บทที่ 709.3 แม่นางหน้ากลม

กระบี่จงมา! Sword of Coming

อวี่ซื่อคิดว่าจะให้หลูเจี่ยนซินเป็นเจ้าเมืองของเมืองนี้ ให้คนหนุ่มได้มีชีวิตที่สุขสบายเหมือนฮ่องเต้ดูก่อน จากนั้นค่อยให้เจียวสีหมึกบันทึกเรื่องราวของเขาโดยละเอียด แล้วนำการเปลี่ยนแปลงทางขนบธรรมเนียมประเพณีของนครแห่งนี้ภายในเวลาหลายปีต่อจากนี้ไปมอบให้มู่จีได้อ่าน

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลูเจี่ยนซินถึงได้เกลียดแค้นสองพี่น้องเข้ากระดูกดำถึงเพียงนี้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้

อาจเป็นเพราะในหน้าหนาวของบางปีที่ได้แต่สวมเสื้อผ้าตัวบาง พอได้เห็นคุณชายคลุมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวโพลนออกมาชมหิมะ ก็ยิ่งทำให้เขาละอายใจที่สู้ไม่ได้

อาจเป็นเพราะรักและบูชาสตรีผู้นั้นมานาน เพียงแต่ว่ามีวันหนึ่งบังเอิญเดินสวนกันบนถนน สตรีผู้นั้นไม่เอ่ยอะไรสักคำ ทว่าสายตาที่ปรายมองมาอย่างไม่ตั้งใจของนางกลับเอ่ยทุกสิ่ง

สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องประหลาด อวี่ซื่อเองก็ไม่สนใจว่าความจริงจะเป็นอย่างไร จุดที่ทำให้อวี่ซื่อรู้สึกว่าน่าสนุกอย่างแท้จริงคือช่วงเวลาก่อนหน้านี้ อวี่ซื่อมองเห็นความซาบซึ้งในบุญคุณ ความเลื่อมใส ความหวาดกลัวต่อตนอย่างจริงใจผ่านสายตาและหัวใจของคนหนุ่ม รวมไปถึงความรู้สึกที่ยินดีจะเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่ จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่เสียดายชีวิต เห็นได้ชัดว่าหลูเจี่ยนซินยินดีใช้ความสะใจเพียงชั่วครู่ชั่วยามมาพิฆาตความไม่สบอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจมาอย่างยาวนาน ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องการคนน่าสงสารที่นิสัยเดินไปบนทางสุดโต่งได้ง่ายเช่นนี้ ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี คาดว่าคนเหล่านี้คงจะเป็นคนเติมดินหลุมศพของลัทธิขงจื๊ออย่างที่มู่จีกล่าวถึงกระมัง อาจารย์โจวเคยยิ้มเอ่ยว่า ใต้หล้าไพศาลมีบัณฑิตเยอะเกินไป ชอบสร้างความรู้จอมปลอมทำตัวเป็นคนถ่อยที่แท้จริงมากเกินไป คิดจริงๆ หรือว่าการแสร้งวางมาดภูมิฐานเช่นนั้น คนบนโลกจะมองไม่เห็น ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย คนประเภทหนึ่งคือกล้าโมโหไม่กล้าพูด อีกประเภทหนึ่งคือคนที่ในใจคอยคิดอยากจะเป็นคนแบบนั้น ดังนั้นอันที่จริงจึงเป็นการสร้างหลุมศพให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็จะโทษที่ผู้คนมากมายมาคอยเติมดินให้หลุมศพราบเรียบไม่ได้แล้ว

อวี่ซื่อพลันเงยหน้าขึ้น

ระหว่างฟ้าดินมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่จากจุดที่ห่างไปไกลแผ่ลามมาถึงที่แห่งนี้อย่างว่องไว คือวิชาอภินิหารของขอบเขตบินทะยานอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางที่แม้แต่เขาอวี่ซื่อซึ่งอยู่ที่นี่ก็ยังสามารถสัมผัสถึงลมปราณมากไพศาลขุมนั้นได้อย่างชัดเจน

สตรีผู้หนึ่งที่สองตาเป็นสีแดงฉานมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายอวี่ซื่อ เอ่ยเบาๆ ว่า “คุณชาย รบกวนออกไปจากที่นี่ชั่วคราวก่อน ก่อนหน้านี้สวินยวนเจ้าสำนักกุยหยกถูกข้ากับหย่างจื่อดักฆ่า แล้วยังถูกเซียวสวิ้นไล่ตามเข้าไปในพื้นที่ลับใต้มหาสมุทรที่ถูกอำพรางไว้ พวกเขาต่อสู้กันจนที่นั่นแหลกเละ ไม่เหลือที่ให้หลบหนีได้อีกแล้ว สวินยวนจึงเรียกกายธรรมมาปรากฎตัวที่ชายหาดของมหาสมุทรบูรพา คิดจะแบ่งใบถงทวีปออกเป็นสองส่วน มีความเป็นไปได้มากว่าจะลามเดือดร้อนมาถึงที่แห่งนี้ด้วย”

อวี่ซื่อส่ายหน้ากล่าว “เจ้าแค่ปกป้องข้ากับพวกเซียนจ่าวก็พอแล้ว ข้าอยากจะเห็นในระยะประชิดว่าสวินยวนจะแบ่งใบถงทวีปออกจากกันได้อย่างไรกันแน่”

เฟยเฟยปีศาจใหญ่บนบัลลังก์พยักหน้ารับ

อวี่ซื่อขมวดคิ้วถาม “แล้วเซียวสวิ้นผู้นั้นล่ะ?”

เฟยเฟยกล่าว “พื้นที่ลับแห่งนั้นประหลาดอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะถูกสวินยวนหลอกไปยังใต้หล้าแห่งอื่นชั่วคราว เป็นไปได้ว่าการหลบหนีครั้งนี้ของสวินยวนก็เพราะจงใจล่อให้เซียวสวิ้นมาติดกับ”

ร่างของนางพลันพุ่งวูบหายไป ครู่ต่อมาก็กลับมาที่นี่ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย “ในที่สุดเซียวสวิ้นก็ออกกระบี่แล้ว”

อวี่ซื่อเงยหน้ามองไป กลางอากาศเหนือมหาสมุทรบูรพาของใบถงทวีป ม่านฟ้าถูกแหวกออกเป็นประตูบานใหญ่ เซียวสวิ้นใช้กระบี่ฟันม่านฟ้าของที่แห่งอื่นแล้วใช้การ ‘บินทะยาน’ กลับเข้ามาในใต้หล้าไพศาล จากนั้นก็ปล่อยแสงกระบี่ประกายแสงเจิดจ้าพร่าตาเข้าใส่กายธรรมหมื่นจั้งของสวินยวน พลังอำนาจไม่เป็นรองกระบี่แรกที่ป๋ายเหย่ส่งออกไปยังฝูเหยาทวีปเลย

แสงกระบี่ที่พลังอำนาจเป็นเอกไร้เทียมทานนั้นมีประกายของแสงน้ำ แสงไฟ แสงสายฟ้าบิดพันเข้าด้วยกัน

เฟยเฟยแหงนหน้ามองไปแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “ตาเฒ่าตายแน่”

อวี่ซื่อยิ้ม “เทียบกับเจ้าแล้ว สวินยวนไม่ถือว่าแก่จริงๆ”

เฟยเฟยยิ้มบางๆ จากนั้นกล่าวว่า “ข้าจะไปแย่งเศษชิ้นส่วนร่างทองแก้วใสมาให้คุณชาย”

