ก่อนหน้านี้เดิมทีป๋ายเหย่ควรจะออกจากทวีปเข้ามหาสมุทรไปแล้ว แต่กลับถูกซิ่วไฉเฒ่าเซ้าซี้ขัดขวางเอาไว้ ยืนกรานจะลากเขามานั่งคุยที่นี่ให้ได้
ป๋ายเหย่นึกถึงโชควาสนาซึ่งได้รับที่ประตูชุนหมิงของอดีตแคว้นปลายปีหยวนเป่าจึงไม่ได้ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของซิ่วไฉเฒ่า
หากจะบอกว่าเฉินฉุนอันแห่งทักษินาตยทวีปได้ครอบครองคำว่า ‘ผู้รอบรู้’ ไปเพียงลำพัง
ถ้าอย่างนั้นป๋ายเหย่ก็ได้ยึดครองคำว่า ‘เซียนเหริน’ ไปเพียงผู้เดียว
เวทกระบี่สูงส่งอย่างถึงที่สุด ลายมือแบบหวัดเป็นเอกเลิศล้ำ ทั้งๆ ที่ไร้ศัตรูด้านบทกวีแล้ว แต่กลับยังมีถ้อยคำและบทกวีแพร่ออกไปให้คนรุ่นหลังตกตะลึง ผู้คนมักจะรู้สึกว่าเป็นผลงานเลียนแบบไม่ใช่ของจริง แต่ก็ไม่กล้าแน่ใจอีก จึงเป็นเหตุให้กลายเป็นคดีค้างคาที่ไม่ได้รับการสะสางมาจนถึงทุกวันนี้
ถึงท้ายที่สุดก็มีคำอธิบายได้เพียงอย่างเดียว เซียนเหรินนี่นะ มีเรื่องอะไรที่ทำไม่ได้บ้างเล่า
ซิ่วไฉเฒ่ามาถึงลานบ้านแล้วก็รีบยกสองมือกำเป็นหมัดชูขึ้นสูงแล้วโบกอย่างแรง คลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า “กระทั่งถึงวันนี้ถึงเพิ่งจะโชคดีได้พบกับชิงถงเทียนจวิน ช่างมีชีวิตอยู่มาอย่างเสียเปล่า ในที่สุดก็จะไม่ได้ตายเปล่าแล้ว”
หยางเหล่าโถวมีรอยยิ้มอย่างที่หาได้ยาก เอ่ยว่า “อาจารย์เหวินเซิ่ง มาดสง่างามของท่านยังคงเดิม ไม่ลดน้อยลงจากในอดีตเลยนะ”
การผสานมรรคากับฟ้าดินของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่มีข้อพิถีพิถันไม่น้อย ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่แสวงหาความยิ่งใหญ่อย่างเดียวเท่านั้น
อดีตเหวินเซิ่งตรงหน้าผู้นี้ จุดที่ทำให้หยางเหล่าโถวมองเขาสูงกว่าคนอื่นอย่างแท้จริงอยู่ที่ว่า สถานที่ที่อีกฝ่ายผสานมรรคาด้วยคือทักษินาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีป
ไม่ใช่สถานที่สงบสุขปลดภัยอย่างทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ธวัลทวีปและหลิวเสียทวีป
ทุกวันนี้ทั้งสองทวีปถูกข้าศึกยึดครอง ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ย่อมไม่มีทางผ่อนคลายได้แน่นอน
ป๋ายเหย่เองก็ผงกศีรษะทักทายกับหยางเหล่าโถว
หยางเหล่าโถวไม่ได้ทักทายปราศรัยตามมารยาทอะไรกับป๋ายเหย่
เพียงแต่ว่าซิ่วไฉเฒ่ากลับไม่คิดจะปล่อยป๋ายเหย่ไป เขาดึงแผ่นไม้ไผ่ม้วนหนึ่งที่เก็บรักษาอย่างดีมานานออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้กับหยางเหล่าโถว หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นี่คือเทียบ ‘ปลายปีหยวนเป่า’ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘เทียบแห่งความภาคภูมิใจ’ ลายมือของแท้ เป็นลายมือของแท้แน่นอน ไม่มีเหตุผลที่จะมาเป็นแขกแล้วไม่พกของขวัญมาด้วย ของขวัญไม่ค่อยเบาเท่าไร น้ำใจก็หนักยิ่งกว่า”
