ซิ่วไฉเฒ่าพาหลิวสือลิ่วไปเดินเที่ยวชมอำเภอไหวหวงด้วยกัน หลิวสือลิ่วไม่เคยมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ได้มีความรู้สึกว่าวัตถุยังคงเดิม คนแปรเปลี่ยนอะไร
บุรุษร่างใหญ่เพียงแค่รู้สึกเสียใจเท่านั้น
ที่นี่ก็คือสถานที่ต่างบ้านต่างเมืองสำหรับเสี่ยวฉี แต่กลับถูกเขามองเป็นสถานที่ที่ทำให้ใจสงบได้
บัณฑิตที่แท้จริงง่ายที่จะมองไปทางใดก็เห็นแต่ความว่างเปล่าขาวโพลน สิ่งที่ยากที่สุดบนเส้นทางของการศึกษาที่มหาสมุทรตำราไร้ขอบเขตก็คือการตามหา ‘บ้านเกิดของข้า’ ที่สามารถวางใจได้
หลิวสือลิ่วเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังกับการเดินทางไกล ‘กลับภูเขา’ ของตัวเองในครานั้น ควรจะรออีกหน่อย ต่อให้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงจุดจบของถ้ำสวรรค์หลีจูได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้เสี่ยวฉีได้รู้ว่า ในช่วงเวลาที่เขาออกเดินทางไกลเพียงลำพัง เบื้องหลังยังมีศิษย์พี่ร่วมสำนักคนหนึ่งคอยมองส่งเขาอยู่
ไม่ต้องถึงขั้นเดียวดายตัวคนเดียว ราวกับว่าเป็นศัตรูกับทั้งฟ้าดิน แล้วมีหรือที่เขาจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ถึงขั้นทำให้คนนึกเวทนา ทำให้คนหัวเราะเยาะ ทำให้คนไม่เข้าใจ
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้าโง่ใหญ่ ไม่ต้องเสียใจเกินไปนัก บัณฑิตอย่างพวกเราน่ะ ยามที่พลิกตำราหาความรู้ย่อมใช้ความจริงจังตั้งใจ เป็นสหายเป็นเพื่อนบ้านกับปราชญ์ผู้ล่วงลับในยุคสมัยต่างๆ หลังจากวางตำราอริยะปราชญ์ลงแล้วก็ไม่เกี่ยงงอนกับภาระหน้าที่อันพึงปฏิบัติ ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร” (เหมือนประโยคคำถามว่าถ้าไม่ใช่ข้า แล้วยังจะเป็นใครได้อีก ความหมายคือมีเพียงตัวเองที่สามารถทำได้ หมายถึงคนที่กล้าเสนอตัวออกมาแบบรับภาระหน้าที่)
ซิ่วไฉเฒ่าพึมพำซ้ำประโยคเดิม “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร”
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่าอารมณ์ก็ยังหดหู่อยู่เหมือนเดิม ควบคุมนิสัยสันดานเดิมเป็นเรื่องที่เขาถนัดมาโดยตลอด
กาลเวลาอันยาวไกล ขอให้ท่านอายุขัยยืนยาว หากคิดกันตามอายุที่แท้จริง อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลายเลย แม้แต่ท่านอาจารย์ หรือสหายรักอย่างป๋ายเหย่ก็ยังไม่ ‘อายุมาก’ เท่าเขา ทั้งยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด
เพียงแต่ว่าการศึกษาวิชาความรู้มีก่อนหลัง
ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าที่ตัวไม่สูง เรือนกายผอมบางข้างกายหลิวสือลิ่วผู้นี้ถึงได้ถูกเรียกว่าซิ่วไฉ ‘เฒ่า’
ทุกวันนี้อำเภอไหวหวงคืออำเภอระดับบนของราชวงศ์ต้าหลี
