การที่นางเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตอนยังเยาว์ ด้วยคิดว่าเป็นดั่งศาลาที่อยู่ใกล้น้ำ จึงอยากจะไปหาประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาดีๆ สักรอบ ส่วนเรื่องของการฝึกขัดเกลาจิตแห่งมรรคาก็ถือว่าได้โอกาสทำไปพร้อมกันด้วย
ผลกลับกลายเป็นว่าเจ้าตะพาบเจียงซ่างเจินผู้นี้ที่ตอนนั้นยังเป็นนายน้อยของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ได้ร่ายวิชาลับแปลกประหลาด แอบไปสิงอยู่บนร่างของสตรีในพื้นที่มงคลคนหนึ่ง จากนั้นพอได้เจอกับหลิวหัวเม่าก็ถูกชะตากันอย่างมาก เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ภายหลังคนทั้งสองจึงได้จับคู่ออกหาประสบการณ์ร่วมกัน ต่อมามีครั้งหนึ่งได้ไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่มีชื่อว่าปากน้ำฝูหรง อาศัยช่วงเวลาที่แสงจันทร์สาดส่องงดงาม รอบด้านเงียบสงบไร้ผู้คน ยามที่สตรีคนนั้นถอดสายรัดเอวชุดออกด้วยความเขินอาย นางกลับหน้าแดงก่ำ ตอนนั้นหลิวหัวเม่ายังเอ่ยสัพยอกนางไปหลายคำ แล้วยังบีบแก้มสีชมพูอ่อนนุ่มของ ‘หญิงสาว’ ไปด้วย
ภายหลังมาย้อนนึกดู ช่างเป็นเรื่องราวในอดีตที่น่าสังเวชเหมือนฟ้าถล่มดินทลายจริงๆ
หลังจากนั้นมาหลิวหัวเม่าก็เริ่มฝึกตนอย่างบ้าคลั่ง เพื่อไล่ตามให้ทันขอบเขตของเจียงซ่างเจิน จะได้หาข้ออ้างดีๆ ฟันเจ้าตะพาบผู้นั้นให้ร่อแร่ปางตาย
แต่น่าเสียดายที่บนเส้นทางการฝึกตน ไม่ว่าจะเรื่องพรสวรรค์ ฐานกระดูก นิสัยใจคอ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาอีกลูกหนึ่งเสมอ ส่วนเจียงซ่างเจินในฐานะว่าที่เจ้าขุนเขาของยอดเขาจิ่วอี้คนถัดไปที่ผู้คนให้การยอมรับโดยทั่วกัน ก็ไม่เห็นว่าเขาจะตั้งใจฝึกตนอย่างไร แต่กลับมักจะขอบเขตสูงกว่านางสองขั้นได้อย่างง่ายดายเสมอ หลังจากถูกนางไล่ตามได้ทัน พอเจียงซ่างเจินพบหน้านางก็ตอแยไม่หยุด พร่ำพูดคำประจบสอพลอหวานเลี่ยนกับนางไปคำรบหนึ่ง ผลกลายเป็นว่าพอเขาหมุนตัวจากไปได้ไม่นานเท่าไร วันนั้นก็ฝ่าทะลุขอบเขตเลย
การประชุมในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกมีสถานการณ์ที่น่าสนใจอย่างมาก
คนที่พูดได้เยอะ เสียงดังได้มาก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับขอบเขตสักเท่าไร เพียงแค่ต้องดูว่าใครมีความสัมพันธ์ย่ำแย่กับเจียงซ่างเจินมากกว่ากัน
นานวันเข้าขอบเขตหยกดิบที่คุณสมบัติธรรมดาอย่างหลิวหัวเม่า ยามที่มีการประชุมบนยอดเขาเสินจ้วน ทุกครั้งที่นางเปิดปากกลับกลายเป็นว่าคำพูดของนางมีน้ำหนักไม่น้อย
กลับกันหากเป็นพวกเทพเซียนผู้เฒ่าที่วัยวุฒิสูง มีศักดิ์เท่าเทียมกับอดีตเจ้าสำนักสวินยวน ตบะก็สูง แต่เพราะไม่เคยโต้เถียงกับเจียงซ่างเจินอย่างหน้าดำหน้าแดงมาก่อน ชอบทำตัวเป็นคนกลางเป็นกาวประสานใจ ยามที่ต้องปรึกษาเรื่องใหญ่กันขึ้นมาจริงๆ กลับจะไม่ได้รับความสำคัญ
เจ้าไม่เคยแม้แต่จะด่าเจียงซ่างเจินสักครั้ง ไม่เคยขว้างเก้าอี้ใส่เจียงซ่างเจินมาก่อน มารดาเจ้าเถอะ เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่าตัวเองทำเพื่อสำนักอยู่อีกหรือ?
