บทที่ 1970 เลี้ยงหมูหรือ + ตอนที่ 1971 ทางเลือกที่ยากลำบาก

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1970 เลี้ยงหมูหรือ

“จับยังไง? แม้แต่นายใหญ่ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้วนายมีสิทธิ์อะไรไปจับเขา?” เหยียนหมิงซุ่นกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง ตอนเด็กดูฉลาดดีแต่ทำไมยิ่งโตยิ่งโง่นะ

“แล้วจะทำไงล่ะ? หรือว่าจะเอาแต่จับตาดูอยู่อย่างนี้เหรอ?”

“จะรีบร้อนอะไรเล่า คนอย่างหนิงเฉินเซวียนพระเจ้าไม่มีวันให้เขาทำสำเร็จหรอก!”

เหยียนหมิงซุ่นกล่าวด้วยสีหน้าแน่วแน่มั่นใจ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงหวาดระแวงหนิงเฉินเซวียนแต่ตอนนี้เขาไม่กังวลเลยสักนิด เงื่อนไขของการมีชีวิตอยู่ของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้คือเข้ากับกฎธรรมชาติ

เกิดขึ้นตามกฎธรรมชาติ หากผิดกฎธรรมชาติย่อมตาย นี่เป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

หนิงเฉินเซวียนผิดกฎธรรมชาติต้องโดนธรรมชาติลงโทษในไม่ช้าก็เร็ว นี่เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว

หากเขาเดาไม่ผิดบาปกรรมนี้จะตกไปอยู่ที่เด็กในท้องของอู่เยวี่ย

เขาให้ลูกน้องตามสืบพื้นหลังตระกูลหนิงพบว่าตอนนี้ต้นสายของหนิงเฉินเซวียนเหลือเพียงเขากับเฮ่อเหลียนเช่อสองคนเท่านั้น อีกอย่างพ่อของหนิงเฉินเซวียนมีลูกหลายคนแต่คนที่รอดชีวิตมีเพียงเขากับหนิงเฉินซี ลูกคนอื่น ๆส่วนมากถ้าไม่พิการสภาพอนาถก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน น้อยคนนักที่จะอยู่รอดเกินสิบปี

มีความเป็นไปได้ที่เด็กตระกูลหนิงจะพิการไม่สมประกอบสูงมาก ฉะนั้นเด็กในท้องของอู่เยวี่ยมีความเป็นไปได้ที่จะปกติต่ำมาก หนิงเฉินเซวียนต้องดีใจเก้ออย่างไม่ต้องสงสัย!

เขาไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่รอดูเรื่องสนุก ๆเงียบ ๆก็พอ!

เหมยเหมยหัวเราะเสียงเอิกเกริกเพราะละครตลกเรื่องสั้นของอาจารย์จ้าวลี่หรงอย่างเรื่อง “ต่ากงฉีอวี้” อยู่ในห้องนั่งเล่น แม้เวทีในยุคสมัยนี้ไม่ได้หรูหราเท่าชาติก่อนแต่ทักษะการแสดงของอาจารย์จ้าวดีไร้ที่ติ แสดงบทบาทคุณยายคนแก่ใสซื่อคนหนึ่งได้อย่างสมบทบาท เธอในตอนนี้หัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว

เธอตั้งใจฟังท่อนที่อาจารย์จ้าวร้องเพลงเพราะได้ข่าวว่านั่นไม่ได้ผ่านการซักซ้อมมาก่อนล่วงหน้า แต่เพราะสุขภาพของอาจารย์จ้าวไม่ค่อยดีนักเลยทรุดฮวบลงไป แต่ตอนนั้นคนทั้งประเทศไม่มีใครดูออกต่างพากันชื่นชมในทักษะการแสดงของท่านอย่างแท้จริง

