มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1492

หลัวซิวเริ่มเข้าใจในศักยภาพความสามารถของตนอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ถึงแม้เขาที่อยู่ในเมืองฟ้าเยือกจะสามารถสังหารกึ่งราชาเทพคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายก็จริง แต่ความเป็นจริงที่เขาทำเช่นนั้นได้เพราะอาศัยพลังแห่งดวงดาวโบราณทั้ง 18

อีกทั้งยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเขายังไม่เคยประสบพบเจอกับยอดฝีมือที่แท้จริง

หากมีผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าคนหนึ่ง มาตรแม้นว่าเป็นเพียงเทพฟ้าขั้น 1 ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง หากฝ่ายตรงข้ามฝึกวรยุทธ์อมตะที่ไม่ด้อยไปกว่าตน และยึดกุมสมบัติอาวุธสงครามที่ไม่ด้อยกว่าเขา เช่นนั้นก็ต้องเป็นศึกการต่อสู้ที่ลำบากแสนเข็ญสำหรับหลัวซิวอย่างแน่นอน มากกว่านั้นคือเขาอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เลยก็เป็นได้

ใช่ว่าการท้าประลองผู้ที่แดนอยู่เหนือตัวเองจะสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอนเสมอไป หัวใจหลักคือต้องดูว่าคู่ต่อสู้เป็นผู้ใด

ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งถึงบัดนี้ หลัวซิวจึงรักษาให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าผู้แข็งแกร่งทุกระดับที่ตนได้ติดต่อสัมผัสมานั้น เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในดาราจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้เท่านั้น……

“เวลาก็ผ่านไปสามวันแล้ว ก็ไม่รู้เช่นกันว่าข่าวคราวที่ตระกูลสวีสืบเสาะมาได้นั้นจะทำให้ข้าพึงพอใจได้หรือไม่”

สัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ลาง ๆ ทำให้หลัวซิวอยากหาค่ายวาร์ฟล่องหนในโลกาดาราอุดรเจออย่างอดใจรอไม่ไหว เขาไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว

ตลอดช่วงเวลาสามวันที่เขาฝึกตน ทางปีศาจทั้งเก้าก็ไม่มีข่าวคราวใด ๆ เช่นกัน เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพวกเขาก็สืบเสาะข้อมูลที่มีประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับค่ายวาร์ฟล่องหนไม่ได้เช่นกัน

เขาเก็บเศษใจแห่งศุภรกลับเข้าที่ ก่อนจะลุกตัวขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องพัก โบกมือถอนค่ายกลที่จัดวางอยู่บริเวณรอบ ๆ ออก

ทันทีที่เขาออกมาก็เห็นนายท่านตระกูลสวีเฝ้ารอคอยด้วยความเคารพอยู่ด้านนอก และก้มคำนับให้เขา

“ตระกูลสวีปฏิบัติภารกิจสำเร็จอย่างราบรื่น สืบเสาะข้อมูลข่าวบางอย่างที่ผู้เพื่อนยุทธ์ต้องการจะทราบได้แล้ว”นายท่านตระกูลสวีเดินขึ้นมาพลางกล่าว

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็นำม้วนหยกชิ้นหนึ่งยื่นให้หลัวซิวอย่างเคารพนอบน้อม

ในม้วนหยกมีการบันทึกข้อมูลบางช่วงเอาไว้ ซึ่งภายในข้อมูลดังกล่าวได้พูดถึงสองกองกำลังใหญ่อย่างสำนักวัชรยักษ์และสำนักเทียนเจี้ยนอยู่บ่อยครั้ง

โลกาดาราอุดรเป็นพิภพที่บุกเบิกขึ้นมาโดยมกุฎเทพ เมื่อเปรียบเทียบกับพิภพที่บุกเบิกโดยจ้าวมหาเทพแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมในการฝึกตนหรือความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากร ล้วนแตกต่างกันไม่น้อยเลย

และในโลกาดาราอุดร มีเรื่องราวที่เกี่ยวกับค่ายวาร์ฟล่องหนค่ายหนึ่ง เรื่องนี้จึงไม่ใช่ความลับอะไรสำหรับเหล่ากองกำลังใหญ่ที่มีอำนาจบารมีในโลกาดาราอุดร

พูดได้เลยว่าการได้มุ่งไปสู้โลกะอัมพรเทวนั้น เป็นความใฝ่ฝันของนักยุทธ์ทุกคนในโลกาดาราอุดร เพราะสภาพแวดล้อมในการฝึกตนในโลกะอัมพรเทวดีเลิศมากกว่า ทรัพยากรมากกว่า โอกาสก็มีมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกฎฟ้าดินในโลกะอัมพรเทวก็สมบูรณ์แบบมากกว่าด้วย

ด้วยเหตุนี้เมื่อหลายล้านปีก่อน กองกำลังใหญ่ทั้งหลายในโลกาดาราอุดรต่างเปิดศึกเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ก็เพื่อช่วงชิงการได้เป็นเจ้าของค่ายวาร์ฟล่องหน

สุดท้ายค่ายวาร์ฟล่องหนถูกทำลายจนเสียหาย แต่กองกำลังทั้งหลายก็ไม่สามารถยึดครองมันได้ ด้วยเหตุนี้ศึกสงครามถึงจะจบลง และทุกฝ่ายก็ลงนามในสัญญาทำข้อตกลงด้วยกัน

เนื่องจากค่ายวาร์ฟล่องหนถูกทำลายจนเสียหาย ด้วยเหตุนี้ถึงสามารถปลดผนึกมันได้เพียงร้อยปีละครั้ง อีกทั้งทุกครั้งที่ปลดผนึกก็ต้องใช้แก้วเทวจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนผู้ที่จะได้ใช้งานมันจึงล้ำค่ามากอย่างเห็นได้ชัด

ระดับของตระกูลสวีต่ำเกินไป เมื่อพูดตามหลักการแล้วพวกเขายังไม่มีสิทธิ์ทราบข่าวคราวประเภทนี้ ทว่านายท่านตระกูลสวีกลับรู้จักศิษย์ในสำนักสำนักวัชรยักษ์คนหนึ่ง เขาถึงสืบเสาะข่าวคราวเหล่านี้มาได้

สำนักวัชรยักษ์เป็นหนึ่งในกองกำลังขั้นสุดยอดทางทิศใต้ของโลกาดาราอุดร มีอาจารย์ราชาเทพคนหนึ่งคอยปกปักรักษา ทุกร้อยปีพวกเขาจึงมีสิทธิ์ได้เข้าไปในค่ายวาร์ปเพื่อมุ่งไปสู่โลกะอัมพรเทวหนึ่งครั้ง

ข่าวคราวนี้ทำให้หลัวซิวขมวดคิ้วลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าค่ายวาร์ฟล่องหนจำนวนมากในดาราจักรวาล ล้วนถูกกองกำลังใหญ่ของที่ต่าง ๆ ยึดกุมไปแล้ว

ค่ายวาร์ปของดาราฟ้าเยือกอยู่ค่อนข้างไกล เพียงแต่อยู่ใกล้พิภพกลางที่ค่อนข้างธรรมดาอย่างโลกเสวียนเทียนและโลกาอสูรฟ้า จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจมากเท่าไหร่นัก

แต่ฝั่งโลกาดาราอุดรกลับแตกต่างกัน เนื่องจากค่ายวาร์ปของที่นี่สามารถมุ่งไปสู่โลกะอัมพรเทวได้โดยตรง มันจึงกลายเป็นคลังสมบัติที่กองกำลังใหญ่ทั้งหลายต่างช่วงชิงกันและกัน การที่คนนอกอยากจะใช้มันเพื่อมุ่งไปสู่โลกะอัมพรเทวนั้น จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย