บทที่ 712.2 ปริศนา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่ตรงบ่อน้ำพักหนึ่ง ใคร่ครวญว่าควรจะเปิดถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลอย่างไรถึงทำให้พื้นที่มงคลรากบัวเชื่อมโยงเข้ากับถ้ำสวรรค์เล็กแห่งนั้นได้ คิดไปคิดมา หากจะหาคนให้มาช่วยเป็นลูกมือก็ยังพูดได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรซิ่วไฉเฒ่าเองก็สะสมน้ำใจควันธูปไว้ในใต้หล้าไพศาลอยู่บ้าง เพียงแต่น่าเสียดายที่ยืมเงินได้ยากเกินไป ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยทอดถอนใจคำหนึ่งว่า “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากใจได้ ซิ่วไฉเฒ่ายากจนกลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว” หลิวสือลิ่วจึงเอ่ยว่าข้าสามารถยืมเงินจากป๋ายเหย่ได้ ซิ่วไฉเฒ่ากลับส่ายหน้าเอ่ยว่ายืมเงินจากสหายถึงอย่างไรก็ต้องใช้คืน แบบนั้นจะทำลายความสัมพันธ์เอาได้ จากนั้นผู้เฒ่าก็เงยหน้าจ้องมองเจ้าโง่ใหญ่ หลิวสือลิ่วคิดแล้วก็พูดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถือว่ายืมเงินจากป๋ายเหย่

เล่าลือกันว่าครั้งแรกที่ป๋ายเหย่ส่งจวินเชี่ยนกลับภูเขา เคยเขียนตัวอักษรแบบหวัดเป็นสองคำว่า ‘ยิ่งใหญ่สง่างาม’ อีกทั้งยังจงใจแต้มจุดหนึ่งลงไปบนคำว่ายิ่งใหญ่อีกด้วย

ความหมายแฝงก็คือสหายรักจวินเชี่ยน หาได้มีมาดยิ่งใหญ่สง่างามเพียงแค่นี้ไม่ (จุดจุดหนึ่ง ภาษาจีนอ่านว่าอีเตี่ยน ซึ่งสามารถแปลได้ว่าเล็กน้อย นิดหน่อย เท่านี้) พิศมองขุนเขาสายน้ำโลกมนุษย์นานร้อยปีพันปี

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล บัณฑิตที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดบนโลกมนุษย์สามารถเขียนอักษรเช่นนี้ได้ สามารถมีความสนใจเช่นนี้ได้ ก็ไม่ทำให้คนผิดหวังเลยสักนิดจริงๆ

หลังจากส่งสหายกลับภูเขาแล้ว ตอนที่เดินทางลงจากเขาเพียงลำพัง ป๋ายเหย่พกกระบี่อยู่ในโลกมนุษย์ ใช้กระบี่ฟันผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอ บัณฑิตใช้กำลังของตัวเองคนเดียวปฏิเสธกฎแห่งสวรรค์ ทำให้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ต้องกังวลถึงภัยแล้งใหญ่อีกต่อไป

ยิ่งเป็นเหตุโชคชะตาน้ำของใต้หล้าไพศาลทะยานพรวดขึ้นอีกหนึ่งส่วนเพียงแค่เพราะการกระทำนี้ของเขา

นั่นเป็นจิตใจที่ฮึกเหิมถึงปานใด

เป็นเหตุให้เว่ยป้อที่มีชาติกำเนิดมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นเสินสุ่ยเก่าเลื่อมใสในตัวป๋ายเหย่อย่างถึงที่สุด

และคนที่สามารถทำตัวเป็นกันเองกับป๋ายเหย่ขนาดนี้ได้ คาดว่าคงมีแค่ ‘พี่จวินเชี่ยน’ ที่เคยไปเยี่ยมเยือนเซียนกับป๋ายเหย่ผู้นี้เท่านั้น

ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้ค่อยๆ คลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ตบแขนเจ้าโง่ใหญ่อย่างแรง เอ่ยชมไปคำหนึ่งว่า สือลิ่วอา มีพัฒนาการแล้วนะ

ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีศิษย์พี่ที่ไม่ดูแลศิษย์น้อง? เอาเป็นว่าไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่สายเหวินเซิ่งบ้านตนก็แล้วกัน