อวี่ซื่อคิดจะส่ายหน้า เฟยเฟยกลับพุ่งตัวออกไปแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ท่านหนึ่ง อีกทั้งรากฐานมหามรรคายังไม่ได้รับความเสียหาย จะให้อวี่ซื่อคอยตำหนิหรือขัดขวางอยู่ก็คงมิได้

แล้วนับประสาอะไรกับที่เฟยเฟยยังใช้เสียงในใจเอ่ยกับเขาสองคำว่า ‘ระวังด้วย’

อวี่ซื่อสาวเท้าเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่ในจวนโอ่อ่านั้นอย่างไม่กระโตกกระตาก

แล้วทันใดนั้นรอบกายของอวี่ซื่อก็คล้ายว่าอยู่ดีๆ แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็หยุดชะงักอย่างไร้สาเหตุ

ทว่าอวี่ซื่อกลับไม่ได้ตกตะลึงใดๆ ตอนนี้บนร่างเขามีชุดคลุมอาคมที่เฟยเฟยมอบให้ สามารถต้านทานการปล่อยกระบี่อย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินได้หลายครั้งโดยที่ไม่ตาย

อีกทั้งหากชุดคลุมอาคมของอวี่ซื่อโดนเวทกระบี่หรือกระบี่บิน ขอแค่เฟยเฟยไม่ได้อยู่กันคนละทวีป ก็สามารถมาถึงได้ในเสี้ยววินาที

อวี่ซื่อหันไปมองบนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง คือบุรุษหน้าตาหล่อเหลาที่บนศีรษะสวมกวานสูง สวมชุดคลุมตัวยาวสีทอง เขาโยนถุงผ้าต่วนสีเหลืองที่เจียวสีหมึกตัวนั้นกำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งแต่ก็ไม่อาจสลัดได้หลุดออกมาเบาๆ

คนผู้นั้นชำเลืองตามองไปยังชุดคลุมอาคมบนร่างของอวี่ซื่อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยากนักที่จะมีสิ่งของใดที่พอได้เห็นแล้วอยากได้ทันที แต่ก็ยังคงเป็นชีวิตน้อยๆ ของข้านี้ที่มีค่ามากกว่าหน่อย”

อวี่ซื่อกุมหมัดกล่าว “คารวะเจ้าสำนักเจียง”

เจียงซ่างเจินยกมือขึ้นโบกเบาๆ “ไม่ได้เรื่องเลย เกรงใจอะไรกัน กว่าพ่อลูกจะได้พบเจอกันไม่ใช่เรื่องง่าย เรียกท่านพ่อก็พอแล้ว วันหน้าจำไว้ว่าให้สาวใช้เฟยเฟยผู้นั้นมาทุบไหล่นวดขาให้พ่อของเจ้าด้วย ถือเสียว่าเป็นการกตัญญูชดเชยส่วนที่ขาดไป”

อวี่ซื่อหลุดหัวเราะพรืด เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “คนหนุ่มที่เจียวสีหมึกให้การปกป้องเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เจียงซ่างเจินหัวเราะคิกคัก “เขาน่ะหรือ แลกวิญญาณกับคุณชายหนุ่มคนหนึ่งไปแล้ว คาดว่ารออีกเดี๋ยวพอแม่น้ำแห่งกาลเวลาสลายหายไป คงจะค่อนข้างมึนงง ข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ไหน ข้าจะทำอะไร?”

อวี่ซื่อถาม “เจ้าประมุขเจียงไม่ไปช่วยสวินยวน กลับมาพูดบ่นให้ข้าฟังที่นี่น่ะหรือ?”

“คนที่อยู่ใกล้ในระยะประชิดอย่างเจ้ายังไม่ฆ่า แล้วจะไปช่วยคนที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าทำไม? หากข้าผู้แซ่เจียงฉลาดขึ้นมา แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ แล้วพวกเจ้าจะคาดการณ์ได้หรือ”

เจียงซ่างเจินเบ้ปาก “อีกอย่างไอ้ลูกไม่มีพ่ออย่างเจ้าก็คือเศษสวะตัวน้อย เฟยเฟยนังแพศยาผู้นั้นถึงขั้นตัดใจมอบชุดคลุมแห่งชะตาชีวิตให้เจ้าได้ ข้ามันขี้ขลาด อีกอย่างฆ่าเจ้าแล้วเดี๋ยวการค้ากระบี่เล่มหนึ่งก็หายไป ไม่คุ้มกัน ดังนั้นจึงไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ แค่เก็บถุงผ้าแพรต่วนสีเหลืองที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนนี้มาได้เปล่าๆ ก็พอใจมากแล้ว”

อวี่ซื่อเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

หนึ่งในวิชาอภินิหารของชุดคลุมอาคมชิ้นนี้อยู่ที่การ ‘กักกระบี่’ เทียบกับเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแล้วยังมหัศจรรย์มากยิ่งกว่า

อวี่ซื่อคิดอยากจะเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อตั้งแต่แรกแล้ว หมายจะรับกระบี่ของเจียงซ่างเจินที่ว่ากันว่า ‘ใบหลิวหนึ่งใบสังหารเซียนเหริน’ สักหนึ่งที

เจียงซ่างเจินเก็บถุงผ้าแพรสีเหลืองไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่หยุดชะงักก็กลับคืนมาเป็นปกติ

อวี่ซื่อถาม “ทำไมเจ้าถึงไม่ไปหาเซอเยว่ หรือไม่ก็โต้วโค่ว?”

คนหนึ่งคือหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า อีกคนหนึ่งคือหนึ่งในสำรองสิบคน

ประเด็นสำคัญคือพวกนางยังไม่เหมือนตนกับจวินทาน ไม่มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาแม้แต่คนเดียว

เจียงซ่างเจินเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยตอบ

ในห้องหนังสือแห่งหนึ่ง คุณชายหน้าตาหล่อเหลาสวมเสื้อผ้าหรูหราถูกจับมัดอยู่กับคนหนุ่มคนหนึ่ง หลูเจี่ยนซินที่เดิมทีต่อให้ไม่มีเจียวสีหมึกเป็นองค์รักษ์คอยปกป้อง ลำพังเพียงแค่พละกำลังของเขาก็สามารถสังหารคุณชายน้อยตระกูลหานให้ตายได้แล้ว เวลานี้กลับถูกคนขี่อยู่บนร่างแล้วป้อนหมัดให้กินเสียเต็มกลืน โดนต่อยจนใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ‘คุณชายหล่อเหลา’ นอนอยู่บนพื้น ถูกต่อยจนเจ็บปวดพูดไม่ออก ในใจให้เสียใจภายหลังยิ่งนัก หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกควรจะไปหาสตรีหน้าเหม็นที่งดงามปานบุปผาปานดวงจันทร์ผู้นั้นเสียก่อน…ส่วน ‘หลูเจี่ยนซิน’ ที่ปล่อยพละกำลังซึ่งมีเต็มเรือนกายอันแข็งแกร่งก็กำลังน้ำตานองหน้า ทว่าสายตากลับอำมหิตผิดปกติ ด่าคนด้วยน้ำเสียงที่ไม่คุ้นหูพลางต่อย ‘ตัวเอง’ ที่อยู่บนพื้นอย่างเอาเป็นเอาตายไปด้วย สุดท้ายใช้สองมือบีบคออีกฝ่ายเต็มแรง

เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาล่ะ พี่หญิงเฟยเฟย ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว หน้าตางดงามปานนั้น ทำไมไม่กล้าออกมาพบเจอผู้คนเล่า”

คิดไม่ถึงว่าเฟยเฟยจะ ‘เดินออกมา’ จากชุดคลุมอาคมของอวี่ซื่อ เอ่ยกับอวี่ซื่อว่า “คุณชาย นี่เป็นแค่เวทลับภาพมายาเท่านั้น มีตบะเท่าเทียมกับก่อกำเนิด ร่างจริงของเจียงซ่างเจินไม่ได้อยู่ที่นี่”

