มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1483

ณ ชายขอบสถานผนึกดารามรณะ จี้เฟิงกำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนหินอุกกาบาตลูกหนึ่ง เดิมทีหินอุกกาบาตลูกนี้ลอยทะลุไปมาอยู่ในห้วงดารา ทว่ากลับถูกเขาใช้อิทธิฤทธิ์ควบคุม กลายเป็นที่หยุดพัก

เขาหยุดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่กลับไม่เห็นหลัวซิวออกมาจากสถานผนึกดารามรณะสักที

“หึ ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าเจ้าจะอดทนอยู่ในนั้นได้นานเท่าไหร่เชียว”

จี้เฟิงเชื่อมั่นในความอดทนของตนมาก ๆ เขาฝึกตนจนบรรลุมาถึงราชาเทพได้อย่างปัจจุบัน บางครั้งการฝึกตนปิดขังเป็นเวลาร้อยปีนั้นเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความอดทนมากพอที่จะรอคอยอยู่ที่นี่ต่อไป

ครั้นเมื่อประมือกันเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็ค้นพบแล้วว่าหลัวซิวไม่เกรงกลัวการกัดกร่อนจากกฎความตาย ด้วยเหตุนี้เมื่อหลัวซิวอยู่ในสถานผนึกดารามรณะ จึงน่าจะไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อเขา

ขอเพียงเขาไม่ตายอยู่ด้านใน ไม่เร็วก็ช้าเขาก็จะออกมาเอง

ในส่วนของเรื่องที่ว่าการออกจากอีกฟากหนึ่งของสถานผนึกดารามรณะนั้น จุดนี้เป็นจุดที่จี้เฟิงนึกไม่ถึง แต่ทว่าเขาทราบอยู่ว่ายิ่งลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งน่ากลัวและอันตรายมากเท่านั้น ต่อให้หลัวซิวมีวิธีต้านทานการกัดกร่อนของกฎความตายในบริเวณรอบนอกเขตแดน แต่ถ้าเกิดเขาเข้าไปในจุดที่ลึกกว่าละก็ มันต้องเป็นพฤติกรรมที่รนหาที่ตายอย่างแน่นอน

ไม่มีผู้ใดไม่ทะนุถนอมชีวิตของตน เขาไม่เชื่อว่าหลัวซิวจะเข้าไปในจุดที่ลึกกว่าของสถานผนึกดารามรณะ โดยที่รู้ทั้งรู้ว่าต้องได้ตายอย่างแน่นอน

แต่ทันใดนั้นเอง จี้เฟิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย มีเสียงเสียงหนึ่งปรากฏในตัวหยั่งรู้ของเขา

“อาจารย์ หลัวซิวควบคุมเรือรบดาราย้อนกลับมายังเมืองฟ้าเยือกแล้วขอรับ บัดนี้มันกำลังโจมตีตำหนักหลักเมืองอยู่!”

เสียงดังกล่าวส่งมาจากศิษย์คนหนึ่งของจี้เฟิง เสียงของเขาฟังดูเร่งรีบมาก เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาประหม่าและกังวลอย่างมาก

“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

จี้เฟิงลุกพรวดขึ้นมา สีหน้าหม่นหมองไม่แน่วแน่พลางจ้องเขม็งไปทางหมอกดำที่ปกคลุมสถานผนึกดารามรณะ

“มันสามารถทะลุผ่านสถานผนึกดารามรณะได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ ออกไปจากอีกฟากหนึ่งแล้วบุกเข้าโจมตีเมืองฟ้าเยือกอย่างรวดเร็ว มันจะออกจากที่นี่โดยการใช้ค่ายวาร์ฟล่องหนในเมืองฟ้าเยือกหรือ?”

พลังออร่าที่มหาศาลของจี้เฟิงปะทุออกมาจากร่างกาย เงาร่างของเขาระเบิดกลายเป็นลำแสงพุ่งสู่ห้วงดารา และหินอุกกาบาตที่อยู่ใต้เท้าเขาก็ถูกพลังที่มากมายมหาศาลกระแทกจนแตกสลายเป็นฝุ่นผง

……

หากใช้พลังอมตะของผังดาวตกโดยการอาศัยดวงดาวทั้งสามดวงที่ตนฝึกได้ พลานุภาพที่ปล่อยออกมาจะถือว่าอยู่ในระดับทั่วไปเท่านั้น

แต่ทว่าเมื่ออาศัยพลังเงาสะท้อนที่เพิ่มเสริมมาจากดวงดาวโบราณทั้ง 18 ดวง พลานุภาพของพลังอมตะนี้สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งกึ่งราชาเทพได้อย่างง่ายดายเลย

ค่ายเทพระดับ 6 อยู่ระดับเดียวกับเจ้านภา ระดับของค่ายเทพระดับ 6 ในตำหนักหลักเมืองสูงมาก ๆ สามารถทะลุถึงระดับเจ้านภาขั้นสุดยอดหรือกึ่งราชาเทพได้เลย แต่ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลัวซิวแล้ว แค่นี้ยังอ่อนเกินไป

“ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ……”

ดวงดาวที่ใหญ่มหึมาแต่ละดวงร่วงหล่นลงไป ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ค่ายคุ้มกันใหญ่ของตำหนักหลักเมืองก็ระเบิดแตก ควันหลงจากพลังที่มหาศาลทำให้ทั่วทั้งเมืองฟ้าเยือกสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง

วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพปรากฏด้านหลังหลัวซิว แผนที่ดาวแฝงซ่อนอยู่ในรูเล็ต ราวกับบุกเบิกดาราจักรวาลหนึ่งในวัฏสงสารยังไงอย่างนั้น

และนี่เป็นต้นแบบวิถียุทธ์ของตัวหลัวซิวเอง ในระหว่างที่วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดโคจร กฎความตายก็แผ่คลุมไปทั่วทั้งตำหนักหลักเมือง สีหน้าของเหล่านักยุทธ์ที่อยู่ภายในต่างเปลี่ยนไป สัมผัสได้ว่าชีวีดั้งเดิมของตัวเองกำลังถูกช่วงชิงไปอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนต่างหวาดผวามาก ต่างตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกและบินออกไปจากตำหนักหลักเมือง หนีออกไปไกล ๆ หลังจากหนีออกมาถึงระยะที่แน่นอนแล้ว ความรู้สึกของชีวีดั้งเดิมที่ถูกช่วงชิงไปถึงจะจางหายไป

หลัวซิวไม่ได้ใส่ใจผู้คนที่หนีออกไปแต่อย่างใด เขาแผ่ตัวสำนึกออกไป กวาดสำรวจทุกซอกทุกมุมของตำหนักหลักเมือง สุดท้ายเขาก็ผนึกเป้าหมายไปที่ห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง

เดิมทีบริเวณของห้องโถงใหญ่ดังกล่าวมีเจ้านภาขั้นสุดยอดเก้าคนคอยคุ้มกันอยู่ บัดนี้เจ้านภาเก้าคนนั้นตื่นตระหนกตกใจและหนีออกไปตั้งนานแล้ว เงาร่างหลัวซิวกระพริบเพียงครั้งเดียว เขาก็ปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว