มีเด็กกลุ่มหนึ่งขี่ม้าไม้ไผ่วิ่งผ่านไปด้วยความสนุกสนาน พวกเขากำลังเล่นพ่อแม่ลูกฉากหามเกี้ยวเจ้าสาว
ก่อนหน้านี้มองเห็นสตรีที่ยืนอยู่ข้างก้อนหินแล้ว อย่างมากสุดพวกเด็กๆ ก็แค่ชำเลืองมองมาหลายครั้งหน่อยเท่านั้น ไม่มีใครสนใจนางจริงจัง หญิงสาวมองดูแล้วหน้าตาไม่คุ้นเคย แล้วก็ดันไม่สวยเสียด้วย
นางออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพังต่ออีกครั้ง
สืบสาวเบาะแสไปตามการโคจรของปราณวิญญาณ ในที่สุดก็เจอกับพรรคตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง เป็นเพียงครอบครัวเล็กๆ นับว่าหาได้ยากในใบถงทวีปแห่งนี้
แต่ผู้ฝึกตนบนภูเขาดูเหมือนว่าจะออกไปข้างนอกกันหมด นางจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยือน สุดท้ายห่างออกไปหลายร้อยลี้ ระหว่างภูเขาสองลูก ไอหมอกท่ามกลางขุนเขาแผ่อบอวล ประหนึ่งน้ำในลำธารที่ไหลริน ระหว่างยอดเขามีพวกผู้ฝึกลมปราณตระกูลเซียนกำลังจัดวางตาข่ายเวทคาถา เพราะต้องการจะจับนกชนิดหนึ่ง จึงทำเหมือนการจับปลาล่างภูเขา นั่นคือไล่ต้อนปลาให้เข้ามาในแห มีผู้ฝึกลมปราณหลายคนคอยทะยานลมสร้างความตื่นตกใจให้กับฝูงนก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างบางส่วนที่ยังไม่อาจทะยานลมได้จึงคอยวิ่งตะบึงอยู่กลางภูเขาไม่หยุด ทำเสียงดังจงใจให้พวกนกบินฮือขึ้นไปด้วยความตกใจ
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายนั่งมองภาพนี้อยู่บนกิ่งไม้ของภูเขาเล็กเตี้ยแห่งหนึ่งอย่างสงบนิ่ง
ดูเหมือนว่าหลังออกจากใต้หล้าเปลี่ยวร้างมายังใบถงทวีป ทัศนียภาพที่ได้เห็นก็ไม่ต่างจากนี้สักเท่าไร มีนกแตกฮือด้วยความตกใจ จากนั้นก็พุ่งเข้าชนตาข่ายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกเทพเซียนบนภูเขาที่เดิมทีมองจักรพรรดิล่างภูเขาเป็นหุ่นเชิดเหล่านั้น รอกระทั่งความตายมาเยือนแล้วจะหันมาอิจฉามดกึ่งกลางภูเขาที่ขอบเขตไม่สูงในสายตาของตนพวกนี้หรือเปล่า
คงจะไม่มีเวลามามัวสนใจกระมัง ความเป็นความตายเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ต่อให้จะเป็นผู้บรรลุมรรคา คาดว่าในสมองก็คงเหลวมีแต่แป้งเปียกไม่ต่างกันกระมัง?
อยู่ดีๆ นางก็อยากหาคนที่พูดคุยด้วยได้สักคน ไม่คาดหวังว่าจะต้องเป็นคนที่พูดภาษาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ จะดีจะชั่วพูดภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ก็ยังดี ตอนนี้หาเจอได้ไม่ง่ายนัก สถานที่เล็กๆ แบบนี้แม้แต่ศาลเทพอธิบาลเมือง ศาลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำขุนเขาสายน้ำก็ยังไม่มี ผู้คนต้องพูดแค่ภาษากลางของใบถงทวีปเป็นอย่างเดียวแน่นอน น่าเสียดายบัณฑิตลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาทั้งหลาย หากไม่รบตายในสนามรบ คนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ถอยกลับไปยังสำนักกุยหยกและสำนักใบถงแล้ว ซานจวินของห้าขุนเขาแห่งราชวงศ์ใหญ่ก็ต้องตายกันหมดแน่นอนแล้ว ลูกหลานสำนักการค้าก็ยิ่งเผ่นแน่บกันไปหมด ความสามารถในการหาเงินหลบเลี่ยงหายนะร้ายกาจเกินไป ยากที่จะตามตัวเจอได้
ส่วนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ก่อนหน้านี้นางกลับโชคดีได้เจอคนหนึ่ง คือคนที่ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก แล้วก็ไม่เคยเปิดขุนเขาก่อตั้งสำนัก คาดว่านี่ก็คงเป็นผู้ถือตนสันโดษของใต้หล้าไพศาลแล้วกระมัง ตอนนั้นนางเจอเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจ หลักๆ แล้วเพราะคร้านจะลงมือ เนื่องจากก่อนหน้านี้นางไปเยือนจวนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ มีเซียนดินโอสถทองและก่อกำเนิดเฝ้าพิทักษ์ แต่พูดคุยกันไม่ใคร่ถูกคอนักก็เลยถูกนางปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ตายไปหมดแล้ว ถูกต้อง ตอนที่เพิ่งขึ้นฝั่ง ยังมีขอบเขตหยกดิบอีกคนที่นางลืมถามชื่อ เขาเองก็ถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวเหมือนกันไม่ใช่หรือ
ในคลองจักษุของนางมองเห็นชายหนุ่มหญิงสาวที่เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างหลายคนกำลังเดินลงเขามา มีเซียนซือหญิงถือดอกเบญจมาศที่เพิ่งเด็ดออกจากต้นประคองไว้ในฝ่ามือ น้ำค้างแข็งพิฆาตร้อยบุปผา มีเพียงพืชพรรณชนิดนี้ที่ยังออกดอกงดงาม
หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายวางสองมือยันกิ่งไม้ ไม่ได้สนใจเซียนซือหญิงทั้งหลาย ยิ่งไม่คิดจะมองดอกเบญจมาศมากไปกว่านั้น ความคิดของนางล่องลอยไปไกล ได้ยินมาว่าใต้หล้าไพศาลมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าพื้นที่มงคลร้อยบุปผา ในบรรดาราชินีของร้อยบุปผา ดูเหมือนว่าตำแหน่งเทพของบุปผาชนิดนี้จะสูงมาก ชื่อเรียกที่ไพเราะสง่างามของพวกมันก็มีมากเหมือนกัน อีกทั้งยังน่าฟังอย่างมากด้วย เกสรน้ำค้าง ลักยิ้มทอง ส่วนคำเรียกที่ว่าแก่นตะวันกับอวบอิ่มนั้น ออกจะประหลาดไปสักหน่อย หญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายชอบคิดเรื่องเหลวไหลพวกนี้ ในอดีตยามอยู่บนเส้นทางการฝึกตนของบ้านเกิดก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าใต้หล้าไพศาลมีเรื่องที่น่าสนใจมากมาย จะต้องมาเยือนที่นี่เพื่อดูให้เห็นกับตาให้ได้ ส่วนเรื่องการรบราฆ่าฟันนั้น สำหรับนางแล้วไม่ได้มีความหมายสักเท่าไร
ก่อนหน้านี้การที่นาง ‘กลับจากสวรรค์มายังโลกมนุษย์’ ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แล้วจึงมาเยือนใบถงทวีปแห่งนี้ สาเหตุก็เพราะปีศาจใหญ่เจ้าอารามดอกบัวได้ถูกต่งซานเกิงออกกระบี่สังหาร เพราะถึงอย่างไรหากว่ากันในบางระดับแล้ว นางกับเจ้าอารามดอกบัวก็พอจะถือว่าเป็นเพื่อนบ้านกันได้ แน่นอนว่าถึงแม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนบ้าน แต่แท้จริงแล้วกลับอยู่ห่างกันไกลมาก ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าระหว่างแสงจันทร์ก็แค่มองดูเหมือนใกล้เท่านั้น บางครั้งก็มีแค่เจ้าคนที่ชื่อเย่าเจี่ยเท่านั้นที่จะมาเยี่ยมเยียนนางที่บ้าน
ระหว่างที่ชายหญิงกลุ่มนั้นเดินอยู่กลางภูเขา มีคนบอกว่าเมฆสารทคืนแสงจันทร์ไร้น้ำหล่น ไฟเผาสนแห้งแข็งเพลิงลุกโชน จากนั้นพวกคนที่อยู่ข้างกายก็ขับร้องบทกวี บ้างก็เอามาจากในหนังสือ บ้างก็เป็นความรู้ที่อยู่ในท้องของตัวเอง
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายฟังอะไรไม่เข้าใจสักอย่างจึงเริ่มหงุดหงิด หากเป็นเมื่อก่อนนางคงจะอดทน ขึ้นเขาลงห้วยมาตลอดทาง นางล้วนถือเป็นแค่คนที่ผ่านทางมา เพียงแค่อยากหาคนที่พูดคุยด้วยได้เท่านั้นเอง นี่จึงทำให้นางมีโทสะ พอไฟโทสะลุกโชนก็เคยชินที่จะยื่นสองมือออกมาตบหน้าตัวเอง ความเคลื่อนไหวนี้ไม่เบา ทำให้พวกเซียนซือหนุ่มสาวที่หูดีได้ยิน บางคนสายตาไม่เป็นมิตร บางคนมองนางเหมือนเป็นพวกโจร แล้วก็มีคนที่รังเกียจว่านางหน้าตาไม่งดงามมากพอ? ทว่าพวกคนที่มองนางไม่ต่างจากนกที่บินเข้ามาติดตาข่าย คือคนประเภทที่นางรังเกียจที่สุด
เพียงแต่เมื่อนางมองเห็นแม่นางน้อยหน้ากลมคนหนึ่งเบิกตากว้างด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายก็ยิ้มกว้าง อารมณ์ดีขึ้นมาโดยพลัน เพราะพูดคุยกันไม่รู้เรื่อง นางจึงยกมือขึ้นโบก ถือเป็นการทักทายแม่นางน้อยคนนั้นแล้ว
แม่นางน้อยรีบยกมือโบกแรงๆ ทักทายพี่สาวแปลกหน้ากลับคืน พอพวกศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหลายพากันมองมาที่นาง นางก็รีบเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองฟ้าทันที
ทำเอาสตรีที่สวมชุดผ้าฝ้ายยิ้มจนตาหยี แม้นางน้อยหน้ากลมน่ารักเป็นที่สุด
สุดท้ายคนทั้งกลุ่มก็ไม่ได้พูดอะไร ยิ่งไม่รู้ว่าถูกผีบังตาจนเดินวนกลับขึ้นเขาไปอีกรอบ
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายยังคงใช้สองมือยันกิ่งไม้ไว้เหมือนเดิม ยิ้มถามว่า “เจ้าก็คือเจียงซ่างเจินรึ?”
บุรุษคนหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้อีกมุมหนึ่ง ยิ้มพลางพยักหน้ารับ “แม่นางเซอเยว่หน้ากลมๆ ช่างน่ามองยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนใจ”
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายยังคงทอดสายตามองไปไกล เอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดจะฆ่าก็ฆ่าได้สักหน่อย”
เจียงซ่างเจินนั่งลงข้างกายนาง รอคอยแสงจันทร์มาเยือนโลกมนุษย์เป็นเพื่อนนาง ถามว่า “เคยเจอเฉินผิงอันหรือไม่?”