ใช่ว่าซิ่วไฉเฒ่าจะไม่มีวิธีหาเงินมาไว้ในมือ ผสานมรรคากับสามทวีปในใต้หล้าไพศาล ต่อให้วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินพวกนั้นจะซ่อนตัวลึกล้ำแค่ไหนก็ไม่อาจหนีสายตาของเขาไปได้ เพียงแต่ว่ามนุษย์มีขีดจำกัด จึงยังต้องยึดหลักเกณฑ์ในการหาเงินทองกันบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหามรรคานั้นมีระเบียบขั้นตอน วันนี้ได้มาอย่างไร้เหตุผล พรุ่งนี้หากเสียไปก็ไม่แปลก ทำแบบนั้นจะไม่คุ้มค่า คนเป็นอาจารย์ก็ไม่ควรจะสร้างความวุ่นวายให้กับลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่อายุน้อยที่สุดและกำลังเริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

พาหลิวสือลิ่วไปยังซุ้มป้ายมหาบัณฑิตที่เรียกกันภาษาบ้านๆ ว่าซุ้มก้ามปู ซิ่วไฉเฒ่าก็ปักหลักยืนนิ่ง เอ่ยว่า “ที่นี่ก็คือหอบินทะยานที่ชิงถงเทียนจวินรับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกหลอมจนกลายมามีสภาพนี้เสียได้”

ซิ่วไฉเฒ่าเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งชี้นิ้วไปยังม่านฟ้า “เคยมีแม่ทัพสวรรค์ท่านหนึ่งรับผิดชอบหน้าที่คอยรับตัวเซียนดินให้บินทะยาน แน่นอนว่าเซียนดินในเวลานั้น ทั่วทั้งโลกมนุษย์ล้วนรู้ว่าเป็น ‘จริง’ ค่อนข้างจะมีค่าเมื่อเปรียบเทียบกับ ‘เซียนเวหา’ พวกเขามีชีวิตอยู่บนโลกอย่างเป็นอมตะ ท่องเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่บนพื้นดิน สมกับคำเรียกขานว่าเทพเซียนพสุธาอย่างแท้จริง ส่วนก่อกำเนิด โอสถทองในทุกวันนี้ก็ถูกเรียกขานว่าเซียนดินเช่นกัน แต่แท้จริงแล้วไม่อาจเทียบเคียงได้เลย การ ‘แสวงหาความจริง’ ของขอบเขตเซียนเหริน อันที่จริงโดยภาพรวมแล้วก็คือแสวงหาคำว่าจริงนี้ ตระหนักรู้กฎแห่งสวรรค์ ปลดเปลื้องภาระไร้พันธนาการ สุดท้ายบินทะยานขึ้นฟ้า ท่ามกลางการเข่นฆ่าสังหารที่ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ ผู้คนกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญครานั้น แม่ทัพสวรรค์ท่านนี้สวมเสื้อเกราะ ‘ต้าซวง’ เป็นคนเดียวที่เลือกจะรบตายไม่ยอมถอยร่น ถูกผู้อาวุโสท่านหนึ่ง…ไม่สิ ผิดแล้ว ต้องบอกว่าถูกผู้อาวุโสที่ไม่แก่แม้แต่น้อยท่านหนึ่ง ใช้หนึ่งกระบี่ปักตรึงคนผู้นั้นให้ตายคาอยู่บนประตูบานใหญ่”

มังกรที่แท้จริงตัวสุดท้ายบนโลกยอมผ่านความยากลำบากนานัปการ แต่ก็ต้องหนีมาถึงที่นี่ให้จงได้ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ขอแค่ชิงถงเทียนจวินยอมเปิดหอบินทะยานใหม่อีกครั้ง นั่นก็คือโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งของมัน สวรรค์ล้วนไม่มีอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่อาจเรียกได้ว่าบินทะยาน แต่หากคิดจะหนีไปยังพื้นที่ลับที่ขุนเขาแม่น้ำปริแตกแห่งใดแห่งหนึ่งกลับไม่ยาก ถึงเวลานั้นก็สมกับคำว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกลอย่างแท้จริงแล้ว เพียงแต่ว่าในฐานะหนึ่งในนักโทษอาญาของฟ้าดิน ชิงถงเทียนจวินเองก็ตกอยู่ในสภาวะยากลำบากไม่แพ้กัน ไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์ดินข้ามแม่น้ำ แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ต่อให้การรักษาตัวรอดจะไม่ยาก แต่ก็เหมือนกับการที่ต้องคอยใช้สองมือยกธูปชูเหนือหัวอยู่ทุกวันเพื่อไม่ให้ควันธูปขาดสาย แน่นอนว่าต้องไม่ยินดีจะทำลายกฎเกณฑ์ใหญ่ของขอบเขตสิบห้าสามท่านเพียงแค่เพื่อมังกรที่แท้จริงตัวเล็กๆ ตัวเดียว

ถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้คือความจริงที่ร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ที่หยางเหล่าโถวใช้ปิดบังภาพมายาอันตื้นเขินที่มนุษย์บนโลกสามารถมองเห็นได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็เพื่ออำพรางความจริงที่ใหญ่ที่สุดนั้น นี่ต่างหากจึงจะเป็นเวทอำพรางตาที่แท้จริง

ซิ่วไฉเฒ่ามาหยุดอยู่ตรงซุ้มประตูหินนี้นานมาก เขาแหงนหน้ามองกรอบป้ายหนึ่งในนั้น

หลิวสือลิ่วถาม “ครั้งนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเข้ามาในใต้หล้าไพศาล เจ้าคนที่ใช้นามแฝงว่าโจวมี่ผู้นั้นมีวิธีการมากมาย อาจารย์รู้ประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้หรือไม่?”

เพราะความสัมพันธ์เรื่องตัวตน หลิวสือลิ่วจึงไม่ค่อยให้ความสนใจกับเรื่องของใต้หล้าสักเท่าไร

สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “แซ่เจี่ย นามเต็มคงไม่พูดถึงแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาลอบมาสำรวจ เคยเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็เรียกเขาว่าเจี่ยเซิงก็แล้วกัน” (เซิงมาจากคำว่าเซวี๋ยเซิงที่แปลว่านักเรียน/ลูกศิษย์)

หลิวสือลิ่วเข้าใจได้โดยพลัน “ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง”

พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝัน แต่ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว

ในประวัติศาสตร์ ‘หลังจากที่เจี่ยเซิงตายไป’ มีบัณฑิตไม่น้อยที่พากันจับกลุ่มร้องขอความเป็นธรรมแทนคนผู้นี้ ถึงขั้นที่มีคนพูดโพล่งออกมาว่า ‘ตัวแทนของขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่มีเพียงเจี่ยเซิงเท่านั้น’ และคนที่พูดประโยคนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

คำว่าขงจื๊อผู้ยิ่งใหญ่นี้ คือชมเชยว่าเจี่ยเซิงมีความรู้ยิ่งใหญ่ มีจิตวิญญาณความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ มีฝีมืออันยิ่งใหญ่ ภายในสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อก็ใช่ว่าจะไม่มีความเห็นต่างต่อกฎเกณฑ์ในทุกวันนี้เสียเลย แดนพุทธะสุขาวดี และยังมีใต้หล้ามืดสลัวแห่งนั้น ไม่เคยมีภาพที่ร้อยเมธีประชันขันแข่งเช่นนี้

หลิวสือลิ่วถาม “ในสายตาของอาจารย์ สิบสองกลยุทธ์แห่งความสันติสุขของเจี่ยเซิงผู้นั้นเป็นอย่างไรขอรับ?”

“ยาฤทธิ์แรงขนานหนึ่ง สามารถสร้างสันติสุขได้จริง”

ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มเอ่ย “น่าเสียดายที่มีปัญหา ปัญหานั้นอยู่ที่เจี่ยเซิงเอาแต่คิดรักษาโรค ต่อให้ช่วยคนได้แล้ว แต่ฤทธิ์ยาก็ยังแรงเกินไป ยกตัวอย่างเช่นชาวบ้านล่างภูเขารอบกายพวกเรานี้ ต่อให้ยาที่ช่วยบำรุงจะดีแค่ไหน สามารถทนมีชีวิตอยู่ไปได้อีกหลายปีสิบปี แต่ก็เป็นได้แค่โถยาใบหนึ่งเท่านั้นแล้ว จะทำให้คนไม่กลุ้มใจได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ยังเป็นเพียงแค่พื้นผิวภายนอกอีกด้วย ยังมีปมของโรคใหญ่อย่างแท้จริงอยู่อีก อยู่ที่ว่าความรู้ของเจี่ยเซิงผู้นี้เกิดความขัดแย้งกับรากฐานของระบบลัทธิขงจื๊อ”