บรรพจารย์ผู้คุมกฎอารมณ์หนักอึ้งเล็กน้อย เอามือตบที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ “ฟ้าอำนวยแปรเปลี่ยนไป ดีเลวสลับฝั่ง อดีตเจ้าสำนักไม่ควรปรากฏตัวเลยจริงๆ”
มีค่ายกลใหญ่ซานหยวนซื่อเซี่ยงแห่งนั้นคอยปกป้อง แม้ว่าสวินยวนจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้ไม่นานเท่าไร แต่เนื่องจากยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรมาจนหมด ตบะของทั้งร่างจึงสมบูรณ์แบบไร้ตำหนิคล้ายอยู่บนยอดเขาสูงสุด รอกระทั่งภูเขาไท่ผิงและสำนักฝูจีทยอยกันล่มสลาย ค่ายกลใหญ่สลายหายไป เขาก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที
เทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงยอมทุ่มชีวิตให้ตัวตายมรรคาสลายถือกระจกแสงจันทร์เอาไว้ ใช้กระบี่บินของค่ายกลใหญ่สังหารเซียนกระบี่ใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปได้คนหนึ่ง
ส่วนการกำจัดปีศาจปราบมารของนักพรตภูเขาไท่ผิงก็ยิ่งมีผลงานการสู้รบเกริกก้อง เป็นเอกในหนึ่งทวีป
ทางฝั่งสำนักฝูจี จีไห่เจ้าสำนักสามารถใช้ตบะขอบเขตหยกดิบประคับประคองตัวไว้จนกระทั่งภูเขาไท่ผิงถูกตีแตก เดิมทีนั่นก็ถือเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง
ส่วนคุณความชอบทางการสู้รบของสำนักกุยหยก ก็แทบจะมาจากเจ้าสำนักสองคนอย่างสวินยวนและเจียงซ่างเจินทั้งหมด
สวินยวนขอบเขตบินทะยานสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินไปสองคน และยังมีเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบอีกหนึ่งคน
ส่วนเจียงซ่างเจิน ตะวันออกหนึ่งกระบี่ตะวันตกหนึ่งกระบี่ ถึงกับสามารถสังหารขอบเขตหยกดิบไปได้สี่คนโดยที่ไม่ทันรู้ตัว แล้วยังบวกกับผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเซียนดินอีกกลุ่มใหญ่ที่ถือเป็นของรางวัลเพิ่มเติมอีกด้วย
ซ่งเซิงถังกล่าวอย่างกังขา “เซียวสวิ้นผู้นั้นเหตุใดถึงเปลี่ยนจากอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเป็นบุคคลบนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้เล่า?”
บรรพจารย์ผู้คุมกฎหลุดหัวเราะพรืด “เหตุผลคืออะไร สำคัญด้วยหรือ? สิ่งที่สำคัญก็คือนางมีลางว่าจะผสานมรรคากับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว และเดิมทีนางก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ใบถงทวีปของพวกเราทุกวันนี้แม่งกลายเป็นอาณาเขตของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหมดแล้ว คราวหน้าที่เซียวสวิ้นลงมือ หากยังคงออกกระบี่ ไม่ได้ใช้สองมือออกหมัดมั่วซั่วอะไรอีก จะยังมีใครที่สามารถต้านทานการถามกระบี่ของนางได้?!”