เหมยเหมยจับจ้องดูการแสดงของอาจารย์จ้าวไม่กะพริบตา หากตั้งใจดูก็พอจะดูออกว่าคุกเข่ากระแทกแรงมากซึ่งคิดว่าต้องเจ็บแน่ ๆ แต่อาจารย์จ้าวกลับไม่แสดงออกทางสีหน้าสักนิด ยังคงแต้มยิ้มเบิกบาน มิน่าผู้ชมถึงไม่มีใครดูออก

เธอปรบมืออย่างอดไม่ได้แต่ส่วนมากคือความเสียดาย ไม่กี่ปีหลังจากนั้นศิลปินผู้น่าเคารพนับถือท่านนี้ก็จากโลกนี้ไปเพราะอาการป่วย น่าเสียดายเหลือเกิน!

เหยียนซินหย่าเอ่ยติ “อยู่บ้านปรบมือทำไม? ยัยโง่เอ้ย!”

“ก็มันสนุกนี่นา…” เหมยเหมยอ้อนแล้วคว้าเมล็ดถั่วสนในจานมาแกะทาน ใบหน้ามุมข้างงดงามดั่งภาพวาดที่ทำเอาเหยียนซินหย่าใจเหลวเป็นน้ำ อดยกแขนลูบศีรษะลูกสาวไม่ได้

“ทานพวกถั่วเปลือกแข็งเยอะ ๆ ถั่วมีสารอาหารสูง แม่ได้ยินมาว่าที่ชาวยิวฉลาดขนาดนี้ก็เพราะชาวยิวชอบทานถั่วเปลือกแข็ง อย่างถั่วเฮเซล เมล็ดถั่วสน วอลนัท ถั่วลิสง ถั่วพีแคน ถั่วเซียงเฝ่ย อัลมอนด์ แปะก๊วย…พรุ่งนี้แม่จะเอากระปุกเก็บแยกไว้ให้ลูกนะ ลูกทานวันละนิด อนาคตหลานของแม่จะได้ฉลาด”

เหยียนซินหย่าเอ่ยเสียงระริกระรี้ มีเพียงพระเจ้าที่รู้ว่าเธอได้วาดรูปเด็กทารกไว้นับไม่ถ้วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงในท่านอน ท่านั่ง หัวเราะ ร้องไห้…เยอะจนนับไม่หวาดไม่ไหว

เหมยเหมยหน้าแดงระเรื่อ คุณย่าหยางเพิ่งพูดเรื่องอยากมีเหลนผู้หญิงมาหยก ๆ กลับมาแม่ก็พูดเรื่องนี้อีก

“แม่ หนูยังเหลือเวลาอีกตั้งสองปีกว่าจะเรียนจบนะ!” เหมยเหมยเอ่ยเตือนอย่างระอา

“ก็ให้ลูกเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าไง บำรุงสุขภาพตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตจะได้มีลูกที่น่ารักแข็งแรงและฉลาด นี่เรียกว่าการวางแผนเลี้ยงลูกไง”

เหยียนซินหย่าพูดเป็นตุเป็นตะและไม่รู้ว่าเธอไปฟังทฤษฎีมาจากไหน เหมยเหมยร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออกได้แต่คอยฟังอยู่เงียบ ๆ

“เฮ้อ นโยบายรัฐนี้น่าหงุดหงิดจริง ๆ ทำไมถึงให้มีลูกได้แค่คนเดียวกันนะ? ถ้าคนเดียวเกิดมาดีก็แล้วไป ถ้าเกิดมาไม่ดีละจะทำอย่างไร? ทิ้งลูกก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? สมัยก่อนสิดี มีได้เป็นคอก ยังไงซะก็ต้องมีดี ๆสักคนล่ะนะ!”

เหยียนซินหย่าถอนหายใจแล้วบ่นอุบอิบ

เหมยเหมย ‘…หนึ่งคอก…นี่เลี้ยงหมูหรือไง!’

………………….

ตอนที่ 1971 ทางเลือกที่ยากลำบาก

ค่ำคืนแห่งความสุขในวันส่งท้ายปีเก่าก็ได้ผ่านพ้นไป ช่วงเช้าทั้งครอบครัวต่างพากันตื่นสายจึงรวบรัดกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยงไปด้วยกันเลยทีเดียว เหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นกลับไปที่บ้านตระกูลเหยียนอีกครั้ง พวกเขารู้สึกกระวนกระวายใจตลอดทางกลัวว่าเหยียนหมิงต๋าจอมหัวรั้นจะถามถึงเรื่องของถานซูฟาง

“ไม่ต้องกังวลนะ ถ้าถามมาก็แค่ตอบไปตามความจริง ถ้าหมิงต๋าคิดไม่ได้ก็ช่างเขาเถอะ!” เหยียนหมงิซุ่นลูบเบา ๆที่มือเหมยเหมย

เมื่อวานเขานอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องนี้มาตลอดทั้งคืน สุดท้ายเลยตัดสินใจที่จะไม่ปิดบังน้องชายตนแล้วพูดความจริงกับเขา หากเหยียนหมิงต๋าโกรธแค้นเขา เขาเองก็คงต้องยอมรับ

ตั้งแต่วินาทีที่ถานซูฟางทำให้แม่ของเขาตาย เขาและเหยียนหมิงต๋าก็ได้ถูกลิขิตไม่ให้เป็นพี่น้องที่สนิทกันอีกต่อไป!

บรรยากาศภายในบ้านตระกูลเหยียนค่อนข้างน่าอึดอัดไม่ได้ครึกครื้นเหมือนอย่างเมื่อวาน คุณย่าหยางกวาดลานบ้านซึ่งไม่ได้กวาดขยะออกไปด้านนอกเหมือนทุกทีแต่เป็นการกวาดเข้าด้านใน นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิถีพิถันอย่างหนึ่ง ว่ากันว่าการกวาดบ้านในวันที่ 1 เดือน 1 (วันขึ้นปีใหม่) จำเป็นต้องกวาดเข้าด้านในจะเป็นการเรียก (กอบโกย) ความมั่งคั่งเข้าบ้าน

คุณปู่เหยียนนั่งรับแสงแดดอยู่ในสวน เมื่อเห็นพวกเหมยเหมยกลับมาก็พลันฉีกยิ้มกว้างทันที แต่กลับไม่เห็นเหยียนหมิงต๋า

“คุณย่าครับ หมิงต๋าไปไหนแล้ว?” เหยียนหมิงซุ่นถาม

คุณย่าหยางชี้เข้าไปในบ้าน “ขังตัวเองอยู่ในห้องน่ะ ข้าวเช้าก็ไม่ยอมกิน หลานกับเหมยเหมยกินมาหรือยัง หรือจะให้ยายทำเกี๊ยวน้ำให้?”

“ไม่ต้องครับ พวกเราเพิ่งทานก่อนกลับมา ทำไมหมิงต๋าถึงได้อารมณ์เสียล่ะ?” เหยียนหมิงซุ่นถามเสียงนิ่ง

คุณย่าหยางวางไม้กวาดลงพลางถอนหายใจแล้วพูดว่า “เมื่อคืนย่าเปิดอกคุยกับหมิงต๋าแล้วก็บอกเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่พ่อกับแม่ของเขาทำลงไป จริงสิ หลานอย่าเพิ่งบอกว่าตัวเองเป็นคนสั่งย้ายสองคนนั้นไปนะ ย่าบอกไปว่าเป็นย่าเองที่สั่งให้หลานออกคำสั่งย้าย ถ้าไม่เห็นหน้าเห็นตากันจะได้ไม่ต้องมานั่งรำคาญใจ ก่อนตายก็ไม่อยากเห็นหน้าพวกเขาอีก”

เมื่อคืนคุณย่าหยางยิ่งคิดก็ยิ่งแปลกใจ แม้ว่าเธอจะรักหลานชายคนโตมากแต่เธอก็รักใคร่หลานชายคนเล็กไม่ต่างกัน สิ่งที่เธอไม่อยากเห็นที่สุดคือความขัดแข้งของสองพี่น้อง เพราะงั้นคุณย่าถึงขบคิดมาตลอดทั้งคืนตัดสินใจที่จะดึงความผิดทุกอย่างมาไว้ที่ตนเอง

ให้เธอเป็นคนชั่วเอง หากเหยียนหมิงต๋าจะเกลียดก็ขอให้เกลียดเธอ อย่าได้โทษหลานชายคนโตเลย!

เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกอุ่นใจ กางแขนสองข้างโผเข้ากอดคุณย่าหยาง พลางพูดปลอบใจ “ไม่ต้องกังวลไปครับ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก”

คุณย่าหยางทอดถอนหายใจ ลังเลอยู่สักพักก่อนจะเอ่ย “หมิงซุ่น หลานเอาตัวถานซูฟางกลับมาดีไหม อย่าให้เธอไปเป็นนักข่าวภาคสนามเลย อาชีพนั้นอันตรายเกินไป ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาในใจของหมิงต๋าคง…”

ประโยคถัดไปคุณย่าไม่ได้พูดออกมา นั่นคือผลลัพธ์ที่เธอไม่อยากเห็นมัน

แม้ว่าเธอจะอยากให้ผู้หญิงอย่างถานซูฟางตายไปเสีย แต่พอนึกถึงเหยียนหมิงต๋าเธอก็พลันใจอ่อน ช่างขัดแย้งเป็นที่สุด

คุณย่าหยางพูดเกลี้ยกล่อมต่อไปว่า “หลานย้ายเธอไปที่ที่พ่อของหลานอยู่ ปล่อยให้พวกเขาสองคนปรับปรุงตัวอยู่ในเขตภูเขาห่างไกลทุรกันดารนั่นเถอะ”

ในเขตภูเขาห่างไกลแม้จะทั้งลำบากทั้งเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ยังดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต ไอ้พวกไร้คุณธรรมทั้งสองต้องไปอยู่ในที่แบบนั้นเพื่อปรับปรุงตัวชดใช้ให้กับแม่ของเหยียนหมิงซุ่น!

เหมยเหมยมองเหยียนหมิงซุ่นที่อารมณ์บนใบหน้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่เธอรู้ดีว่าในตอนนี้ใจของเหยียนหมิงซุ่นนั้นสับสนมากแค่ไหน ถานซูฟางเป็นคนที่ทำให้แม่ของเขาตายเลยนะ!

ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีใจคิดไม่ซื่อ คิดจะจัดการกับเหยียนหมิงซุ่นนับครั้งไม่ถ้วน ผู้หญิงคนนี้ตายไปก็ยังไม่พอให้เสียดายเลย!

แต่ที่คุณย่าหยางพูดก็มีเหตุผล ช่างเป็นการเลือกที่ยากจัง!

เฮ้อ!

บรรยากาศเงียบอยู่นานกว่าเหยียนหมิงซุ่นจะเอ่ยเสียงตอบรับ “ได้ครับ!”

เหมยเหมยมองเขาอย่างแปลกใจและรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา

กว่าเหยียนหมิงซุ่นจะตัดใจพูดคำนี้ได้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน!

เหมยเหมยดึงมือของเขามากุมไว้แน่นพลางส่งยิ้มให้ เหยียนหมิงซุ่นเองก็ยิ้มตอบ นัยน์ตาเจือด้วยความโล่งใจอยู่บ้าง

เขาเกลียดถานซูฟางจริง แต่ต่อให้ผู้หญิงคนนี้ตายไปกี่ร้อยครั้งแม่ของเขาก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีกแล้ว

เมื่อครู่เขาพลันนึกถึงเด็กผู้ชายตัวน้อย ๆจอมซื่อบื้อที่คอยแอบส่งข้าวส่งน้ำให้เขา และยังเข้ามาบังไม้แทนเขาด้วย และนั่นคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาไม่อยากสูญเสียมันไป

เอาตามนี้แล้วกัน!

……………………………………………………….