หลิวสือลิ่วถามเบาๆ “ดังนั้นปีนั้นอาจารย์ถึงได้ปฏิเสธทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานของศิษย์พี่ใหญ่อย่างเด็ดขาดใช่หรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “ทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานดีกว่าของเจี่ยเซิงอยู่หน่อย เพราะไม่ได้ผลักให้ล้มแล้วค่อยสร้างขึ้นมาใหม่ สร้างบ้านเรือนเสร็จแล้วค่อยตอกตรึงหน้าต่าง เหลือแค่บานประตูไว้อย่างเดียว ทฤษฎีคุณความชอบและกิจการงานของศิษย์พี่เจ้าไม่ได้สุดโต่งอย่างของเจี่ยเซิงผู้นี้”

ซิ่วไฉเฒ่าชี้นิ้วไปยังกรอบป้ายบนซุ้มประตูที่ขาดสีสันไปนานแล้ว ถามว่า “กรอบป้ายแขวนอยู่ในจุดสูง แต่กลอนคู่มักจะแปะอยู่บนตำแหน่งที่กว้าง เพราะเหตุใด?”

หลิวสือลิ่วมองตามนิ้วมือของอาจารย์ที่ชี้ไป ตอบว่า “ก้าวเดินบนเส้นทางที่กว้างขวางจึงจะเดินไปยังจุดสูงได้อย่างมั่นคง”

ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้าแสดงให้รู้ว่าเห็นด้วย จากนั้นก็พาหลิวสือลิ่วเดินอ้อมวนซุ้มประตูหินหนึ่งรอบ ก่อนใช้เสียงในใจบอกเรื่องวงในบางอย่างกับลูกศิษย์

กรอบป้ายสี่กรอบ ‘ตังเหรินปู้รั่ง’ (ไม่เกี่ยงงอนต่อหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ) ‘ซีเหยียนจื้อหรัน’ (คล้อยไปตามธรรมชาติ) ‘โม่เซี่ยงว่ายฉิว’ (ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย) และ ‘ชี่ชงโต้วหนิว’ (พลังอำนาจทะยานฟ้า)

เดินวนไปหนึ่งรอบ พวกเขาก็กลับมาใต้กรอบป้าย ‘ตังเหรินปู้รั่ง’ (ไม่เกี่ยงงอนต่อหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ) อีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่าพูดเน้นย้ำในเรื่องของลัทธิเต๋า

‘ซีเหยียนจื้อหรัน’ (คล้อยไปตามธรรมชาติ) ซึ่งเป็นกรอบป้ายของลัทธิเต๋าในที่แห่งนี้ คนที่สรรเสริญก็คือลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิง สุดท้ายเขาใช้หนึ่งปราณแปลงเป็นซานชิง บนถนนฝูลวี่ของถ้ำสวรรค์หลีจู หลี่ซีเซิ่งบัณฑิตที่ถูกสับเปลี่ยนให้เป็นหลีตายแทนท้อนั้น ตัวอยู่ในสายลัทธิขงจื๊อ ทางฝั่งคนผู้นั้นของสำนักโองการเทพ ตัวอยู่ในลัทธิเต๋า ยังเหลืออีกคนหนึ่ง ต่อให้เป็นเขาซิ่วไฉเฒ่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร รู้แค่ว่าต้องเป็นลูกศิษย์ลัทธิพุทธเท่านั้น

การช่วงชิงกันของสามลัทธิ อยู่ที่ข้าคนเดียว

ข้าถกปัญหากับตัวเอง มนุษย์อยู่บนโลกแต่กลับไม่ช่วงชิงกับโลก ก็เหมือนมีเรือว่างเปล่ามาแตะโดนเรือของคนอื่น ต่อให้เป็นคนใจแคบก็ยังไม่โกรธเคือง