อาชีพที่เคยทำเงินให้ชาวบ้านในเมืองเล็กได้มากที่สุดคือเผาเครื่องกระเบื้อง อยู่กับภูเขากินจากภูเขา อยู่กับน้ำกินจากน้ำ ทว่าทุกวันนี้คนในพื้นที่กลับย้ายออกจากเมืองเล็กและเตาเผามังกรไปเกือบหมดแล้ว พวกเขาพากันขายบ้านบรรพบุรุษแล้วย้ายไปเสวยสุขอยู่ที่เขตการปกครอง ขุนนางที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังเป็นขุนนางเพียงหนึ่งเดียวของเมืองเล็กในอดีต ก็คือขุนนางผู้ตรวจการ ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเสมียนน้อยใหญ่ล้วนพบเจอได้ทุกหนทุกแห่ง ดอกท้อผลิบานทุกปี ไม่มีภูเขาเครื่องกระเบื้องและสุสานเทพเซียนแล้ว แต่กลับมีควันธูปของศาลบุ๋นบู๊ บนยอดของภูเขาใหญ่ ริมแม่น้ำลำคลอง มีศาลภูเขาสายน้ำที่ผู้มีจิตศรัทธาพากันมากราบไหว้ไม่ขาดสาย
เมืองเล็กในอดีตไม่มีที่ว่าการอำเภอ แต่กลับมีต้นไหวโบราณที่แผ่ร่มเงาไกลเป็นไร่ ทุกครั้งที่ถึงยามสนธยา ด้านใต้ต้นไม้จะมีผู้เฒ่ามาจับกลุ่มกันเล่าเรื่องเก่าแก่ในปฏิทินเหลือง พวกเด็กเล็กที่ฟังเรื่องเล่ามาจนชินชาเอาแต่เล่นสนุกอยู่กับตัวเอง ยามถึงช่วงอากาศร้อนระอุ พวกเด็กๆ เล่นจนเหนื่อยแล้วก็จะวิ่งไปที่บ่อโซ่เหล็ก จ้องมองพวกผู้ใหญ่ในครอบครัวดึงตะกร้าออกมาจากในบ่อ แล้วใช้มีดหั่นแตงหวานที่เย็นฉ่ำตามธรรมชาติออกเป็นชิ้นๆ ต่อให้อากาศร้อน ใจร้อน เสื้อผ้าร้อน แต่น้ำเย็น แตงเย็น มีดเย็นๆ กลับดูเหมือนว่าจะทำให้ดวงตาเย็นตามไปด้วย
ซิ่วไฉเฒ่าเดินมาตรงที่ตั้งเดิมของบ่อโซ่เหล็ก บ่อน้ำที่ไม่มีโซ่เหล็กยังคงตั้งอยู่ดังเดิม เพียงแต่ว่าความลี้ลับด้านในกลับไม่เหลืออยู่แล้ว และทุกวันนี้ที่ว่าการก็ถอนคำสั่งห้ามเรียบร้อย เพียงแต่ชาวบ้านของอำเภอที่มาตักน้ำที่นี่กลับมีน้อยกว่าเดิมมาก เพราะอำเภอเล็กๆ ในเวลานี้มีปลาและมังกรปะปนกัน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตนที่ต่างก็มุ่งหน้ามาเพื่อหวังสัมผัสกับปราณมังกร ปราณวิญญาณ ปราณเซียนและโชคชะตาขุนเขาสายน้ำทั้งหลาย ดังนั้นกลิ่นอายความเป็นชาวบ้านของเมืองเล็กจึงมีไม่มาก กลับกลายเป็นว่าไม่มีควันไฟจากการหุงหาอาหาร ไม่มีเสียงหมาเห่าเสียงไก่ขันเหมือนที่เขตการปกครองทางทิศเหนือ
ซิ่วไฉเฒ่าพลันยิ้มเอ่ยว่า “ในอดีตศิษย์น้องเล็กของเจ้าเคยเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกร ฝีมือของเขาดีเยี่ยม เพียงแต่ภายหลังเด็กหนุ่มออกเดินทางไกล แล้วก็เพราะคิดว่าตัวเองยังฝึกปรือฝีมือได้ไม่สำเร็จอย่างแท้จริง จึงไม่เคยแสดงฝีมือง่ายๆ ดังนั้นวันหน้าหากเจ้าเจอกับศิษย์น้องเล็กก็สามารถบอกให้เขาช่วยเจ้าเผาเครื่องปั้นจำพวกของตกแต่ง สี่สมบัติแห่งห้องหนังสืออะไรทำนองนั้นได้ ลองเลือกมาสักสองสามชิ้นแล้วบอกกับศิษย์น้องเล็กโดยตรง ไม่ต้องทำตัวห่างเหินเกินไป ศิษย์น้องเล็กของเจ้าไม่ใช่คนขี้เหนียว”
หลิวสือลิ่วอืมรับหนึ่งที
