันที
การลงมือของเย่หยวนนี้มันทำให้คนทั้งหลายต่างมึนงง
เจ้าบอกว่าจะร่วมมือกับเมืองสงบทักษิณมิใช่หรือ?
แต่นี่มาแทงหลังสหายร่วมฝ่าย!
แม้ว่าปากของเขานั้นจะพูดกล่าวอย่างเหนือล้ำแต่สุดท้ายเขานั้นกลับไปขัดจังหวะการหลอมโอสถของคนฝ่ายเดียวกันแทน
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับเก่อหลิงที่โกรธแค้นเช่นนั้นแต่เย่หยวนก็ยังวางท่าเฉยชาและยกมือขึ้นมาโบกปัด “เจ้าไม่ต้องหลอมแล้ว หากเจ้าหลอมเช่นนั้นต่อไปต่อให้ใช้เวลาหลอมทั้งชีวิตก็ไม่อาจจะเอาชนะซัวเฟิงได้! จำคำที่ข้าจะพูดไว้ให้ดีแล้วกัน พอดีเลย เจ้าจะได้เอาเวลาที่เหลือระหว่างรอการประมูลนี้ไปคิดทบทวนถึงคำของข้า! รอบหน้าก็จะได้จัดการมันลงเสีย!”
เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจใดๆ ท่าทีโกรธแค้นของเก่อหลิงก่อนจะเริ่มพูดถึงจุดเด่นจุดด้อยต่างๆ ออกมา
เขานั้นมองดูการหลอมมาตั้งแต่ต้นและย่อมจะเห็นได้ชัดเจนว่าปัญหาของเก่อหลิงนั้นมันอยู่ที่ใด
การสั่งสอนออกมาในครั้งนี้มันย่อมจะถูกจุดสำคัญทั้งหมด!
ตอนเริ่มแรกนั้นเก่อหลิงยังแทบจะลงมือต่อเย่หยวนออกมาแต่โชคดีที่ซูเป่ยหยุนนั้นมาห้ามเขาไว้จึงทำให้เขาไม่กล้าจะลงมือ
แต่ไม่นานสีหน้าของเก่อหลิงก็ต้องเปลี่ยนสีไป
แต่ทางซุนหยุนจิงนั้นกลับกล่าวขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน “นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่กลับมาสั่งสอนนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสาม น่าขันนัก! หากคำพูดไม่กี่คำนี้มันจะช่วยให้คนแข็งแกร่งขึ้นได้แล้วใครๆ ก็คงเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ได้สิ้น!”
แต่ว่าสีหน้าของเก่อหลิงนั้นกลับยิ่งดูจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ
เวลานี้ในห้องมันก็มีนักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสามอีกหลายคนนั่งอยู่ด้วยและสีหน้าของพวกเขานั้นต่างก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเก่อหลิงนัก
ในเวลานี้แม้แต่ตัวซุยหยุนจิงเองก็ยังรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ
เขานั้นไม่รู้วิชาโอสถแต่เขานั้นก็ไม่ได้โง่เง่านัก
เก่อหลิงนั้นทำหน้าเหมือนนักเรียนที่กำลังฟังอาจารย์สอน ขาดแค่เขายังไม่ได้คุกเข่าลงต่อหน้าเย่หยวนเท่านั้น
ซุนหยุนจิงนั้นขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาก่อนจะถามคนข้างๆ ตัวขึ้น “อาจารย์เจียงหลี่ หรือว่าที่เจ้าเด็กคนนี้พูดมันจะมีความหมายจริง?”
เจียงหลี่นั้นเป็นนักหลอมโอสถสวรรค์ที่แข็งแกร่งกว่าซัวเฟิงไประดับหนึ่ง
เพียงแค่ว่าในตอนนี้เขายังไม่มีจังหวะให้ออกโรงเท่านั้น
แต่ในเวลานี้สีหน้าของเจียงหลี่มันก็มีท่าทีตื่นตะลึงอยู่ไม่น้อย
ได้ฟังซุนหยุนจิงถามเช่นนั้นแล้วเขาก็พยักหน้าออกมา “ที่เขาพูดออกมานั้นมันคือจุดอ่อนของเก่อหลิงสิ้น! แท้จริงตัวข้าเองก็มองเห็นมันมาก่อนแล้วว่าเก่อหลิงไม่ได้อ่อนแอ แต่แค่ว่าเขานั้นไม่ได้ฝึกฝนมาอย่างเป็นระบบทำให้มีหลายจุดที่ถูกมองข้ามไปจึงหลอมได้คุณภาพไม่ดีนัก ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าเด็กคนนี้มองดูแค่ไม่กี่ทีก็จะมองมันออกแล้ว! ไอ้เด็กคนนี้มันไม่ธรรมดา!”
ซุนหยุนจิงนั้นขนลุกไปทั้งกายเมื่อได้ยินเช่นนั้น “แต่แค่พูดสั่งสอนออกมาแค่นี้มันก็จะทำให้เก่อหลิงแข็งแกร่งขึ้นได้หรือ?”
เจียงหลี่ส่ายหัวออกมาเมื่อได้ยิน “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า? รู้มันก็เรื่องหนึ่ง แต่ทำมันก็อีกเรื่องหนึ่ง! ที่สำคัญไปกว่านั้นตัวเก่อหลิงนั้นได้หลอมจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว มันก็เหมือนตัวหนังสือหากเขียนผิดจนติดเป็นนิสัยไปแล้วมันก็แก้ได้ยากยิ่ง ต่อให้รู้มันก็คงไม่มีทางจะพัฒนาขึ้นมาได้ปุบปับเช่นนี้แน่”
เมื่อซุนหยุนจิงได้ยินเขาก็ถอนใจยาวออกมาด้วยความโล่งใจ “ข้านั้นอยากจะเห็นเสียจริงๆ ว่าเจ้าเด็กคนนี้มันจะจัดการเรื่องนี้ยังไง!”
ในเวลานั้นเองที่เย่หยวนได้หันกลับมาหาซูยี่ “จัดห้องลับให้ข้าหน่อย ข้าจะแสดงตัวอย่างให้เขาได้เห็น”
ซูยี่ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะรีบรับคำและสั่งการให้คนไปเตรียมห้องให้แก่เย่หยวน
…………………………