นี่ก็คือความยิ่งใหญ่ในมรรคกถาของเต๋าเหล่าต้าผู้นั้น ต้องยอมรับ

เมื่อเทียบกับเจ้าลัทธิที่เหลืออีกสองคนของป๋ายอวี๋จิงที่มีทั้งคำวิจารณ์ที่ดีและไม่ดี ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าผู้นี้คือคนที่มีชื่อเสียงดีเยี่ยมในหลายๆ ใต้หล้านอกเหนือจากใต้หล้ามืดสลัว

แล้วนับประสาอะไรกับที่เต๋าเหล่าเอ้อและลู่เฉินก็ล้วนเป็นคนผู้นี้ที่รับศิษย์แทนอาจารย์ มีเพียงลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าเท่านั้นที่เปลี่ยนเป็นลู่เฉินเป็นตัวแทนรับศิษย์แทนอาจารย์

หลิวสือลิ่วขมวดคิ้วน้อยๆ

ซิ่วไฉเฒ่าตบต้นแขนของเขา “ไม่ต้องคิดอะไรมาก แม้ว่าในถ้ำสวรรค์หลีจู หลี่ซีเซิ่งที่เป็นหนึ่งในสามคนจะถือว่าเป็นแขกที่มาช้า แต่ในใต้หล้าไพศาล เสี่ยวฉีต่างหากที่ถือว่าเป็นคนมาทีหลัง นับประสาอะไรกับที่ตัวของเต๋าเหล่าต้าเองก็ไม่คิดจะเป็นปฏิปักษ์กับเสี่ยวฉี ส่วนใหญ่แล้วเป็นฝีมือจากสองสายที่เหลือของป๋ายอวี้จิงมากกว่า ปีนั้นหลี่ซีเซิ่งไม่มีอิสระในตัวเองมาโดยตลอด หากไม่เป็นเพราะลู่เฉินมาวางแผนอยู่ที่นี่ เดิมทีการช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างเสี่ยวฉีกับหลี่ซีเซิ่งก็จะเหมือนกระแสน้ำที่กระแทกชนเสาหินกลางน้ำ ก่อให้เกิดคลื่นหมื่นจั้ง พลังอำนาจเหนือขุนเขาสายน้ำ ไม่ว่าผลแพ้ชนะจะเป็นเช่นไร ก็ไม่มีเรื่องโสมมซุกซ่อนอยู่แม้แต่น้อย ไม่แน่ว่า…”

ต่อให้ซิ่วไฉเฒ่าจะใช้เสียงในหัวใจพูด แต่กล่าวมาถึงตรงนี้ก็ยังไม่ได้เปิดเผยความในใจกับลูกศิษย์อยู่ดี

เดิมทีซิ่วไฉเฒ่าคิดจะเอ่ยประโยคว่า ‘คนบนเส้นทางเดียวกัน ก่อสำนักตั้งพรรค หนึ่งหลักหนึ่งรอง เป็นประโยชน์ต่อกันบนมหามรรคา’

ไม่ว่าจะเป็นหลี่ซีเซิ่งหรือเต๋าเหล่าต้าก็ดี หรือเสี่ยวฉีก็ช่าง หากทั้งสองฝ่ายเริ่มถกมรรคากันขึ้นมาอย่างจริงจัง คิดดูแล้วก็คงจะมีจิตใจที่กว้างขวางเช่นนี้

เพียงแต่ว่ายังไม่ทันเดินไปถึงก้าวนั้น

เรื่องมาถึงขั้นนี้ สถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์

เพียงแต่ว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่ยินดีพูดเรื่องนี้ให้มากความ ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ถือสาจริงๆ

ซิ่วไฉเฒ่าไม่เคยเลื่อมใสในการใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้นอย่างไร้ขีดจำกัด นั่นไม่ใช่ความใจกว้าง แต่คือความโง่เขลาดักดาน

หลิวสือลิ่วหันหน้ามา แล้วยังต้องก้มหน้าลง ถึงจะมองเห็นใบหน้าด้านข้างของอาจารย์

อาจารย์เงยหน้ามองตัวอักษรสี่ตัวนั้น ท่านเองก็เสียใจมากเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าอาจารย์เป็นคนเงียบเหงามากเกินไป คนที่สามารถดื่มสุรากับอาจารย์อย่างรู้ใจกัน คนที่สามารถทำให้อาจารย์พูดความในใจได้อย่างผ่อนคลาย มีไม่มาก