เจียงซ่างเจินพยักหน้า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากไม่มั่นใจเต็มร้อย ข้าก็ไม่เคยลงมือ ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย ก็อย่าหวังว่าจะฆ่าข้าได้ ครั้งนี้มาก็เพราะต้องการทักทายพวกเจ้า วันใดพี่หญิงเฟยเฟยกลับไปสวมชุดคลุมอาคมอีกครั้งก็จำไว้ว่าให้คุณชายอวี่ซื่อไปหลบซ่อนตัวอยู่ในกระโจมแต่โดยดี ไม่อย่างนั้นข้าผู้อาวุโสคิดจะตีลูกชายตัวเองขึ้นมา ย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักฟ้าดินแล้ว”

สุดท้ายในขณะที่ร่างของเจียงซ่างเจินสลายหายไป ถุงผ้าแพรต่วนสีเหลืองใบนั้นกลับไม่ได้ตามเขาจากไปด้วย เจียงซ่างเจินยังไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ก็แค่หยอกอวี่ซื่อเล่นเท่านั้นเอง บุรุษที่เป็นเจ้าประมุขกุยหยกคนล่าสุด แต่กลับมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเจ้าประมุขคนสุดท้ายผู้นี้มีสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย เขาหันหน้ามองไปทางทะเลทิศตะวันออก ร่างทองแก้วใสของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานเริ่มแตกสลาย ยามที่ร่วงกระจายต่อให้เป็นทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามเพียงใด ถึงอย่างไรความรู้สึกที่ว่าตายดีไม่สู้อยู่อย่างขี้เกียจก็ยังล้อมวนในใจไม่จางหาย ทำให้คนรู้สึกปวดร้าวยิ่งนัก

เจียงซ่างเจินพึมพำว่า “ด่าท่านว่าตาแก่หนังเหนียวอยู่นานหลายปี ยามที่ท่านตายกลับเสียใจถึงเพียงนี้ วันหน้าคิดจะขอฟังคำด่าสักคำคงยากแล้ว”

สุดท้ายเหลือเพียงศีรษะของเจียงซ่างเจินที่ยังไม่สลายหายไป ภาพมายาที่เหลือเพียงน้อยนิดนั้นหลุบตาลงต่ำมองนายบ่าวที่ตัวตนแปลกประหลาดไม่แพ้กันแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บัญชีเก่าใหม่สองครั้ง หนึ่งคือรังแกสตรีของข้า อีกหนึ่งคือเล่นงานตาเฒ่าสวิน วันหน้าข้าผู้แซ่เจียงจะค่อยๆ มาชำระกับพวกเจ้า ถึงอย่างไรก็หมายหัวพวกเจ้าไว้แล้ว”

……

ช่วงน้ำค้างแข็ง

เมื่อถึงช่วงอากาศเช่นนี้ ยามที่พระอาทิตย์ตกดิน ปราณหยินจะมารวมตัวกันจับตัวแข็ง กลิ่นอายฤดูใบไม้ร่วงง่ายที่จะทำให้คนเสียใจ สมควรป้องกันความหนาวจากภายนอก กำจัดความร้อนจากภายใน

ดังนั้นด้านล่างภูเขาจึงมีความเคยชินในการกินลูกพลับ ได้ยินมาว่าสามารถบำรุงเส้นเอ็นและกระดูก พอเข้าหน้าหนาวปากจะไม่แห้งแตก

หลังจากฝนตกพรำๆ ผ่านพ้นไป ใต้ต้นพลับต้นหนึ่งก็เหมือนแขวนโคมไฟไว้หลายดวง ท้องฟ้าที่มีไอหมอกขมุกขมัว กิ่งไม้สีเทาออกดำยิ่งขับให้สีแดงสดของลูกพลับแต่ละลูกเพิ่มบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมากขึ้นเป็นพิเศษ

หญิงสาวคนหนึ่งที่มองดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ร่างออกท้วมเล็กน้อย ใบหน้ากลมป่อง สวมชุดผ้าฝ้าย เขย่งปลายเท้ายืดเอวขึ้นตรง ในมือถือกิ่งไม้แห้งที่ไม่รู้ว่าเก็บมาจากไหนหนึ่งกิ่ง ตีให้ลูกพลับห้าหกลูกตกลงพื้น จากนั้นก็โยนกิ่งไม้ทิ้งไป ค้อมเอวไปหยิบลูกพลับสีแดงวาววับพวกนั้นขึ้นมา ใช้ผ้าฝ้ายห่อเอาไว้

สุดท้ายนั่งไปนั่งอยู่ด้านหน้าศิลาแบ่งเขตอำเภอ กัดกินลูกพลับพลางอ่านตัวอักษรที่จารึกบนหลักศิลาไปด้วย ตรงกลางสลักคำว่า ‘รับสั่งทางการเป็นเขตต้องห้าม เขตอำเภอหย่งหนิง’ ด้านซ้ายสลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้หนึ่งบรรทัด เขียนเป็นชื่อแคว้นและปีรัชศก

นางรู้สึกว่าร้ายกาจอย่างมาก แค่ศิลาก้อนหนึ่งที่ชาวบ้านซึ่งเดินทางผ่านไปผ่านมาไม่คิดจะมองซ้ำ กลับสามารถกำหนดอาณาเขตของสองพื้นที่ที่อยู่ติดกันได้

หากเป็นบ้านเกิดของนางคงทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะไม่มีข้อพิถีพันเช่นนี้ แล้วก็ไม่อาจตั้งข้อกำหนดแบบนี้ได้ด้วย การต่อสู้ดุเดือดเกินไป นิสัยแย่เกินไป ไม่ว่าอะไรก็ยากที่จะรั้งไว้ได้อยู่

พอมาถึงที่นี่นางก็เดินทางท่องเที่ยวมาตลอดทาง เงินเหรียญทอง เงินก้อน ทองก้อนที่ขุนนางของแต่ละแคว้นสร้างขึ้น สี่สมบัติในห้องหนังสือ ตำราของเมธีร้อยสำนัก ไม่ว่าอะไรนางก็เก็บสะสมไว้ทั้งหมด เห็นอะไรก็ถูกชะตาไปทั่ว สรุปก็คือพอไปถึงเมืองที่ผ่านศึกสงครามไปแล้ว ยิ่งเป็นบ้านของคนตระกูลใหญ่ที่มีประตูเยอะก็ยิ่งไม่เหลือประตูมากเท่านั้น นางสามารถเดินเตร็ดเตร่เข้าไปแล้วเก็บของมาได้ตามใจชอบ ของต่างๆ ร่วงกองเกลื่อนพื้นเยอะกว่าศพเสียอีก กินลูกพลับยังต้องตีลูกพลับให้ร่วงจากต้น แต่เก็บของที่ว่ากันว่าเดิมทีสามารถเอาไปขายได้เงินมาไม่น้อยกลับง่ายกว่ามาก

ใบถงทวีปในทุกวันนี้ วิถีทางโลกของทางทิศเหนือ อันที่จริงไม่สงบสุขเหมือนทางทิศใต้

ในบรรดาเก้าทวีปของใต้หล้าไพศาล ใบถงทวีปถือเป็นทวีปที่มีภูเขาตระกูลเซียนไม่เยอะเหมือนขนวัวมากที่สุด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นภูเขาลูกใหญ่มากกว่า อันที่จริงไม่ว่าบนดินแดนของทวีปใหญ่ที่อาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแห่งใดก็ตาม มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาที่มีสายตาของคนธรรมดา หากคิดจะขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียนกลับหาเจอได้ยากมาก ไม่ได้ง่ายไปกว่าการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เลย แน่นอนว่าก็มีคนน่าสงสารที่โดนผีบังตาเพราะค่ายกลขุนเขาสายน้ำด้วย