หลังจากลากับอาจารย์ไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่ครั้งนี้ ตลอดทางที่เดินกันมาอาจารย์พูดถึงศิษย์น้องเล็กไม่ขาดปาก หลิวสือลิ่วใช้หูฟังใช้ใจจดจำ ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจแม้แต่น้อย มีเพียงความเบิกบานเท่านั้น เพราะสภาพจิตใจของอาจารย์ไม่เคยผ่อนคลายเช่นนี้มานานมากแล้ว
แน่นอนว่าซิ่วไฉเฒ่าพูดจาแฝงความนัย ผลคือรออยู่นานเจ้าโง่ใหญ่ก็ยังไม่ฉลาดขึ้นมาสักที จึงเตะเข้าที่น่องเล็กของหลิวสือลิ่ว
อาจารย์ละอายใจต่อศิษย์น้องเล็กของเจ้าอย่างมาก จึงไม่มีหน้าไปขอของจากเขาด้วยตัวเอง ลูกศิษย์คนอื่นๆ ไม่รู้จักแบ่งเบาภาระให้อาจารย์บ้างเลยหรือ? เจ้าโง่ใหญ่ฉลาดสู้ศิษย์น้องเล็กไม่ได้จริงๆ ห่างชั้นกันไกลนัก
หลิวสือลิ่วเข้าใจโดยพลัน เอ่ยว่า “ศิษย์จะขอมาเผื่ออาจารย์สองสามชิ้นด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าแสร้งทำเป็นลำบากใจ ถูมือกล่าว “แบบนี้จะได้อย่างไร แบบนี้จะได้อย่างไร”
หลิวสือลิ่วเอ่ย “อาจารย์ไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย ศิษย์น้องเล็กฉลาดขนาดนั้นย่อมต้องเข้าใจได้เอง”
ซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนสีหน้าทันใด ลูบหนวดยิ้ม “นั่นมันแน่อยู่แล้ว ศิษย์น้องเล็กของเจ้ารู้หนึ่งก็อนุมานไปได้หลากหลาย มีพรสวรรค์กับคำสองคำว่า ‘หมื่น’ และ ‘หนึ่ง’ มากที่สุด ขนาดอาจารย์ไม่ได้สอนอะไรมาก ลูกศิษย์ก็สามารถเรียนเองได้อย่างดีเยี่ยม ตอนนี้กลับดีนัก ทุกคนต่างก็พูดกันว่าความสามารถในการรับลูกศิษย์ของข้าเป็นเอกในใต้หล้า อันที่จริงอาจารย์ก็ลำบากใจเหมือนกันนะ”
ในความเป็นจริงแล้วเรื่องที่รับเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย เทพใหญ่แห่งภูเขาสุ้ยซานไม่เคยพูดว่าซิ่วไฉเฒ่าเป็นอย่างไร เฉินฉุนอันผู้รอบรู้ ป๋ายเจ๋อ รวมถึงป๋ายเหย่ที่มาในภายหลังก็ล้วนไม่ได้เออออตามสักคำ
ดังนั้นสรุปแล้วคำว่า ‘ทุกคน’ ที่ซิ่วไฉเฒ่าพูดถึงมีใครบ้างกันแน่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้
หลิวสือลิ่วพยักหน้ารับ “เพียงแค่ฟังเรื่องเล่าจากป๋ายเหย่และอาจารย์ ข้าก็มั่นใจได้แล้วว่าศิษย์น้องเล็กต้องเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากแน่ๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ
อารมณ์ปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมานาน
เจ้าโง่ใหญ่ชมทีเดียวถึงสามคน อาจารย์ตาดี ศิษย์น้องเล็กฉลาด คนเป็นศิษย์พี่ก็ยิ่งไม่ต้องกังขาแล้ว
ใช้ได้ๆ ประเสริฐยิ่ง ประเสริฐยิ่ง