ผู้ถวายงานคนหนึ่งที่ประสบการณ์ค่อนข้างตื้นเขิน ตำแหน่งที่นั่งอยู่ติดกับประตูพูดเบาๆ ว่า “สำนักใบถงยังมีเซียนกระบี่จั่วโย่ว”
ผู้ฝึกตนของสำนักกุยหยกมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อลูกศิษย์คนที่สองของสายเหวินเซิ่งผู้นี้
กระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งพุ่งมาลอยอยู่นอกประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ บรรพจารย์ผู้คุมกฎยื่นมือออกไปคว้า หยิบเอาจดหมายลับมา พออ่านจบสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
หลิวหัวเม่าเป็นกังวล จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
บรรพจารย์ผู้คุมกฎเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “โจวมี่ปรากฏตัวที่อาณาเขตของสำนักใบถงด้วยตัวเอง แล้วให้คำมั่นสัญญาที่ใหญ่เทียมฟ้าอย่างหนึ่งแก่สำนักใบถง ขอแค่สำนักใบถงถอนร่มสวรรค์อู๋ถงที่เป็นค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาออก ก็จะอนุญาตให้พวกเขาแยกตัวไปตั้งสำนักเพียงลำพัง ไม่เพียงเท่านี้ ยังจะได้รับการคุ้มครองจากเขาโจวมี่และภูเขาทัวเยว่นานพันปี นอกจากนี้ยังจะให้เจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักใบถงกลายมาเป็นเจ้าของกระโจมทัพแห่งใหม่แห่งหนึ่ง นอกจากที่สำนักใบถงจะอยู่ใต้อาณัติของเจ้าของทวีปในอนาคตในนามแล้ว ทุกอย่างล้วนยังคงเดิม ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังถึงขั้นยินดีจะส่งตัวเซียนกระบี่ใหญ่สองคนที่มีโซ่วเฉินเป็นหนึ่งในนั้นมาทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานและเค่อชิงของสำนักใบถงด้วย อีกทั้งสองคนนี้ไม่มีสิทธิ์จะเจ้ากี้เจ้าการกับการประชุมของศาลบรรพจารย์ กลับกันยังจำเป็นต้องออกกระบี่สามครั้งให้กับสำนักใบถงด้วย”
หลิวหัวเม่าถาม “แล้วเซียนกระบี่จั่วโย่วล่ะ?”
บรรพจารย์ผู้คุมกฎเอ่ยอย่างจนใจ “ผู้ฝึกตนสำนักใบถงไม่ต้องลำบากใจเลยแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นต้องขับไล่จั่วโย่วออกจากสำนัก ขอแค่ถอนค่ายกลใหญ่ภูเขาสายน้ำออก ยามที่จั่วโย่วออกกระบี่ก็แค่เลือกนิ่งดูดาย”
หลิวหัวเม่าขมวดคิ้วมุ่น “แบบนี้จั่วโย่วจะไม่ถูกบีบให้ต้องโดดเดี่ยวหรือ?!”
สำหรับสำนักใบถงแล้ว เดิมทีจั่วโย่วก็เป็นแค่คนนอกคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาถือกระบี่คอยปกป้องสำนัก จึงยังพอจะรวบรวมใจคนไว้ได้ เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนสำนักใบถงยินดีที่จะสละชีพลืมกลัวความตาย
โจวมี่ทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการให้จั่วโย่วกลายเป็นศัตรูกับจิตใจของผู้ฝึกตนทั้งใบถงทวีป
จะพิทักษ์สำนักใบถงไว้หรือไม่? ไม่พิทักษ์ โชคชะตาขุนเขาสายน้ำของใบถงทวีปก็จะถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างรวบมาไว้ในกระเป๋า พิทักษ์ ร่มสวรรค์อู๋ถงถูกถอนออกไปแล้ว ทุกครั้งที่เขาออกกระบี่ หากลามไปเดือดร้อนผู้บริสุทธิ์ จิตใจของผู้ฝึกตนในสำนักก็จะแปรปรวนไม่แน่นอน
ซ่งเซิงถังลูบหนวดหรี่ตาเอ่ย “ยากแล้ว ปัญหายากข้อใหญ่”
หากลองสมมติว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความลำบากใจจริงๆ
หลิวหัวเม่าถาม “คนที่ส่งจดหมายมาแจ้งข่าวคือ?”
