บทที่ 710.3 เมฆขาวส่งหลิวสือลิ่วกลับภูเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เด็กหนุ่มบนหอชมน้ำของพรรคเยวียนจวี้ได้เจอกับเฝ่ยหรานโดยบังเอิญ ชั่ววินาทีที่โชคมาพร้อมกับเคราะห์ เดิมทีมีหวังว่าจะได้ติดตามเฝ่ยหรานขึ้นเขาไปฝึกตน ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็ตายไป

หลูเจี่ยนซินแห่งเมืองใหญ่อดีตแคว้นเป่ยจิ้นที่สุดท้ายถูก ‘ตัวเอง’ บีบคอตาย ได้พบกับอวี่ซื่อ หากไม่เป็นเพราะเจียงซ่างเจินสอดเท้ายื่นเข้าแทรก กลับกลายเป็นว่าจะมีโอกาสได้เปลี่ยนจากปลาเป็นมังกร ได้รับโชควาสนาใหญ่ กลายเป็นเจ้านครยังเป็นเรื่องรอง แต่ได้ตีสนิทกับอวี่ซื่อ บวกกับมู่จีแห่งกระโจมเจี่ยเซินอีกคนที่ใช้เขาเป็นตัวพิศมรรคา ก็เรียกได้ว่าเป็นยันต์คุ้มกันกายที่ใหญ่ที่สุดสองแผ่น ต่อให้อยากตายก็ยังยาก

เฝ่ยหรานคิดทบทวนคำพูดประโยคนั้นของอาจารย์โจวอยู่ตลอดเวลา สถานศึกษา สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อมอบอำนาจให้แก่ราชวงศ์โลกมนุษย์ ไม่ยินดีจะบังคับฝืนใจดึงมาเป็นพวกหรือพันธนาการใจคน

สถานศึกษาสามแห่ง สำนักศึกษาเจ็ดสิบสองแห่งของลัทธิขงจื๊อ ฟังแล้วเหมือนมีเยอะมาก แต่เอามาวางไว้ในใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาล กลับมีแค่สำนักศึกษาสามแห่งซึ่งมีสำนักต้าฝูเป็นหนึ่งในนั้นเท่านั้น

ผลคือศาลบุ๋นยังจะบังคับกะเกณฑ์นักปราชญ์วิญญูชนของสำนักศึกษาอีก ไม่ให้พวกเขาเข้าร่วมกับเรื่องในราชสำนักมากเกินไป ห้ามลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาไปเป็นไท่ซ่างหวงที่อยู่เบื้องหลังแคว้นต่างๆ เด็ดขาด

เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายต่างปกครองแคว้นด้วยตัวเอง บนภูเขาหลีกเลี่ยงเรื่องทางโลก ยอดฝีมือชิงชังโลกโลกีย์ แม่ทัพ อัครเสนาบดีทั้งหลาย พวกที่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม วิญญูชนจอมปลอมที่เบียดบังอริยะปราชญ์ตัวจริง แต่ละแคว้นแต่ละสถานที่ ประหนึ่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย

เพียงแต่ว่าเฝ่ยหรานสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่า จุดประสงค์ของความรู้อันเป็นรากฐานในการก่อลัทธิตั้งตนเป็นบรรพบุรุษของอาจารย์โจวนั้นคืออะไรกันแน่

ทำอย่างไรถึงจะสามารถแก้ไขปมของโรคนี้ได้อย่างแท้จริง

ลำพังเพียงแค่การอยู่ร่วมกันระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามนุษย์ต่อจากนี้ ก็คือปัญหายากที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว

ส่วนสถานะที่แท้จริงของอาจารย์โจว เฝ่ยหรานพอจะเคยได้ยินมาบ้าง

โจวมี่แน่นอนว่าเป็นนามแฝง เคยเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงของใต้หล้าไพศาล

จากคำบอกเล่าของศิษย์พี่เชี่ยอวิ้น อาจารย์โจวเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ มีความรู้ยิ่งใหญ่อย่างมาก

เพียงแต่ว่าความรู้ของเขาไม่ได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋น มีครั้งหนึ่งหลังจากถกปัญหากับผู้อื่นก็ทำให้เขาหมดอาลัยตายอยากโดยสิ้นเชิง ถึงได้หนีห่างมาเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ห่างไกล

บัณฑิตท่านนี้ได้เสนอ ‘สิบสองกลยุทธ์แห่งความสันติสุข’ ให้แก่ศาลบุ๋นของลัทธิขงจื๊อ

ข้อแรก จัดตั้งบทฝึกตนให้กับบัณฑิตในใต้ห้ลา ความหมายคร่าวๆ ก็คือนักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะของลัทธิของจื๊อจะแยกกันดูแลบ้าน แคว้นและใต้หล้า

จักรพรรดิฮ่องเต้ของราชวงศ์โลกมนุษย์และแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดล้วนต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา หากไม่ได้เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจะไม่สามารถเป็นผู้ครองแคว้นได้

เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาทุกท่านล้วนควรได้เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้!