ความรู้ในการอยู่ร่วมกันอย่างความรู้สึกของคนและเรื่องราวในโลกมนุษย์นี้ ปีนั้นในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสี่คน แน่นอนว่าชุยฉานต้องเป็นอันดับหนึ่ง อันที่จริงเจ้าโง่ใหญ่สามารถอยู่อันดับที่สองได้ เพียงแต่ไม่ค่อยชอบพูดแล้วก็ยังชอบแสร้งทำตัวเป็นน้ำเต้าตัน ยามที่เต็มใจเปิดปาก ส่วนใหญ่มักจะต้องดื้อเพ่งกับเรื่องอะไรสักอย่าง ยกตัวอย่างเช่นเคยไล่ทุบตีอาเหลียง ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักสี่คน ไม่ถึงขั้นที่ว่าใครใกล้ชิดใครห่างเหินมากกว่า เพียงแค่ว่าปกติได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันมากหรือน้อยเท่านั้น เสี่ยวฉีกับจั่วโย่วที่แม้จะเถียงกันบ่อยๆ แต่แท้จริงแล้วคนทั้งสองกลับสนิทกันอย่างมาก ชุยฉานกับหลิวสือลิ่วก็ความสัมพันธ์ไม่เลว คนหนึ่งในใจมีเรื่องให้ต้องคิดมากมาย อีกคนหนึ่งพูดคุยน้อยเกินไป ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าเข้ากันได้ดีที่สุด
หลิวสือลิ่วเดินอยู่ในเมืองเล็ก นอกจากเดินเล่นเป็นเพื่อนอาจารย์แล้วยังคอยจับตามองรายละเอียดต่างๆ มากมายไปด้วย เทพทวารบาลที่แปะหน้าประตูบ้านแต่ละหลังมีแสงศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ภาพปรากฎการณ์ควันธูปของศาลบุ๋นบู๊มากหรือน้อย การไหลเวียนของโชคชะตาขุนเขาสายน้ำในอำเภอและเขตการปกครองมั่นคงมีระเบียบหรือไม่…สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้เรื่องคุณความชอบและกิจการงานที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งสมบูรณ์แบบมากขึ้นเรื่อยๆ ของศิษย์พี่ชุยฉาน คือ ‘การแสดงออกของมหามรรคา’ ที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่งของราชวงศ์ต้าหลี
ต้องรู้ว่า ‘ใจคนอันตรายยากสงบ จิตแห่งมรรคาลุ่มลึกยากกระจ่าง’ คือแปดอักษรแรกของการ ‘ถ่ายทอดทางใจ’ สิบหกตัวอักษรแห่งสายบุ๋นลัทธิขงจื๊อ
ในสายตาของหลิวสือลิ่ว ชุยฉานตั้งใจลงแรงหว่านไถไปกับต้าหลีและแจกันสมบัติทวีปร้อยกว่าปี เรียกได้ว่าทั้งเป็นการผ่อนหนักให้เป็นเบา แล้วก็เป็นทั้งการทำเรื่องเบาอย่างละเอียดตั้งใจ
ในอดีตชุยฉานที่ยังไม่ใช่ราชครูต้าหลี ยังเป็นเพียงแค่ซิ่วหู่ของสายเหวินเซิ่ง มีถ้อยคำมากมายเหลือเกินที่อยากจะเอ่ยกับวิถีทางโลกใบนี้ เพียงแต่ยิ่งนานวันความรู้ของชุยฉานก็ยิ่งมาก อีกทั้งพื้นฐานนิสัยยังเป็นคนเย่อหยิ่งทระนงตน เป็นเหตุให้ชั่วชีวิตนี้คนที่ยินดีเงี่ยหูรับฟังเขาอย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าจะมีแค่หลิวสือลิ่ว มีเพียงแค่ศิษย์น้องที่เงียบขรึมพูดน้อยคนนี้ที่คู่ควรให้ชุยฉานพูดคุยด้วย
หลิวสือลิ่วเอ่ย “ก่อนหน้านี้ร่างทองของกากเดนยุคบรรพกาลแหลกสลาย ศิษย์ตั้งใจจะมอบให้กับอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ถือเป็นการมอบผลหลีตอบแทนผลท้อให้แก่เว่ยซานจวินแห่งภูเขาพีอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าที่ตรอกฉีหลงจะมีบุคคลประหลาดที่ถึงขั้นสามารถร่ายใช้วิชาอภินิหารเก็บเอาเศษชิ้นส่วนร่างทองทั้งหมดไปได้ ดูจากท่าทีของเว่ยซานจวินแล้วคล้ายจะไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย และยิ่งไม่มีท่าทางไม่พอใจ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับ “สหายฉางมิ่งของตรอกฉีหลงผู้นั้นมีชาติกำเนิดร้ายกาจ คือร่างจำแลงของบรรพบุรุษเงินเหรียญทองแดงแก่นทองยุคโบราณ เดิมทีนางก็เป็นผู้ถวายงานที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อชั่วคราวของภูเขาลั่วพั่วอยู่แล้ว นางเป็นคนเก็บเอาชิ้นส่วนร่างทองไป เมื่อผสานรวมกับมรรคาได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายดายเพียงยกมือเรียกเท่านั้น นอกจากเว่ยซานจวินแล้ว ผู้ฝึกตนของอาณาเขตขุนเขาเหนือมีแต่จะงุนงงสงสัย เว่ยซานจวินเองก็เป็นแพะรับบาปแทนภูเขาลั่วพั่วมาจนชินแล้ว หนี้มากไม่ทับตัวตายนี่นะ ดังนั้นถึงได้บอกว่าวันหน้าหากพบกับเว่ยซานจวิน เจ้าก็เกรงใจเขาสักหน่อย ดูคนเขาสิใจกว้างแค่ไหน งานเลี้ยงท่องราตรียังจัดแล้วจัดอีกได้หน้าตาเฉย”
หลิวสือลิ่วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปหาศิษย์พี่จั่วช้าสักหน่อย จะต่อยร่างทองของพวกกากเดนที่ละโมบอยากได้ขุนเขาสายน้ำของแถบขุนเขาเหนือเพิ่มอีกสักสองสามตน แล้วเดี๋ยวจะไปบอกกับสหายฉางมิ่งไว้ก่อนว่า ต้องให้นางแบ่งให้ภูเขาพีอวิ๋นห้าส่วนด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้ารับอย่างปลื้มใจ ยิ้มเอ่ยว่า “ช่วยคนอื่นทั้งยังช่วยตัวเอง เป็นความเคยชินที่ดีจริงๆ”
เจ้าดื้อจั่วโย่วผู้นั้น ตอนนี้ยังไม่มีทางเจอปัญหาใหญ่ได้
ต่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นจริง ตนที่เป็นอาจารย์ก็ไม่ได้กินหญ้าสักหน่อย
นอกจากนี้คำพูดของหลิวสือลิ่วยามอยู่กับศิษย์พี่จั่วโย่วก็ใช้ไม่ได้ผลเหมือนกัน
จั่วโย่วเจ้าคนผู้นี้ นับแต่เด็กมาก็ชอบวางมาดเป็นศิษย์พี่ ปีนั้นตอนอยู่ที่ร้านเหล้าของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทำท่าอึดอัดขัดเขิน ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
ในอดีตทุกครั้งที่ซิ่วไฉเฒ่าอยากจะดื่มเหล้าเยอะๆ หรือไม่ก็เข้าครัวทำอาหารดีๆ มาปรนนิบัติอวัยวะในร่างก็จะไล่เจ้าโง่ใหญ่ให้ไปหาจั่วโย่วที่เป็นคนดูแลเงิน ให้ไปปรึกษากับเขาดู วันนี้มีเงินก็ใช้วันนี้ไปก่อน พรุ่งนี้ไม่มีเงินก็ค่อยไปขอยืมเอาก็ได้ ผลกลับกลายเป็นว่าไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง ยังคงเป็นเสี่ยวฉีที่พอจะมีคุณธรรม รู้จักออกไปวางแผงยามอยู่ว่าง บ้างก็ช่วยเขียนจดหมายทางบ้าน เขียนกลอนคู่ให้คนอื่น ทุกครั้งได้เงินส่วนตัวมาก็ไม่เคยผ่านมือศิษย์พี่จั่ว จากนั้นพวกอาจารย์และลูกศิษย์ทั้งหลายก็จะแอบหนีจั่วโย่วไป ไปนั่งเรอและสลายกลิ่นเหล้าที่มุมกำแพงนอกเรือนให้เสร็จเสียก่อนค่อยเข้าบ้าน จั่วโย่วก็มาเจ้ากี้เจ้าการไม่ได้แล้ว