กรอบป้ายนั้นเขียนคำว่า ‘ตังเหรินปู้รั่ง’

ซิ่วไฉเฒ่ามองอยู่นานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืน

ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร

สายของข้าเหวินเซิ่ง ฉีจิ้งชุนอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หลีจู ชุยฉานอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป จั่วโย่วอยู่ที่ใบถงทวีป เฉินผิงอันอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

วันนี้ยังมีหลิวสือลิ่วอีกคนที่กลับคืนมายังใต้หล้าไพศาล

ลมเบาๆ พัดผ่านใบหน้า ซิ่วไฉเฒ่ากวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็หัวเราะ ยกมือเกาหัว พึมพำว่า “ลมฤดูใบไม้ผลิรู้ใจข้า ส่งความฝันไปยังปีนั้น บนโลกมีคนที่ไม่เหมาะสมมากมาย วิถีทางโลกมีเรื่องที่ไม่เป็นธรรมมากมาย แต่อย่าหวังจะมาทำลายความงดงามในใจข้า”

ส่วนหลิวสือลิ่วก็เอ่ยแผ่วเบาว่า

อดีตนั้นผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง เวลาล่วงเลยผ่านไปทุกขณะ ทุกขณะล้วนมีอนาคต อดีตเคยเป็นอนาคต อนาคตย่อมต้องกลายเป็นอดีต

ผลคือถูกอาจารย์ถีบหนึ่งที ด่ายิ้มๆ ว่าให้มันน้อยๆ หน่อย โชคดีที่สายเหวินเซิ่งมีศิษย์น้องเล็กของเจ้า ไม่อย่างนั้นคงถูกคนหัวเราะเยาะว่าเป็นรังนักบวชไปแล้ว

หลิวสือลิ่วยิ้มปากกว้าง เกาหัวเลียนแบบอาจารย์ โชคดีที่ผมยังเหลืออยู่เยอะ

เพียงแต่ว่าพอมองเรือนกายที่ผอมบางของอาจารย์ หากไม่เป็นเพราะผสานมรรคากับฟ้าดิน จะหนักถึงเก้าสิบจิน (ประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม) ได้หรือไม่? หลิวสือลิ่วก็ให้เสียใจขึ้นมาอีก น้ำตาพานจะไหลอีกครั้ง

หลิวสือลิ่วแหงนหน้าขึ้น ทำไมยังไม่มาอีกนะ? เหตุใดม่านฟ้าถึงยังไม่มีความเคลื่อนไหวเสียที ในใจไม่สบอารมณ์ ออกหมัดรับมือศัตรู สามารถลืมความทุกข์ได้

ซิ่วไฉเฒ่าด่าขำๆ “เจ้าโง่ใหญ่ ทำตัวดีๆ หน่อย รบราฆ่าฟัน ไม่เหมือนบัณฑิตเอาเสียเลย”

ภายหลังซิ่วไฉเฒ่าพาหลิวสือลิ่วไปที่โรงเรียนเก่ามารอบหนึ่ง เก่าส่วนเก่า ไม่มีคนส่วนไม่มีคน แต่กลับไม่ทรุดโทรมแม้แต่น้อย ทุกหนทุกแห่งล้วนสะอาดสะอ้าน ข้าวของจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ได้ยินว่าแม่หนูหน่วนซู่จะลงจากเขาตามระยะเวลาที่กำหนด มาที่เมืองเล็กเพื่อทำความสะอาดโรงเรียนและบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง

จากนั้นจึงไปที่โรงเรียนแห่งใหม่ซึ่งสกุลเฉินลำธารหลงเว่ยเป็นผู้ก่อตั้ง เสียงท่องตำราใสดังกังวาน

ซิ่วไฉเฒ่าชอบมองภาพที่พวกเด็กๆ โคลงศีรษะไปมาเป็นที่สุด มีเด็กบางคนที่ท่องจำได้ขึ้นใจแล้ว มีเด็กบางคนที่ท่องติดๆ ขัดๆ แต่แท้จริงแล้วล้วนดีเหมือนกันหมด

——