วิญญูชนและนักปราชญ์ทำหน้าที่เป็นราชครู

ไม่ว่าจะเป็นสามมหาเสนาบดีเก้ามนตรี หรือสามสำนักหกกรม ขุนนางหลักที่อยู่ใจกลางสำคัญของราชสำนักเหล่านี้ก็ควรจะต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทั้งหมด

ราชสำนักทุกแห่งจะต้องจัดตั้งตำแหน่งขุนนางตำแหน่งหนึ่งที่สามารถมองข้ามกฎข้อห้ามของพระราชวัง รับผิดชอบคอยจดบันทึกคุณความดีและความผิดพลาดของจักรพรรดิและขุนนางสำคัญทุกคนอย่างละเอียด เอาไว้สำหรับการทดสอบใหญ่ที่จัดขึ้นทุกๆ สามปีของสำนักศึกษา

ข้อที่สอง สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจห้าขอบเขตบนทุกคนในใต้หล้าไพศาลให้สิ้นซาก เผ่าปีศาจเซียนดินก็ขับไล่ให้ไปอยู่รวมกันในทวีปหนึ่งแล้วทำการควบคุมอย่างเข้มงวด

หากเผ่าปีศาจเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกร ก่อนและหลังจะเลื่อนขั้นจำเป็นต้องแจ้ง ‘ชื่อจริง’ ให้กับสำนักศึกษาแห่งต่างๆ และศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางจดบันทึกลงในเอกสารคดี

ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนี้ หลังจากเลื่อนเป็นโอสถทองแล้วก็ต้องไปให้ความช่วยเหลือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำของพื้นที่ต่างๆ รับรองว่าฝนและลมของพื้นที่ใต้อาณัติจะโคจรอย่างราบรื่นภายในเวลาร้อยปี เป็นฝ่ายลงมือสังหารภูตผีทั้งหลายที่ออกอาละวาดด้วยตัวเอง ทำหน้าที่คล้าย ‘เสี้ยนเหว่ย’ จากนั้นก็เอาคุณความชอบที่ทางสำนักศึกษาบันทึกไว้มาตัดสินว่าพวกมันจะได้รับแต่งตั้งเป็นซานขุย เป็นสุ่ยเซียน หรือว่าจะต้องเหน็ดเหนื่อยตรากตรำไปอีกร้อยปี หากได้เลื่อนขั้นเป็นซานขุย สุ่ยเซียนเมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าได้เปลี่ยนจากฝ่ายน้ำขุ่นเป็นฝ่ายน้ำใสเหมือนวงการขุนนางโลกมนุษย์ หลังจากนี้เส้นทางการเลื่อนขั้นจะไม่ต่างจากเทพวารีแห่งแม่น้ำลำคลอง หรือฝู่จวินของขุนเขาแม้แต่น้อย

ข้อที่สาม บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาห้อยหัวจะต้องเลือกสถานที่สามแห่งให้เป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงเข้ากับทักษินาตยทวีป หรดีฝูเหยาทวีปและอาคเนย์ใบถงทวีป ยกตัวอย่างเช่นพื้นที่ตั้งของสำนักอวี่หลงเก่า

จากนั้นก็ค่อยๆ ไปตั้งทัพที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อันดับแรกย้ายพวกมนุษย์ธรรมดา คนที่ไม่เหมาะจะฝึกตนซึ่งเป็นคนในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ออกไปยังเกาะใต้อาณัติของสำนักอวี่หลงทั้งหมดก่อน ต่อมาจึงดึงเอาผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปมาประจำการที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ระยะยาว

ผู้ฝึกตนทุกคนของใต้หล้าไพศาลที่ทำผิดมหันต์ ล้วนจะต้องลงสนามรบอาศัยคุณความชอบในการรบมาต่อชีวิตของตัวเอง

ผู้ฝึกตนอิสระทั้งหมดล้วนสามารถอาศัยผลงานทางการสู้รบมาซื้อยา ตำราลับและสมบัติหนักบนภูเขาได้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาออกจากเมืองไปเข่นฆ่า ยามที่มีสงครามให้คอยเฝ้าพิทักษ์หัวกำแพงเมือง หลังจบศึกก็คอยสร้างนครหลายแห่งขยับไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่องโดยใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นจุดศูนย์กลาง บีบให้อย่างน้อยทุกๆ สามสิบปีใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะต้องโยกย้ายกำลังทหารกันครั้งหนึ่ง

สภาพภูมิประเทศของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเอกลักษณ์พิเศษ ผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่จะได้รับการสยบกำราบจากฟ้าดิน ถ้าอย่างนั้นก็ปลูกฝังผู้ฝึกยุทธเต็มตัวให้ได้จำนวนมากพอ แม้ว่าจะได้รับการสยบจากมหามรรคาและปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์เหมือนกัน แต่ก็ไม่เหมือนกับผู้ฝึกลมปราณ เพราะผู้ฝึกยุทธสามารถอาศัยสิ่งนี้มาขัดเกลาเรือนกายได้ อีกทั้งธรณีประตูของผู้ฝึกยุทธก็ต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณ เมื่อเป็นเช่นนี้สุดท้ายแล้วกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะกลายมาเป็นสถานการณ์ทางการสู้รบที่ว่า หากไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ทุกคนก็ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ

ผู้ฝึกลมปราณมากมายนอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธ ให้คอยทำหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุน

ข้อที่สี่ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยานทุกคนล้วนจะได้รับอิสระเสรีเพิ่มเติม

บุคคลบนยอดเขาเหล่านี้จำเป็นต้องทุ่มเท ทว่าทุกครั้งที่พวกเขาทุ่มเทไปไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามก็ล้วนต้องได้รับการตอบแทนที่มากยิ่งกว่า

ศาลบุ๋นต้องให้การยอมรับว่าพวกเขาคือ ‘ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง’

ยกตัวอย่างเช่นผู้ที่เดินทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางต้องรับรองว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรบตาย ไม่เสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคา แค่ต้องทำในเรื่องที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ยกตัวอย่างเช่นเมื่อการศึกได้เปรียบก็ขยับขยายความได้เปรียบให้แผ่ไปมากขึ้น หากสงครามเกิดความเสียหาย ก็ใช้สมบัติอาคมที่ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตซึ่งผ่านการหลอมใหญ่มาแล้วไปต้านทานการโจมตีของเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็สร้างค่ายกลขุนเขาสายน้ำขึ้นมาปกป้องนคร ปกป้องหัวกำแพงเมือง ผู้ฝึกกระบี่และผู้ฝึกยุทธ

ข้อที่ห้า แต่ละแคว้นแต่ละทวีป นอกจากเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาแล้ว ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางยังต้องสร้างสถาบันการปกครองขึ้นมาอีกเจ็ดสิบสองแห่ง

นอกจากจะคอยตรวจสอบคุณสมบัติในการฝึกตน ทุกปีต้องรับ ‘บรรณาการ’ จากราชสำนักของแต่ละแคว้นแล้ว ยังต้องรับตัวเมล็ดพันธ์ในการฝึกตนของแต่ละสถานที่มาด้วย

ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อกลุ่มนี้ นอกจากจะศึกษาวิชาหาความรู้แล้ว เรื่องของการฝึกตนและการทหารก็ไม่ใช่แค่เป็นการวางแผนกลยุทธบนหน้ากระดาษ มีเพียงคำพูดปากเปล่าที่เลื่อนลอยเท่านั้น จะต้องรู้วิชาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ด้วย

สุดท้ายสถานที่ทดสอบก็คือกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มีควันดินปืนลอยคลุ้งไม่ขาด

ข้อที่หก แบ่งเมธีร้อยสำนักที่ความรู้ซับซ้อนมากมายออกเป็นเก้าระดับ มีการเลื่อนขั้นและมีการลดขั้น ไม่ต่างจากวงการขุนนาง

ผู้ที่ไม่ยอมรับให้ขับไล่ออกไปจากเก้าระดับ สั่งห้ามเผยแพร่วิชาความรู้ ทำลายตำราทุกเล่มที่มี บรรพบุรุษของสำนักนั้นจะถูกขังอยู่ในสวนป่ากงเต๋อของศาลบุ๋น

ข้อที่เจ็ด ทำลายความห่างเหินระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขา ข้อเสนอแนะหนึ่งในนั้นก็คือการช่วยผลักดันอย่างลับๆ นำผลประโยชน์มาหลอกล่อ ผลักดันให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาผูกสมัครเป็นคู่รักเทพเซียน

ข้อที่แปด ปฏิเสธความรู้ของสองลัทธิอย่างพุทธและเต๋า ห้ามสร้างวัดวาอารามทั้งหมด รับประกันว่าลัทธิขงจื๊อจะเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้าไพศาลตามความหมายที่แท้จริง

ข้อที่เก้า ให้ความสำคัญและสนับสนุนสำนักการทหาร สำนักการค้าและสำนักคำนวณเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ยังมีกลยุทธอีกสามข้อที่มีไว้รับมือกับสองใต้หล้าที่เป็นเพื่อนบ้านห่างๆ รวมไปถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลโดยเฉพาะอย่างละเอียด

เฝ่ยหรานถอนหายใจ เก็บความคิดวุ่นวายทั้งหมดกลับมา พึมพำกับตัวเองว่า “สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว ปีนั้นที่อาจารย์โจวเสนอกลยุทธ์สิบสองข้อนี้ก็เพื่อดึงอำนาจกลับมาให้ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ต้องการให้บัณฑิตมีอิสระเสรีมากกว่าเดิม สร้างความสันติสุขให้กับวิถีทางโลกยาวนานหมื่นปี”

บริเวณใกล้เคียงท่าเรือแห่งหนึ่งของท่าเรือใบท้อ เรืออูเผิงมาเจอกับเรืออูเผิง

เฝ่ยหรานขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าตู้หันหลิงผู้นั้นจะไม่ได้มาคนเดียว

ข้างกายผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดยังมีโอสถทองหนุ่มและเทพอธิบาลเมืองที่สวมชุดไปรเวทอีกท่านหนึ่ง

เฝ่ยหรานเพียงแค่ขมวดคิ้ว ทว่าฝ่ายตู้หันหลิงกับศิษย์หลานเส้ายวนหราน รวมไปถึงเทพอภิบาลเมืองของนครฉีเฮ้อต้าเฉวียนกลับมีสีหน้าเหมือนคนเห็นผีตอนกลางวันแสกๆ ต่อให้เป็นคนที่มีจิตแข็งกล้าอย่างตู้หันหลิง พอเห็นชุดเขียวสะพายกระบี่ ตรงเอวห้อยแผ่นป้ายหยกของศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงของเฝ่ยหรานซึ่งเป็นการแต่งกายที่คุ้นเคย รวมไปถึงใบหน้าที่เขาพอจะจำได้หลายส่วน ก็ยังอดสะท้านสะเทือนในใจไม่ได้ ตู้หันหลิงรู้สึกเพียงว่าหรือความบังเอิญบนโลกนี้มีอยู่จริง ไม่อย่างนั้นจะกลายมาเป็นคนผู้นี้ได้อย่างไร?

มีคนสองคนเดินมาจากตรงท่าเรือ หวังหลิวฉงอ๋องเจ้าเมืองต้าเฉวียนและเกาซื่อเจินนายท่านกั๋วกง พอเห็น ‘เฝ่ยหราน’ ก็เกือบจะหมุนตัวหันหลังกลับทันที

เฝ่ยหรานกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ พลันหัวเราะออกมา

ดูท่าพวกเขาต่างก็รู้จักใต้เท้าอิ่นกวานสินะ? อีกทั้งดูจากท่าทางแล้ว ในอดีตคงมีเรื่องที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์สักเท่าไร

ดังนั้นเฝ่ยหรานจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขุนเขาสายน้ำมีบรรจบ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

……

เมฆขาวก้อนแล้วก้อนเล่าบินผ่านภูเขาลั่วพั่วไป ขอแค่แม่นางน้อยชุดดำมองเห็นเข้าก็จะต้องโบกคานหาบสีทองและไม้เท้าไผ่เขียวอย่างแรงเป็นการทักทายพวกมัน นี่ก็ถือว่ารับรองแขกได้อย่างรอบคอบเหมาะสมแล้ว

นี่ๆๆ ข้าคือผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของที่แห่งนี้ คือภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ ข้ามีเพื่อนสองคน คนหนึ่งชื่อเผยเฉียน คนหนึ่งชื่อหน่วนซู่ พวกเจ้ารู้จักหรือไม่? รู้หรือไม่?