บรรพจารย์ผู้คุมกฎทำลายจดหมายลับทิ้ง เอ่ยว่า “คือผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งนามว่าอวี๋ซิน”
บรรยากาศในศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกพลันผ่อนคลายลงหลายส่วน บรรพจารย์ผุ้คุมกฎพูดกลั้วหัวเราะ “ก็คือมารดาของบรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ท่านนั้นที่ไปจุติเกิดใหม่”
เจียงซ่างเจินถนัดพูดเหน็บแนมคนอื่น เขาบรรยายตู้เม่าด้วยประโยคว่า ‘เจ้าลูกกระต่ายล้างผลาญของใบถงทวีป บรรพจารย์ผู้กอบกู้ความรุ่งโจน์ครึ่งตัวของสำนักกุยหยก’
ทุกคนในศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนต่างก็รู้สึกว่าประโยคนี้กล่าวได้ยอดเยี่ยมนัก ไปๆ มาๆ จึงกลายเป็นประโยคที่แพร่หลายในสำนักกุยหยก
ถึงอย่างไรสำนักกุยหยกและสำนักใบถงก็มองกันและกันเป็นศัตรูมาไม่ใช่แค่พันสองพันปีแล้ว เพิ่มเรื่องนี้ไปอีกสักเรื่องจะเป็นไรไป
หากไม่เป็นเพราะหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ ในอดีตศาลบรรพจารย์ยอดเขาเสินจ้วนก็เคยปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ นั่นคือตีหมาตกน้ำซ้ำให้หนัก ต้องค่อยๆ กลืนกินรากฐานของสำนักใบถงไปทีละเล็กทีละน้อย ทั้งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อแล้วยังเป็นการทำร้ายคนอย่างลับๆ ด้วย
หลิวหัวเม่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “หากไม่ทันระวัง ลำพังเพียงแค่เรื่องนี้ ไม่แน่ว่าอาจชักนำภัยถึงแก่ความตายมาให้ตัวนางเอง”
บรรพจารย์ผู้คุมกฎเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ทำเป็นว่าไม่เคยได้รับรายงานฉบับนี้แล้วกัน คุณธรรมน้อยนิดแค่นี้ควรต้องมีอยู่บ้าง ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าวันหน้าชะตาของสองสำนักจะเป็นอย่างไร เกี่ยวกับอวี๋ซินผู้นี้ ไม่ว่าทุกคนจะพูดจาหรือทำอะไรก็ควรจะมีคุณธรรมสักหน่อย เห็นแก่น้ำใจควันธูปส่วนนี้ของแม่นางน้อยให้มาก หากมีโอกาสยังสามารถให้ความช่วยเหลือนางเล็กๆ น้อยๆ ได้”
บรรพจารย์เอ่ยย้ำว่า “หากมีโอกาส”
ผู้เฒ่าพลันลุกขึ้นยืน เพียงไม่นานทุกคนก็ลุกขึ้นตาม พวกเขาพากันเดินไปยังประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ เห็นเพียงว่าด้านนอกค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำ มีหญิงสาวสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งใช้ภาษากลางของใบถงทวีปที่เพิ่งเรียนมาเปิดปากพูดเนิบช้า ตามหลักแล้วค่ายกลใหญ่ขุนเขาสายน้ำของสำนักกุยหยกได้ตัดขาดฟ้าดินมานานแล้ว และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ใช้วิธีการใดมาทำลายตราผนึกของค่ายกลชั่วคราว ก็ไม่ควรจะได้ยินเสียงของนางถึงจะถูก แต่นี่ผู้ฝึกตนทุกคนของสำนักกุยหยกกลับได้ยินคำพูดของนางชัดเจนทุกคำ ประหนึ่งแสงจันทร์ที่ไม่ว่าแห่งหนใดบนโลกก็ล้วนสาดส่องไปถึง
สตรีสวมชุดผ้าฝ้ายผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ความหมายเดียว สำนักกุยหยกไม่ต้องยกสำนักให้เผ่าปีศาจ ผู้ฝึกตนไม่ต้องออกไปจากภูเขา แค่มอบพื้นที่มงคลถ้ำเมฆามาให้ก็พอแล้ว
……
มือกระบี่ชุดเขียวที่ใช้นามแฝงว่าเฉินอิ่น เรือนกายสูงเพรียว สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง
เขาซื้อเรืออูเผิง (เรือที่กลางลำมีหลังคาทรงโค้งปิด) ลำหนึ่งที่ท่าเรือใบท้อ แม่นางน้อยที่ทำงานบนเรือซึ่งปกติแล้วมีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ผู้เฒ่าคนถ่อเรือที่ท่องบทกวีได้คล่องปากยิ่งกว่าปัญญาชน ต่างพากันหนีหัวซุกหัวซุนไปทั่วสารทิศนานแล้ว
มือกระบี่จึงได้แต่ถ่อเรือพายด้วยตัวเอง
ทุกวันนี้พวกปัญญาชน ขุนนางชนชั้นสูงที่อยู่ในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเฉวียน ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาล่องเรือชมทัศนียภาพผ่อนคลายอารมณ์เช่นนี้