หยางเหล่าโถวคลี่ออกดูเกินครึ่งม้วน คือบทกวีที่ขับขานว่า ปลายปีหยวนเป่า ยามทิวาเมาสุรายืนพิงประตูชุนหมิงหลับไป ฝันว่านั่งแพล่องธารดาราไปพร้อมชิงถงเทียนจวิน สะดุ้งตื่นจากฝัน แรงบันดาลใจบังเกิด จึงแต่งบทกวี
หยางเหล่าโถวม้วนคลี่เทียบอักษรนี้เก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันและกันได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเหย่และหยางเหล่าโถวเอ่ยอะไรให้มากความ
ผลกลับกลายเป็นว่าซิ่วไฉเฒ่าเล่นพูดโต้งๆ อย่างนี้ ก็ไม่เหลือท่วงทำนองของการที่เว้นว่างให้ขบคิดอยู่แล้ว
คิดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่ายังจะทำหน้าหนาเอ่ยชมเชยตัวเองขึ้นมาอีกว่า “ไม่สู้ชิงถงเทียนจวินลองคลี่ดูทั้งหมดเลยสิ ความมหัศจรรย์ของเทียบอักษรนี้อยู่ช่วงหลัง นอกจากจะมีลายประทับซิ่วหู่ของชุยฉานแล้ว ยังมีตราประทับส่วนตัวคำว่า ‘ชุนเฟิง’ ของเสี่ยวฉีด้วย แล้วก็มีสองคำว่าจวินเชี่ยนที่ออกจะดูทะเล่อทะล่าไปบ้าง สุดท้ายคือตราประทับ ‘เหลียวซ้ายแลขวา รู้ใจอยู่ไม่ไกล’”
หยางเหล่าโถวกลับไม่ได้หยิบเทียบอักษรออกมาใหม่ แค่รับน้ำใจไว้เท่านั้น
หยางเหล่าโถวเอ่ย “หลังจากที่อริยะรังสรรค์ตัวอักษร นอกจากแปดคนที่มีคุณความชอบด้านการเปิดขุนเขาแล้ว นอกจากนี้เส้นทางการเขียนตัวอักษรบนโลกล้วนไม่มีใครบรรลุมรรคา ไม่มีใครเป็นยอดฝีมือ ปลายแถวในปลายแถว”
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าไม่ยอมรับในข้อที่ว่าสำนักอักษรสามารถถูกจัดอยู่ในเก้าลำดับแรกได้ ถึงขั้นรู้สึกว่าสำนักอักษรไม่มีคุณสมบัติจะได้อยู่ในเมธีร้อยสำนักด้วยซ้ำ
ซิ่วไฉเฒ่าขึ้นชื่อว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็พูดคุยได้หมด ไม่ว่าหัวข้อใดก็ไกล่เกลี่ยให้จบลงด้วยดีได้ เขาพยักหน้ารับอย่างแรง “ประโยคนี้ไม่น่าฟัง แต่กลับเป็นความจริง ในอดีตชุยฉานก็เคยเอ่ยอย่างปลงอนิจจังเช่นนี้ รู้สึกว่านักเขียนตัวอักษรล้วนดีแต่เขียนยันต์ผีเท่านั้น เดิมทีก็เป็นแค่เปลือกหอย แต่กลับคิดจะพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ไม่เรียกว่าก่อเรื่องเหลวไหลแล้วจะเรียกว่าอะไร”