นางคิดแล้วก็ตอบว่า “เคยเห็นแวบหนึ่ง ไม่ได้หน้าตาดีเหมือนเจ้า”
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ “ไม่จริงสักหน่อย”
แต่ดูเหมือนว่าเซอเยว่จะมีนิสัยค่อนข้างดื้อดึง จึงกล่าวว่า “จริงสิ”
เจียงซ่างเจินหยิบเหล้าตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมาดื่มอย่างสำราญใจ ทุกวันนี้คนหมักเหล้าของภูเขาลูกนั้นไม่อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นทุกกาที่ดื่มลงไป บนโลกมนุษย์ก็จะมีเหล้าน้อยลงไปหนึ่งกา
เซอเยว่ถาม “เจ้ารู้จักกับอิ่นกวานหนุ่มคนนั้นหรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “นั่นคือพี่น้องที่สนิทสนมกันอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่ทุกวันนี้เป็นคู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก มีทุกข์ร่วมต้านจริงๆ แล้ว”
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายยกมือเกาแก้ม ถามชวนคุยว่า “ทำไมไม่ออกไปจากใบถงทวีปเสียเลย? ในช่วงเวลาที่สำนักกุยหยกจะถูกตีแตกไม่แตก เจ้าก็ควรจะพาตัวไปตายที่นั่นแล้ว”
เจียงซ่างเจินดื่มเหล้าจนหมดจึงโยนกาเหล้าทิ้ง เอ่ยหยอกล้อว่า “จิตใจคนวิถีทางโลกพุ่งซัดกรากไหลสู่ที่ต่ำ แต่ข้าจะไหลทวนกระแสไปสู่ที่สูง ต้องการจะไปตะเบ็งเสียงตะโกนอยู่บนยอดเขาสักสองสามประโยค ไม่อย่างนั้นก็จะไม่อาจแสดงให้เห็นถึงมาดอันองอาจของข้าผู้แซ่เจียง”
สตรีชุดผ้าฝ้ายไม่ได้ต่อปากต่อคำ พูดคุยเรื่องพวกนี้น่าเบื่อจะตายไป นางจึงเปลี่ยนไปถามเรื่องใหม่ “พูดภาษาบ้านเกิดของข้าได้ไหม ไม่ได้ยินมานานแล้ว คิดถึงมากเลยล่ะ”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้าถอนหายใจ “แม้แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ข้าก็ยังไม่เคยไป จะพูดภาษาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้อย่างไร”
นางถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สู้อิ่นกวานหนุ่มคนนั้นไม่ได้ ตอนอยู่บ้านเกิดของข้า เขาสร้างเรื่องก่อราวไว้เสียใหญ่โต ภายหลังสืบความบางอย่างมาได้ รู้สึกว่าเขาชอบผู้หญิงที่ชื่อหนิงเหยานั่นจริงๆ ข้าไม่ได้รู้สึกว่าคนรุ่นเยาว์สิบคนอะไรนั่นมีความหมายตรงไหน เพียงแค่รู้สึกว่าบุรุษผู้หนึ่งสามารถชอบผู้หญิงคนหนึ่งได้ขนาดนั้นช่างสุดยอดไปเลย ก็เลยรู้สึกอิจฉาพวกเขาเล็กน้อย”
อันที่จริงก่อนหน้านี้เจียงซ่างเจินแอบจับตามองนางมานานมากแล้ว ไม่เคยเห็นนางลงมือฆ่าคน กลับกลายเป็นว่าเห็นนางแอบกินอาหารในงานวัดในตลาดอยู่หลายครั้ง ทั้งๆ ที่ฟังอะไรไม่เข้าใจ แต่เวลาที่เจอแท่นแสดงงิ้ว ดวงตาคู่นั้นก็สามารถเบิกจนกลมเหมือนใบหน้าของนาง
เจียงซ่างเจินหันหน้ามามองแม่นางหน้ากลมที่สถานะแปลกประหลาด นิสัยยิ่งแปลกมากกว่าด้วยดวงตาของคนที่มองภรรยาของน้องชาย
แม่นางคนหนึ่งที่สมองไม่ค่อยปกติ เป็นน้องสะใภ้ได้ก็ดีเลย ถึงอย่างไรการที่สมองของเฉินผิงอันดีเกินไปก็เป็นความไม่ปกติอย่างหนึ่งเหมือนกัน
หากสามารถหลอกนางไปเป็นน้องสะใภ้ได้ ก็ถือว่าตนได้สร้างคุณความชอบใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน ไม่เป็นไร แค่นางยอมก็พอ
แม่นางหน้ากลมมองท้องฟ้า เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้ารู้จักผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ชื่อว่าหลิวไฉหรือไม่? คนที่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ค่อนข้างเยอะคนนั้นน่ะ ได้ยินอาจารย์โจวบอกว่า อันที่จริงนอกจากซินซื่อและลี่จี๋แล้ว ไอ้หมอนี่ยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ระดับต่ำกว่าอีกเป็นพรวนเลย”
อาจารย์โจวต้องการให้นางไปตามหาหลิวไฉผู้นี้ เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ต้องทำ
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “รู้จัก”