ทุกวันนี้ในใบถงทวีปยิ่งเป็นภูเขาสายน้ำที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ปราณวิญญาณเบาบางมากเท่าไร พอมาถึงช่วงกลียุคกลับยิ่งไม่เจอกับหายนะมากเท่านั้น แคว้นเล็กๆ กันดารหลายแห่ง หากมีเทพเซียนบนภูเขาอยู่บ้าง และการข่าวก็พอจะถือว่าว่องไว ก็นึกอยากจะพกเอาทั้งศาลบรรพจารย์และภูเขาทั้งลูกหนีไปพร้อมกันเสียแต่เนิ่นๆ ไหนเลยจะมีเวลามามัวสนใจคนอื่น ขึ้นเขามาฝึกตน อะไรที่ควรตัดขาดก็ควรตัดขาดนานแล้ว แต่ละคนเอะอะก็ออกเดินทางไกล กินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง ไหนเลยจะหาห่วงมากมายขนาดนั้นมาผูกคอ

หากไม่เป็นเพราะนางค่อนข้างชอบเดินทางไกล อีกทั้งยังไม่ละโมบในคุณความชอบทางการรบของกระโจมทัพ วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินและพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลทั้งหลาย ไม่แน่ว่าคนของอำเภอหย่งหนิงคงต้องรอให้ผ่านไปหลายสิบปีเสียก่อนกว่าจะได้พบเจอคนต่างถิ่นอย่างนางก็เป็นได้

มาจากต่างถิ่นที่อยู่ห่างไกลอย่างมาก แต่กลับไม่ใช่คนต่างถิ่นอะไร

นางกินลูกพลับไปลูกหนึ่งแล้วก็หยิบกิ่งไม้อันหนึ่งขึ้นมา ลุกขึ้นยืน หันหลังให้ศิลาแบ่งเขต ยกขาขึ้นใช้พื้นรองเท้าขูดดินกับศิลาเบาๆ

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกศาลบุ๋นของอำเภอ คงเพราะเป็นช่วงน้ำค้างแข็ง จึงมีขุนนางพาลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งมาท่องบทอวยพร บ้างก็เป็นบทไถนา บ้างก็เป็นบททอผ้า เลี่ยงลมเลี่ยงฝน ควรเป็นของลูกหลานเจ้า แท้จริงแล้วอยู่ในคลังของข้า…

เอาเป็นว่านางฟังไม่เข้าใจ แค่เคยเรียนรู้ภาษากลางของใต้หล้าไพศาลมาบ้างเล็กน้อย นอกจากนี้ภาษากลางของใบถงทวีปนางก็พูดไม่เป็น ฟังไม่ออก ภาษาราชการประจำแคว้น ภาษาท้องถิ่นของที่ต่างๆ ก็ยิ่งไม่รู้สักนิด เพียงแค่เห็นว่าบัณฑิตกลุ่มนั้นมีทั้งที่ได้เป็นขุนนางแล้วและก็ยังไม่ได้เป็นขุนนางมารวมตัวกัน เป็นตัวแทนกล่าวถึงความทุกข์ยากของประชาชน ทำเรื่องต่างๆ ให้แก่ชาวบ้าน มองดูแล้วเป็นการเป็นงานอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าพวกคนที่สวมชุดขุนนางเหล่านั้นตัวอ้วนฉุ ใบหน้าแดงปลั่งเกินไปหรือไม่ แม้แต่คอก็เกือบจะมองไม่เห็นแล้ว หรือว่าบัณฑิตไม่ควรร่างผอมบางอย่างอาจารย์โจวกันนะ?

——