วันนี้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วพาผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายแห่งตรอกฉีหลงที่ไม่เคยได้เลื่อนขั้นเสียทีมาด้วย คนหนึ่งนั่งยอง ตัวหนึ่งนอนหมอบ รอให้เมฆขาวเคลื่อนผ่านริมหน้าผาไปด้วยกัน

ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายแห่งตรอกฉีหลง มีตำแหน่งขุนนางเล็กเท่าจานกับแกล้ม ไม่อาจเทียบกับขุนนางใหญ่ที่ตำแหน่งเท่าชามข้าวอย่างตนได้

ฮ่า เมฆขาวหมาเทา (เมฆขาวเหมือนชุดสีขาวที่เปลี่ยนรูปร่างเป็นหมาสีเทา เปรียบเปรยถึงชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน)

ตอนมันอยู่ในภูเขาใหญ่ กลัวหร่วนซิ่วมากที่สุด อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว กลัวเผยเฉียนมากที่สุด แต่มันชอบเจ้าทึ่มน้อยผู้นี้อย่างมาก

มันเคยไปนั่งยองอยู่หน้าประตูใหญ่ของโรงเรียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยเป็นผู้เปิดเป็นเพื่อนโจวหมี่ลี่ รอคอยให้เผยเฉียนที่ชอบพร่ำพูดว่า ‘ขับห่านตีหมาคือวีรบุรุษผู้เก่งกล้าเป็นที่สุด’ เลิกเรียนกลับบ้าน รอคอยทีก็นานเกินครึ่งวัน แม่นางน้อยจึงจะชวนมันคุยอยู่นานมาก ไม่เหมือนเผยเฉียนที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ชอบจับปากมันแล้วบิดอย่างคุ้นเคย ถามมันว่ามีปัญหาหรือไร

หมี่ลี่น้อยรอคอยตาปริบๆ ให้เมฆขาวมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว

ช่วยไม่ได้ ทุกวันนี้บนภูเขาลั่วพั่ว แต่ละคนล้วนออกเดินทางไกลไม่กลับมาบ้าน เจ้าขุนเขาคนดีเอย เผยเฉียนเพื่อนสนิทที่สุดที่ตัวสูงพรวดๆ โดยไม่บอกไม่กล่าวเอย พ่อครัวเฒ่าที่ค้อมเอวก้มหน้าเดินมองดูว่ามีเงินตกอยู่บนพื้นหรือไม่ แต่กลับไม่เคยเก็บเงินมาได้เอย ห่านขาวใหญ่บ้าๆ บอๆ ที่ต่อให้โดนตีโดนด่าก็ไม่โกรธเอย ต้าเฟิงที่เฮฮาสนุกสนานชอบอ่านหนังสือที่สุดเอย อาจารย์ผู้เฒ่าเอย อาจารย์น้อยเฉาที่เหมือนเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่สุดเอย…

โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ หากรอให้เผยเฉียนกลับมาถึงบ้านแล้ว เผยเฉียนตัวสูงยิ่งกว่านางกับพี่หญิงหน่วนซู่รวมกัน จะทำอย่างไร? หากมีวันใดที่เจ้าขุนเขาสะพายตะกร้าไม้ไผ่เดินขึ้นเขามาแล้วในตะกร้าไม้ไผ่มีแม่นางน้อยแปลกหน้ายืนอยู่อีกจะทำอย่างไร?

หมี่อวี้เดินมานั่งข้างกายแม่นางน้อย

โจวหมี่ลี่ปรบมือหัวเราะเสียงดัง มีเมฆขาวลอยผ่านหุบเขามาแล้ว

เพียงแต่ว่าหมี่อวี้เพิ่งจะนั่งลงก็ต้องรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ใช้เสียงในใจแจ้งแก่เว่ยป้อหนึ่งคำ จากนั้นหมี่อวี้ก็รีบร่ายกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ‘เสียหม่านเทียน’ ออกมา ขณะเดียวกันก็ขี่กระบี่ไปที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ

สุดท้ายเขาก็ได้เจอกับบัณฑิตคนหนึ่งและบุรุษเรือนกายกำยำล่ำสันคนหนึ่งที่หน้าประตูใหญ่

บัณฑิตที่พกกระบี่คนนั้นยิ้มบางๆ ให้หมี่อวี่ แล้วร่างก็หายวับไปในชั่วพริบตา ถึงขั้นข้ามทวีปไปได้อย่างเงียบเชียบ

ครั้งนี้เขาเดินทางไกลมาที่แจกันสมบัติทวีป เพียงแค่เพื่อช่วยอำพรางให้กับสหาย ไม่อย่างนั้นสหายทะยานลมมา ความเคลื่อนไหวคงจะรุนแรงมากเกินไป ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าไปโผล่หน้าที่ฝูเหยาทวีป เพียงไม่นานก็เผ่นแน่บหายไป ไม่รู้ว่าไปไหน

ทิ้งบุรุษร่างสูงใหญ่ไว้เพียงลำพัง

เขาเอ่ยกับหมี่อวี้ว่า “เจ้าสามารถเรียกข้าว่าหลิวสือลิ่วก็ได้ เพิ่งกลับมาถึงใต้หล้าไพศาล มาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่ ไม่ได้พบอาจารย์ ได้เห็นภาพแขวนท่านก็ยังดี อีกเดี๋ยวหากข้าร้องไห้น้ำหูน้ำตานองหน้า เจ้าก็ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกัน”

หมี่อวี้บื้อใบ้ไร้คำพูดตอบโต้

กว่าจะทำจิตใจให้สงบได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หมี่อวี้จึงกล่าวว่า “กุญแจของศาลบรรพจารย์อยู่ที่แม่หนูหน่วนซู่”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเซียนกระบี่เดินไปสักรอบ ข้าจะรออยู่ที่นี่แล้วกัน”

เว่ยป้อพาหน่วนซู่กับหมี่ลี่น้อยมาส่งที่นี่พร้อมกัน

แม่นางน้อยสองคนประสานมือคารวะ ‘ศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขา’ ตามคำบอกของเว่ยซานจวินอย่างนอบน้อม

ได้เห็นแม่นางน้อยทั้งสอง ชายฉกรรจ์ก็มีรอยยิ้มมากขึ้น ศิษย์น้องเล็กไม่เลวเลยจริงๆ

เฉินหน่วนซู่เปิดประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์แล้วก็เห็นเพียงว่าบุรุษร่างกำยำยืนอยู่ข้างนอกประตูใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป

บัณฑิตที่กำลังจะขี่กระบี่ข้ามทวีปพลันหยุดชะงัก

เพราะบังเอิญเจอกับซิ่วไฉเฒ่าที่ทำลับๆ ล่อๆ ผู้นั้นพอดี

เขาถาม “ทำไมถึงไม่ปรากฏตัวให้เร็วกว่านี้”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างมาดมั่น “รอให้เจ้าโง่ใหญ่ร้องไห้ให้เสร็จก่อน”

บัณฑิตชำเลืองตามองม่านฟ้า

ซิ่วไฉเฒ่าถาม “พี่น้องป๋าย เดินผ่านมาแล้วก็ไม่ควรพลาดไป ไม่สู้ถือโอกาสนี้ออกกระบี่อีกสักสองสามทีดีไหมล่ะ? คำว่าเซียนกระบี่มีมาดสง่างามก็ไม่ใช่อย่างหลินเฟิงข่ายที่อยากพิฆาตวิญญาณเจียวหรอกหรือ? สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลที่มาเป็นแขกโดยไม่ทักไม่ทายพวกนั้นไม่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเจียวหลงหรือไร? ควรจะออกกระบี่นะ ก่อนหน้านี้เซียวสวิ้นผู้นั้นออกกระบี่ที่ใบถงทวีป เป็นภาพที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดถึงเพียงใด เด็กน้อยตัวเท่าก้นกลับมีปณิธานกระบี่เช่นนี้แล้ว เจ้าป๋ายเหย่ตัวสูงแปดฉื่อ แล้วยังถือกระบี่อยู่ในมือ จะทนได้ไหวหรือ? พี่น้องป๋ายเหย่เชิญเจ้าลงมือได้ตามสบายเลย! หากเจ้ามัวเกรงใจข้า ข้าก็ไม่ชอบใจแล้ว…พูดความจริงที่อาจจะดูหน้าไม่อายสักหน่อย การเก็บกวาดเรื่องเละเทะเป็นความเชี่ยวชาญของข้าเลยล่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่า แค่สามถึงห้ากระบี่ก็พอแล้ว หากมากว่านั้น ข้าคงแบกรับไว้ไม่ไหว หากเจ้ายังรู้สึกไม่สาแก่ใจจริงๆ อย่างมากสุดก็แค่เจ็ดแปดกระบี่พอ…”

บัณฑิตไม่ได้สนใจซิ่วไฉเฒ่า ร่างเปล่งวูบหายไป

ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้าขัดใจ

จากนั้นก็มองไปทางภูเขาลั่วพั่ว

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล ป๋ายเหย่เคยใช้บทเพลงเมฆขาวส่งหลิวสือลิ่วกลับภูเขา