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนผู้นี้ต้องเป็นเซียนซือจากต่างถิ่นแน่นอน
เรืออูเผิงของท่าเรือใบท้อไม่ใช่เรือลำเล็กที่ใช้เท้าพายซึ่งพบเห็นได้ตามหนองบึงทั่วไป ตรงหัวเรือแกะสลักเป็นรูปนกน้ำลักษณะคล้ายนกกระสา แล้วก็เพราะ ‘หัวเรือ’ ที่ดูโบราณเก่าแก่ของเรือลำนี้ มือกระบี่ชุดเขียวถึงได้เกิดสนใจที่จะถ่อเรือขึ้นมา
ตรงเอวของเขาห้อยป้ายหยกศาลบรรพจารย์ไว้แผ่นหนึ่ง ‘สืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์’ ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’
ป้ายหยกนี้เป็นเพียงแค่หนึ่งในของเชลยศึกของกระโจมทัพแห่งหนึ่ง เขาจึงเอามันมาด้วย
เฝ่ยหรานมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อราชวงศ์ต้าเฉวียน สถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเสียงหลายแห่ง บุคคลมากความสามารถทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพม้าเหล็กชายแดนต้าเฉวียน ฝีมือทางการสู้รบของกองทัพที่ตั้งฐานทัพอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ล้วนทำให้กระโจมทัพใหญ่หลายแห่งที่อยู่ภาคกลางของใบถงทวีปต้องมองพวกเขาเสียใหม่
สถานการณ์ด้านล่างภูเขาของตลอดทั้งใบถงทวีป อันที่จริงดีกว่าที่กระโจมเจี่ยจื่อคาดการณ์ไว้เยอะมาก พูดง่ายๆ ก็คือการแสดงออกของราชวงศ์โลกมนุษย์แห่งใบถงทวีปบนสนามรบ บรรยายได้ด้วยสองคำ เละเทะ
ลมแรงจึงรู้ว่าหญ้าต้นใดแข็งแกร่ง ยิ่งแสดงออกให้เห็นถึงความโดดเด่นของราชวงศ์ต้าเฉวียน เพียงแต่ว่าหญ้าป่าถึงอย่างไรก็ยังเป็นหญ้าป่า ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อไฟป่าลามมาที่ทุ่งราบกว้างก็มอดไหม้ไม่มีเหลือ
เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้ ‘ฟ้าอำนวย’ ของใบถงทวีปก็ถูกภูเขาทัวเยว่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างควบคุมเอาไว้แล้ว
เฝ่ยหรานโยนไม้พายทิ้ง ปล่อยให้เรืออูเผิงล่องไปด้วยตัวเอง
เพียงแต่กระโจมทัพที่ทุกวันนี้ตั้งอยู่เมืองหลวงหนันฉี เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโชคชะตาแคว้นสกุลหลิวต้าเฉวียนนั้น ได้เกิดข้อพิพาทกันไม่หยุดหย่อน ฝ่ายหนึ่งยืนกรานว่าต้องสังหารทั้งเมืองเซิ่นจิ่งให้สิ้นซาก ทำลายเมืองให้ราบคาบ เชือดไก่ให้พวกราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติภาคกลางของตลอดทั้งใบถงทวีปดู ต้องบั่นหัวของพวกอ๋องเจ้าเมืองและขุนนางทั้งหลายมา จากนั้นค่อยสั่งให้พวกผู้ฝึกตนเอาหัวของพวกมันไปแขวนไว้หน้าประตูเมืองของแคว้นเล็กแห่งต่างๆ ใช้หัวพวกนั้นป่าวประกาศแก่ผู้คนว่า นี่ก็คือจุดจบของการต่อต้านอย่างดึงดัน
ด้านหนึ่งรู้สึกว่าบุ๋นบู๊ของต้าเฉวียนมีคนมากฝีมือที่เอามาใช้งานได้เยอะ มีต้นทุนในการอบรมปลูกฝัง ขอแค่จัดการได้เหมาะสม ก็เอามาเป็นฮ่องเต้หุ่นเชิดได้
พวกเขาจะกลายมาเป็นกำลังช่วยเหลือที่ใหญ่มากสำหรับกระโจมทัพ ถึงอย่างไรฮ่องเต้หนุ่มก็ทอดทิ้งแผ่นดิน กวาดเอาสมบัติในคลังไปเกลี้ยงแล้วหนีไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้ว สามารถเอาเรื่องนี้มาป่าวประกาศให้แพร่สะพัดไปทั่วได้พอดี
เมืองใหญ่แห่งต่างๆ ของต้าเฉวียนล้วนมีการป้องกันอย่างเข้มงวด อนุญาตให้เข้าอย่างเดียวไม่อนุญาตให้ออก ป้องกันไม่ให้พวกชาวบ้านหนีภัยไปตามใจชอบจนถูกเผ่าปีศาจชักนำ หลอกใช้ ทำลายเส้นแนวป้องกันทั้งหลาย สุดท้ายกลายมาเป็นหายนะสิ้นแคว้น
แต่วันนี้เฝ่ยหรานไม่ได้มาท่องเที่ยว แต่มาพบเจอคน
ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่ง ขอบเขตไม่สูง เซียนดินก่อกำเนิด ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่สมองดีอย่างมาก