ป๋ายเหย่กลับรู้อย่างชัดเจนว่า บรรพบุรุษหลายท่านของสำนักอักษรที่เคยบุกเบิกโฉมหน้าใหม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับซิ่วไฉเฒ่า การที่ตัวอักษรหนึ่งของชุยฉานมีค่าดุจทองพันชั่ง ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ได้มา แต่เป็นเพราะในอดีตซิ่วไฉเฒ่าพาชุยฉานออกท่องไปทั่วใต้หล้า ใช้ข้ออ้างต่างๆ นานารีดไถเอามาจากผู้อื่น ต่อให้แบบคัดตัวอักษรบนโลกจะดีแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ห่างจากจิตวิญญาณของลายมือที่แท้จริงอยู่ดี เพราะมีกระดาษหน้าต่างกั้นขวางอีกหนึ่งชั้น แต่ภายใต้การช่วยเหลือของซิ่วไฉเฒ่า ชุยฉานกลับได้เห็นลายมือของบรรพจารย์สำนักอักษรทั้งหลายกับตาตัวเอง
พี่ใหญ่ขอเทียบอักษรมากกว่านี้สักหน่อยเถอะ ฉวยโอกาสตอนที่กำลังดื่มเหล้าเปรมปรีดิ์นี้เขียนให้มากอีกหน่อย คิดอะไรได้ก็เขียนอย่างนั้น เทียบอักษรที่เขียนลงบนแผ่นไม้ไผ่เช่นนี้ ยิ่งเนื้อหาใกล้ชิดกับผู้คนมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นที่ชื่นชอบมากเท่านั้น อย่างเช่นว่าซื้อส้มกี่จิน วันนี้กินอาหารไปกี่มื้อ ลมพัดฝนตกอะไรทำนองนั้น หรือจะบอกว่าเดินขึ้นดาดฟ้าไปด้วยความสนใจ วันนี้หน่อไม้ผัดขมไปสักหน่อย เขียนให้เต็มที่ไปเลย หากไม่ได้จริงๆ ก็เขียนว่าวันนี้ได้พบเจอข้า สหายเก่ามีคุณธรรม มอบหลีให้หนึ่งตะกร้า ทำเอาท่านน้ำตาไหลอาบหน้าแก่ๆ …
จะต้องเอาไปบูชาเป็นดั่งสมบัติสืบทอดตระกูล พี่ใหญ่นี่คือสายตาอะไรของท่าน ข้าเป็นคนที่พอออกจากบ้านก็ขายของแลกเงินหรือไร? พี่ใหญ่ท่านจะคบหาสหายที่เป็นอย่างนี้ได้หรือ?
ข้าเขียนบทความ ท่านเขียนตัวอักษร พวกเราสองพี่น้องเข้าคู่กันได้ดียิ่งนัก ขาดก็แค่พี่ใหญ่สำนักการค้าที่จะมาช่วยพิมพ์ตัวอักษรขายหนังสือให้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเราสามคนร่วมมือกันย่อมต้องไร้เทียมทานในใต้หล้าอย่างแน่นอน
ส่วนแปดคนที่เปิดภูเขาตามคำกล่าวของชิงถงเทียนจวิน ป๋ายเหย่ก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้ว นั่นก็คือไท่สือโจ้วอักษรต้าจ้วน หลี่ทงกู่อักษรเสี่ยวจ้วน หยวนเฉินอักษรลี่ซู สื่อจี๋จิ้วอักษรจางฉ่าว จางฉุนหัวอักษรจินฉ่าว จางไหวอักษรขวงฉ่าว หวังจ้งอักษรเจิ้งข่าย จงเหยาอักษรเสี่ยวข่าย หนึ่งในนั้นมีเพียงชุยฉานที่ ‘ไม่เอาการเอางาน’ แค่ขีดๆ เขียนๆ ไปตามใจชอบ อักษรซูฉ่าวมีชื่อเสียงมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วอักษรเสี่ยวข่ายของชุยฉานกลับยอดเยี่ยมที่สุด คัมภีร์ที่เขาเป็นผู้คัดลอกคือสมบัติล้ำค่าสยบตำหนักของวัดใหญ่ลัทธิพุทธมากมายในแผ่นดินกลาง
ซิ่วไฉเฒ่าหมุนตัวไปนั่งบนม้านั่งตัวยาวใต้ชายคา ยื่นมือมาตบม้านั่ง “แน่นหนาดีนะ”
หยางเหล่าโถวถาม “เหวินเซิ่งมาคราวนี้ นอกจากจะให้ข้านำเทียบอักษรส่งต่อไปยังภูเขาลั่วพั่วเพื่อประทับตรามากขึ้นแล้ว ยังจะทำอะไรอีก?”
ซิ่วไฉเฒ่าตอบ “ไม่มีเรื่องอื่นใด ก็แค่มาเอ่ยขอบคุณผู้อาวุโสเท่านั้น”
แน่นอนว่าหยางเหล่าโถวไม่เชื่อ
ซิ่วไฉเฒ่าก็ไม่รีบร้อนตบหน้าตัวเอง เดี๋ยวก็หันซ้าย เดี๋ยวก็แลไปทางขวา
คงเป็นเพราะในอดีตเสี่ยวฉีกับผิงอันน้อยต่างก็เคยมานั่งที่นี่ อาจารย์ไม่อยู่ข้างกาย ดังนั้นตอนที่ลูกศิษย์นั่งลงอย่างเดียวดาย ซึ่งไม่ได้มาพักเท้า แล้วก็มิอาจทำใจให้สงบได้ คงค่อนข้างลำบากไม่น้อย
คนทั้งสามแหงนหน้ามองไปแทบจะเวลาเดียวกัน
ตรงม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีปปรากฏรูโหว่ขนาดใหญ่ยักษ์รูหนึ่ง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองยื่นหัวออกมาช้าๆ หลายพันลี้บริเวณรอบม่านฟ้ามีสายฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอกันเป็นตาข่าย จุดที่สายตาของมันมองไป เหมือนจะอยู่แถบภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือ
ซิ่วไฉเฒ่ากระทืบเท้า “พี่ป๋าย พี่ป๋าย ท้าทาย นี่คือกำลังท้าทายเจ้าอยู่ชัดๆ! ต้องการให้ข้าช่วยเจ้าตะโกนว่า ‘ป๋ายเหย่อยู่ที่นี่’ ด้วยหรือไม่?”
ป๋ายเหย่เอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “มีหลิวสือลิ่วอยู่”
ซิ่วไฉเฒ่าลุกขึ้นถูมือ “เจ้าโง่ใหญ่มีเพียงมือเปล่าหมัดเปล่า แบบนั้นจะเสียเปรียบเอาน่ะสิ ไม่สู้พี่ป๋ายมีกระบี่เซียน…”
เพียงแต่ว่าระหว่างที่ซิ่วไฉเฒ่ากำลังพูดจา
เรือนกายหนึ่งที่เดิมทีควรอยู่บนยอดเขาจี้เซ่อของภูเขาลั่วพั่ว อันดับแรกก็ถูกซานจวินเว่ยป้อส่งตัวไปยังริมขอบของอาณาเขตขุนเขาเหนือที่เงียบสงัด จากนั้นภายในรัศมีสิบลี้ก็เกิดพลังอำนาจดุจวัวดินพลิกตัว ก่อนที่เรือนกายของเขาจะพุ่งเป็นเส้นตรงกระโจนขึ้นไปบนฟ้า
เว่ยป้อปาดเหงื่อบนหน้าผาก ลำพังเพียงแค่ส่งเจ้าคนที่เรียกตัวเองว่า ‘จวินเชี่ยน’ ไปที่ชายแดนของพื้นที่ปกครอง ก็ต้องลำบากขนาดนี้เลยหรือ?
ตนไม่ใช่เทพแห่งผืนดินของภูเขาฉีตุนมานานแล้ว แต่เป็นถึงซานจวินใหญ่ของขุนเขาเหนือในหนึ่งทวีปเชียวนะ รู้สึกกินแรงขนาดนี้ ‘มรรคา’ ของหลิวสือลิ่วผู้นั้นหนักจนเกินจริงไปหน่อยหรือไม่?
เรือนกายนั้นกลายร่างเป็นรุ้งเส้นหนึ่งที่ทะยานขึ้นบนท้องฟ้า ดิ่งตรงไปยังจุดที่สูงที่สุดของม่านฟ้า
เนื่องจากม่านฟ้าที่ปรากฎร่างของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลอยู่ห่างจากพื้นดินค่อนข้างไกล เป็นเหตุให้ไม่ถูกมหามรรคาสยบกำราบมากนัก เรือนกายจึงใหญ่โตมโหฬารอย่างแท้จริง ประหนึ่งขุนเขาลูกใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศสูง
ซิ่วไฉเฒ่าด่าขำๆ “เจ้าโง่ใหญ่ผู้นี้ เวลาต่อสู้มักชอบเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกที ห่างชั้นกับศิษย์น้องเล็กของเขาไกลนัก แต่ความกล้าหาญที่พร้อมจะบุกรุดหน้าไปทุกเมื่อเช่นนี้กลับมากเพียงพอจริงๆ”
ม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีป กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ยังหลงเหลืออยู่ร่างใหญ่ดุจขุนเขา เพียงแต่ว่าถูกเรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงาที่เป็นเส้นเส้นหนึ่งพุ่งทะลุไป มนุษย์ที่เล็กจ้อยอย่างถึงที่สุดนั้นออกหมัดใส่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างโอฬารไม่หยุด บนท้องฟ้าจึงเกิดเสียงฟ้าคำรามดังครืนครั่น สุดท้ายทั้งฝ่ามือ แขนและศีรษะของแขกที่มาโดยไม่ได้รับเชิญนั้นล้วนปริแตกในชั่วพริบตา
อากาศสูงที่กินบริเวณไปเกือบครึ่งทวีปมีฝนสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมา ไม่ทันรอให้พวกมันหล่นลงโลกมนุษย์ เศษชิ้นส่วนร่างทองส่วนใหญ่ล้วนสลายหายไป หลอมละลายไปท่ามกลางฟ้าดิน ราวกับว่าถูกมหามรรคาที่มองไม่เห็นชักนำเอาไป ฝนสีทองที่หลงเหลืออยู่แทบจะหล่นลงในบริเวณพันลี้รอบภูเขาพีอวิ๋นทั้งหมด เพียงแต่ว่าชั่วขณะที่กำลังจะหล่นลงพื้นผสานรวมเข้ากับขุนเขาสายน้ำ แสงสีทองได้เปล่งประกายก่อนวูบหนึ่ง ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำและคนในถ้ำสถิตตระกูลเซียนทั้งหลายปากอ้าตาค้าง หรือว่าถูกซานจวินเว่ยผู้นั้นดักชิงไปก่อนแล้ว? พวกยอดฝีมือที่บรรลุมรรคาบางส่วนรีบแบฝ่ามือมองดูขุนเขาสายน้ำ จากนั้นจึงมองภูเขาพีอวิ๋นอีกที ดูเหมือนว่าปราณวิญญาณก็ไม่ได้เพิ่มมากขึ้นสักเท่าไรนี่นา น่าประหลาดยิ่งนัก
บนขั้นบันไดในตรอกฉีหลง สตรีผู้หนึ่งที่ยิ้มจนตาหยีสะบัดชายแขนเสื้อที่มีประกายแสงสีทองไหลวน ทว่าเพียงชั่วพริบตาภาพเหตุการณ์ประหลาดนั้นก็หายไป
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ย “รบกวนผู้อาวุโสช่วยนำทางทีเถอะ”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ
จิตของหลิวสือลิ่วขยับไหวเล็กน้อย ร่างร่วงดิ่งลงมาอย่างว่องไว พอขยับเข้าใกล้พื้นดินของโลกมนุษย์ก็พลันหดย่อขุนเขาสายน้ำพันลี้ มายังเรือนด้านหลังของร้านยาในเมืองเล็ก
พอเห็นซิ่วไฉเฒ่าที่ยืนอยู่บนม้านั่งตัวยาวรออยู่ก่อนแล้ว หลิวสือลิ่วก็พลันตาแดงก่ำ แล้วก็โชคดีที่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อได้ร้องไห้ไปบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนนี้ตนต้องยิ่งขายหน้ากว่าเดิมแน่
ซิ่วไฉเฒ่ายืนอยู่บนม้านั่ง ลูบหนวดยิ้ม
หลิวสือลิ่วก้าวเร็วๆ เดินไปหา น้ำตาคลอเต็มกรอบดวงตา ประสานมือคารวะเอ่ยเสียงดังกังวานว่า “จวินเชี่ยนคารวะท่านอาจารย์!”
ในอดีตในบรรดาลูกศิษย์ทั้งสี่คน ชุยฉานสุขุม จั่วโย่วฉายประกายคมกริบ ฉีจิ้งชุนได้รับการสืบทอดจากเหวินเซิ่งไปมากที่สุด หลิวสือลิ่วทึ่มทื่อที่สุด แต่กลับอารมณ์อ่อนไหวมากที่สุด
ซิ่วไฉเฒ่าตบไหล่ของชายฉกรรจ์ร่างกำยำ แล้วถึงได้กระโดดลงมาจากม้านั่งตัวยาว จากนั้นก็ลูบหนวด ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นพี่น้องคนสนิทของพี่ป๋ายเหย่ เป็นลูกศิษย์คนดีของข้า สมกับคำว่าขับไล่แค่งูและมังกรไม่ขับไล่ยุงอย่างแท้จริง!” (เป็นคำเปรียบเปรยว่าขับไล่แต่สัตว์ร้ายมีพิษและอันตราย)