นางหันหน้ามามอง
เจียงซ่างเจินยังคงพูดด้วยรอยยิ้มตาหยีต่อ “น่าเสียดายที่เขาไม่รู้จักข้า แม่นางเซอเยว่ ไม่พูดถึงหลิวไฉแล้ว เดี๋ยวข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเรื่องพี่น้องของข้าคนนั้นดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็อยู่ว่างไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ข้าสามารถเลี้ยงเหล้าเจ้าได้”
นางหันหน้ากลับไปที่เดิม “เจ้าอย่ามากวนข้า ไปกวนคนอื่นโน่น”
เจียงซ่างเจินทอดถอนใจ “ข้าใกล้จะถูกตลอดทั้งใบถงทวีปทำให้รำคาญตายอยู่แล้ว จะไประบายทุกข์กับใครได้เล่า”
นางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปตายเสียสิ”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “แม่นางเซอเยว่คุยเก่งจริงๆ เพราะฉะนั้นพวกเราควรจะคุยกันให้มากขึ้นอีกนิด”
ดวงจันทร์ค่อยๆ โผล่พ้นกิ่งไม้ แสงจันทร์ใสกระจ่าง สาดส่องเต็มโลกมนุษย์
แม่นางหน้ากลมตบหน้าตัวเองหนึ่งที เจียงซ่างเจินยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยขอตัวลา
นางลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์โจวถึงให้ความสำคัญกับผู้ฝึกกระบี่โอสถทองขนาดนั้น
นางหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ทะยานลมขึ้นไปยังม่านฟ้า จากนั้นก็อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของนาง ทำให้พอจะมองเห็นว่าม่านฟ้าหลายแห่งของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่ห่างไปไกลมากเหมือนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมไม่หยุด สุดท้ายปรากฏร่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลหลายตนที่ผลุบหายเข้าไปข้างใน แม้ว่าพวกมันจะถูกฟ้าดินสยบกำราบเอาไว้ ร่างทองจึงหดเล็กลงไปมาก แต่กระนั้นก็ยังมีเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารดุจห้าขุนเขา ขณะเดียวกันบนพื้นดินของแจกันสมบัติทวีปที่ประจัญหน้ากับแผ่นฟ้าก็คล้ายว่ามีดวงอาทิตย์ดวงโตลอยขึ้นมากลางอากาศ เส้นแสงนั้นเจิดจ้าบาดตาเกินไป ทำให้แม่นางน้อยรู้สึกหงุดหงิดอย่างถึงที่สุด ใจนึกอยากจะเอื้อมมือไปคว้าดวงอาทิตย์ดวงใหญ่จับกดลงบนพื้นดินยิ่งนัก
พริบตานั้นใบหลิวใบหนึ่งก็พุ่งมาตรงหว่างคิ้วของนางอย่างเงียบเชียบ
ร่างของเซอเยว่สลายหายไปดังปัง บนยอดเขาในโลกมนุษย์แห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลหนึ่งพันลี้ เนื้อหนังมังสาและจิตวิญญาณของนางรวมตัวกันขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยแสงจันทร์ที่สาดเต็มพื้น
ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ชุดผ้าฝ้ายและรองเท้าของนางก็ยังไม่เสียหายแม้แต่น้อย
อีกทั้งกระบี่ที่เจียงซ่างเจินปล่อยมากะทันหันนั้นก็คล้ายว่าจะไม่ทำให้นางมีโทสะได้เลย ความคิดจิตใจของนางยังคงจมจ่อมอยู่ในภาพเหตุการณ์ประหลาดของแจกันสมบัติทวีป เป็นเหตุให้นางที่ยืนอยู่บนยอดเขาดูเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
เจียงซ่างเจินมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายของนาง ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมสีทองปลิวไสว ด้านในชุดคลุมอาคมสีทองคล้ายจะสวมเสื้อคลุมอาคมไว้อีกหลายตัว คนผู้นี้เอ่ยอย่างละอายใจว่า “น้องสะใภ้ เข้าใจผิด เรื่องเข้าใจผิด”
จากนั้นก็มีใบหลิวแทงทะลุหว่างคิ้วของฝ่ายตรงข้ามอีกรอบ
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายมารวมตัวกันตรงจุดอื่นอีกครั้ง ในที่สุดก็เริ่มขมวดคิ้ว เพราะนางค้นพบว่าในรัศมีสามพันลี้รอบด้านยังมี ‘เจียงซ่างเจิน’ อีกหลายคนเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ “เจ้าจะเซ้าซี้ข้าไม่เลิกแบบนี้จริงๆ หรือ?”