หลิวสือลิ่วถาม “ระหว่างที่เดินทางมา ป๋ายเหย่เคยบอกกับข้าว่า เซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่น่าจะผสานมรรคากับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “เซียวสวิ้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ ทั้งยังผสานมรรคากับฟ้าดิน แน่นอนว่ามิอาจดูแคลน เพียงแต่ว่าหากบีบให้จั่วโย่วร้อนใจ ไม่ทันผสานมรรคาก็เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็ส่ายหน้าเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เป็นเช่นนี้เลย มีขอบเขตสิบสี่คนใดบ้างที่ยังมีอิสระเสรี แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์พี่จั่วของเจ้ายังเป็นผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นข้อต้องห้ามใหญ่สุด ปัญหาใหญ่เทียมฟ้าก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ หากจั่วโย่วดื้อดึงขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่พวกเจ้าที่เป็นศิษย์น้องเลย แม้แต่อาจารย์อย่างข้าพูดไปเขาก็ไม่ฟัง ปีนั้นข้าถึงได้ไม่ใคร่จะยินดีให้จั่วโย่วหันไปเรียนกระบี่อย่างไรล่ะ”
หลิวสือลิ่วกล่าว “ศิษย์พี่จั่วเรียนกระบี่ช้ามาก แต่กลับสามารถทำให้ ‘ตัวอ่อนเซียนกระบี่’ กลายเป็นเรื่องตลกบนภูเขาได้ ต่อให้เป็นป๋ายเหย่ก็ยังรู้สึกว่ามหามรรคาของจั่วโย่วไม่เล็ก เวทกระบี่ก็มีแต่จะยิ่งสูง”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จะได้กำไรหรือจะขาดทุน ไม่คอยสังเกตไม่ได้หรอกนะ”
เดินเล่นกันมาตลอดทางนี้ ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนหลายคนต่างก็หันมามองหลิวสือลิ่วที่เรือนกายกำยำล่ำสันอยู่บ่อยๆ เพียงแต่ยังดีที่ทุกวันนี้เขตการปกครองหลงเฉวียนเคยชินกับการไปมาของเทพเซียนแล้ว จึงไม่รู้สึกว่าเจ้าคนตัวโตผู้นี้น่าตกใจสักเท่าไร
ด้วยเรื่องที่เฉินผิงอันลูกศิษย์คนสุดท้ายคลายพันธะสัญญากับจื้อกุยแห่งตรอกหนีผิง ในฐานะค่าตอบแทน ราชวงศ์ต้าหลีจึงทิ้ง ‘ภาพมายา’ ของบ่อโบราณซึ่งมีลักษณะคล้ายถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กเอาไว้ นำ ‘ความจริง’ ย้ายไปยังบ่อน้ำหลังเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วแทน ในบ่อน้ำมีถ้ำสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง แม้ว่าสกุลซ่งต้าหลีจะรู้ถึงวิชาลับมากมายของบ่อน้ำ ทว่ากลับมีใจแต่ไร้กำลังมาโดยตลอด เนื่องจากไม่อาจแยกถ้ำสวรรค์เล็กแห่งนั้นออกมาเพียงลำพัง เพราะถึงอย่างไรแจกันสมบัติทวีปก็มีเซียนกระบี่น้อยเกินไป ไม่อย่างนั้นต่อให้ถ้ำสวรรค์เล็กในบ่อน้ำจะอาณาเขตไม่ใหญ่ แต่กลับเป็นพื้นที่วิเศษในการฝึกตนที่ไม่ธรรมดา ย่อมเหมาะให้เผ่าพันธ์เจียวหลงและพวกภูตน้ำฝึกตนเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าสาเหตุก็อาจเป็นไปได้ด้วยว่า เพราะชุยตงซานจงใจปิดบัง เนื่องจากมองบ่อน้ำเป็นของในกระเป๋าตัวเองมานานแล้ว
——