“หมาดุร้ายกลัวจะโดนกระบองฟาด สตรีที่ดีกลัวบุรุษตามตื๊อไงล่ะ”
เจียงซ่างเจินเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อคำโบราณใช้ไม่ได้ผล แม่นางเซอเยว่ถึงขั้นไม่มีความรู้สึกฉันท์ชายหญิงอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นพี่ใหญ่เจียงคงได้แต่ทำผิดต่อมโนธรรมในใจตัวเอง ยอมเสี่ยงที่จะโดนฟ้าผ่า แต่ก็ต้องบดขยี้บุปผาให้เละคามือให้จงได้”
เซอเยว่เอ่ย “ตามใจเจ้า แค่เจ้าสำนักเจียงอารมณ์ดีก็พอแล้ว”
หลังจากออกกระบี่ติดต่อกันหกครั้ง เจียงซ่างเจินไล่ตามแสงจันทร์ไปไม่ใช่แค่หมื่นลี้ สุดท้ายเจียงซ่างเจินมายืนอยู่ข้างกายสตรีสวมชุดผ้าฝ้าย แล้วก็ได้แต่เก็บใบหลิว ใช้สองนิ้วคีบเอาไว้ “ช่างเถิดๆ ทำอะไรแม่นางอย่างเจ้าไม่ได้จริงๆ”
‘เจียงซ่างเจิน’ แต่ละคนที่สวมชุดคลุมอาคมไม่เหมือนกัน ตรงเอวห้อยสมบัติอาคมแตกต่างกันคอยผสานรวมเรือนกายกับเซอเยว่ที่อยู่ด้านข้างอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นในร่องลึกแห่งหนึ่งที่ห่างไปสามพันลี้ แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็กระแทกลงท่ามกลางแสงจันทร์
สุดท้ายเซอเยว่ก็ลอยขึ้นมาจากในน้ำ ในบ่อน้ำเล็กๆ แม่นางหน้ากลมถึงกับมีภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ราวกับแสงจันทร์ที่ผุดขึ้นบนมหาสมุทร
มุมปากของนางมีเลือดซึม แต่เลือดนั้นกลับเป็นสีขาวหิมะ นางจ้องมองบุรุษที่ยืนอยู่ข้างบ่อน้ำเขม็ง พูดด้วยสีหน้ามืดทะมึนว่า “เจียงซ่างเจิน จะทำลายมหามรรคากันและกันอย่างนี้จริงๆ รึ?!”
คนที่ออกกระบี่ก็คือร่างจริงของเจียงซ่างเจิน
เจียงซ่างเจินถูกไล่ฆ่ามาหลายครั้ง แต่กลับสามารถรอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง แน่นอนว่าต้องพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง
และแน่นอนว่าเจียงซ่างเจินไม่ได้มาก่อกวนนางเล่นๆ เท่านั้น เขาชำเลืองตามองจุดที่ห่างไปไกล ดึงสายตากลับมาแล้วใช้เสียงในใจกระซิบบอกกับนางหนึ่งประโยค จากนั้นร่างก็สลายหายไปพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน