ในขณะที่พนักงานในแล็บแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังหยุดงานประท้วง ผู้อำนวยการหลิวซือไห่ก็กำลังยื่น ‘คำขาด’ กับออฟฟิศของผู้บริหารศูนย์วิจัยแห่งอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้

เขามองชายสูงวัยที่อายุอานามก็มากกว่า 70 ปีเข้าไปแล้ว ชายคนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะและรับฟังหลิวซือไห่ที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า

“ผู้อำนวยการอู๋ ตอนนี้นักวิจัยในแล็บของเราร้อนอกร้อนใจกันมาก พวกเขาต้องการให้บอร์ดผู้บริหารหยุดแทรกแซงแผนกการวิจัยและการพัฒนาและต้องการให้ปลดนักวิชาการลู่ออกจากตำแหน่งผู้บริหารในบอร์ดวิทยาศาสตร์ด้วย! ถ้าเกิดพวกเขาไม่ได้ตามที่ต้องการล่ะก็ การหยุดงานประท้วงจะไม่มีวันเลิกทำแน่ๆ ”

ผู้อำนวยการอู๋เป็นหัวหน้าของแผนกวิจัยวิทยาศาสตร์ของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ ชื่อของเขาคืออู๋ฉิง และเขาก็อายุ 72 ปีแล้ว

จากโครงสร้างขององค์การอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ ทุกโปรเจกต์วิจัยและนักวิจัยทุกคนจะอยู่ภายใต้การจัดการของผู้อำนวยการวิจัยโดยมีคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าอีกที

ไม่ว่าจะด้วยตำแหน่งหรือด้วยคุณสมบัติใดๆ หลิวซือไห่ก็ไม่สมควรมาพูดกับผู้อำนวยการอู๋ด้วยน้ำเสียงอวดดีแบบนี้

แต่สถานการณ์ของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ในปัจจุบันค่อนข้างจะพิเศษ

เพราะถึงผู้อำนวยการอู๋จะเป็นหัวหน้าของแผนกการวิจัยและการพัฒนา แต่เขาก็ไม่ได้มีพลังอะไรจริงๆ จังๆ เมื่อไม่กี่ปีก่อน พลังส่วนใหญ่ของเขาถูกกระจายไปตามหน่วยงานวิจัยหลายแห่งด้วยฝีมือของซงหยางเหว่ย

จึงทำให้หลิวซือไห่ไม่เกรงกลัวอะไรผู้อำนวยการชราเลย

เหตุผลที่หลิวซือไห่เลือกมาคุยกับอีกฝ่ายก็แค่เพราะต้องการให้คนใหญ่คนโตอย่างผู้อำนวยการอู๋ย้ายมาอยู่ข้างเขาซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการชนะให้เขาเล็กน้อย

แต่ผู้อำนวยการอู๋ก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่มีทางยอมเสี่ยงเสียตำแหน่งตัวเองเพื่อช่วยอีกฝ่ายอยู่แล้ว

เขามองไปที่ผู้อำนวยการหลิวซือไห่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามโต๊ะของเขา ผู้อำนวยการอู๋ถอนหายใจออกมาด้วยความปวดหัว

“คุณจะทำอะไรของคุณ…”

“พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อสิทธิทางกฎหมายกันอยู่!”

หลิวซือไห่ว่าต่อ

“ผู้อำนวยการอู๋ พวกนักวิจัยโมโหกันมากนะ คุณเองก็เคยเป็นนักวิจัย คุณควรจะรู้ดีด้วยซ้ำว่ากว่าโปรเจกต์วิจัยโปรเจกต์หนึ่งจะเริ่มจากต้นไปจนจบได้ มันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด และก็ควรจะรู้ว่าโปรเจกต์ครั้งหนึ่งต้องใช้ความพยายามในการทำมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ มีไอ้แก่จากเมื่อร้อยปีก่อนเอ่ยปากขึ้นมา บอกว่าจะระงับโปรเจกต์พวกเราทิ้งไปครึ่งหนึ่ง เขาเคยคิดบ้างไหมว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราจะรู้สึกอย่างไร?”

หลังจากได้ยินคำพูดดังกล่าว อู๋ฉิงก็ไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไรดี

ถึงคนอื่นจะไม่รู้ว่าแผนกวิจัยของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้มันไร้ประโยชน์แค่ไหน แต่ตัวเขานั้นรู้ดีอยู่แก่ใจ

ปัญหาอยู่ที่ว่า ด้วยอายุของเขาแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ส่วนใหญ่เขาเลยทำแค่ปิดตาข้างหนึ่ง ทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น

สิทธิทางกฎหมาย?

พวกคุณจะรู้สึกอย่างไรเหรอ?

ตอแห*สิ้นดี!

แต่ฉันก็ยังไม่ควรทำให้เขาโกรธอยู่ดี

หลังจากถอนหายใจ ผู้อำนวยการอู๋ก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงใจเย็นว่า

“ผมเข้าใจนะว่าคุณกำลังลำบาก เอาจริงๆ แล้ว เขาก็เริ่มทำอย่างนี้โดยไม่ได้บอกได้กล่าวอะไรก่อนด้วย ผมก็โมโหมากๆ เหมือนกัน แต่ผมก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้! แผนการปฏิรูปของนักวิชาการลู่เป็นแผนที่ทำขึ้นมาด้วยตนเอง คุณก็รู้นิสัยเขาดี ผมพูดอะไรต่อหน้าเขาไม่ได้หรอก

อย่างไรการประท้วงครั้งนี้ก็จะจบไม่สวยอยู่แล้ว คุณจะรั้งต่อไปทำไม?”

“นี่มันเกี่ยวข้องกับสิ่งสำคัญที่พวกเราทุกคนสนใจนะ ถ้าผมเลือกที่จะเงียบ ผมจะมีหน้าไปพบกับนักวิชาการที่ทำงานอย่างหนักในแล็บและเพื่อนร่วมงานที่เชื่อในตัวผมได้อย่างไรกัน?” ผู้อำนวยการหลิวซือไห่มีสีหน้าที่กึ่งน่ากลัวกึ่งน่าเลื่อมใส เขาพูดขึ้นว่า “ผมต้องคุยกับนักวิชาการลู่วันนี้! ถ้าเขาไม่ยอมให้คำตอบที่แน่ชัดกับผมแล้วล่ะก็ ผมจะไม่ออกไปจากที่นี่เด็ดขาด!”

แล้วเสียงอันคุ้นเคยก็ดังลอดมาจากหน้าประตู

“มีใครอยากคุยกับผมเหรอครับ?”

หลิวซือไห่หันไปมองที่ทางประตูทันที เขาเห็นลู่โจวเดินเข้ามาพร้อมกับหุ่นยนต์บอดี้การ์ดและผู้ชายอีกคนที่ดูคุ้นๆ

“ช่างบังเอิญเสียจริง ผมกำลังจะไปออฟฟิศคุณเพื่อตามหาคุณเลย”

เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลู่โจว หลิวซือไห่ก็เผยรอยยิ้มอันเย็นชาออกมา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะแกล้งทำเป็นสุภาพใส่อีกฝ่ายแล้ว หลิวซือไห่เชิดหน้าขึ้นแล้วบอกว่า “ผมจะให้ทางเลือกคุณสองทาง

ทางแรก คุณเป็นประธานต่อไป ไม่ต้องมาแทรกแซงเรื่องในแล็บ ไม่ต้องเข้ามาจุ้นจ้าน แล้วก็จะไม่มีใครเข้าไปยุ่งกับคุณ หรืออีกทาง ถ้าคุณยังจะหาเรื่องพวกเราต่อไป คุณไม่ได้อยู่สงบๆ แน่!”

ลู่โจวยิ้มจางๆ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยโดนขู่มาก่อนนะ

แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมโดนคนแบบคุณขู่เนี่ย”

ใบหน้าของหลิวซือไห่ซีดจนเหมือนว่ากำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียว

“นี่! ผมกำลังเตือนคุณนะ อย่ามาทำเป็นเล่นตลก! ถ้าคุณยังทำเรื่องพวกนี้ล่ะก็ มันจบไม่สวยแน่!”

ลู่โจวมองไปทางผู้อำนวยการหลิวที่ตอนนี้หน้าเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำ เขาพูดออกมาด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “อย่างนั้นเหรอ บอกผมทีสิว่าคุณคิดจะทำอะไร”

ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ประตูออฟฟิศก็ถูกผลักเปิดออก

เจ้าหน้าที่แผนกกฎหมายพาเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนและหุ่นยนต์ผู้รักษากฎหมายหลายตัวเข้ามาในห้อง ผู้อำนวยการอู๋ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเริ่มถอยหลังไปชิดพนักเก้าอี้ เหงื่อเย็นๆ ไหลลงแผ่นหลังของเขา

หลิวซือไห่ที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับตกตะลึง ใบหน้าเขาซีดลง

“แก…”

เขาใช้นิ้วชี้ไปทางลู่โจว ริมฝีปากของเขาสั่นระริก

เขาไม่คิดว่าลู่โจวจะข้ามขั้นตอนเจรจาแล้วตัดสินใจไปเรียกตำรวจมาเลยโดยตรง และเขาก็ไม่ได้คิดว่าตำรวจจะมาเร็วขนาดนี้

เขาช็อกจนพูดอะไรไม่ถูก!

ลู่โจวไม่ได้สนใจสีหน้าของหลิวซือไห่มากนัก เขามองไปทางตำรวจที่สองคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็พยักหน้าให้พวกเขา แล้วพูดออกมาด้วยเสียงนุ่มนวลว่า

“เจ้าหน้าที่ครับ คนคนนี้คือคุณที่ผมพูดถึง ในข้อหาที่เขาใช้พลังร่วมมือกับคนอื่นในการทุจริตเงินของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้และปกปิดหลักฐานของการมีรายได้ผิดกฎหมาย ผมยังฝากฝังให้เจ้าหน้าที่แผนกกฎหมายของบริษัทยื่นหลักฐานให้กับศาลแล้ว”

“ผมเชื่อว่ากฎหมายจะต้องตัดสินเขาอย่างยุติธรรมแน่นอน”

หลิวซือไห่อ้าปากขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหงื่อเย็นๆ ไหลไปตามใบหน้า

“ผมไม่ได้ทำ! ผมแค่…”

เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งพูดขัดจังหวะหลิวซือไห่ เขามองหน้าอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า

“คุณคือหลิวซือไห่ใช่ไหม?”

“ใช่ ผมเอง แต่…แต่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ!” เขาคว้าแขนลู่โจวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขอร้องว่า “อาจจะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นระหว่างพวกเรา ผมขอโอกาสอธิบายด้วย! ผมต้อง…”

“คุณไม่ต้องอธิบายอะไรให้ผมฟังทั้งนั้นนั่นแหละ”

หลิงคว้ามือหลิวซือไห่ออกจากตัวลู่โจว ดวงตาของลู่โจวมีแต่ความเย็นชา

ความเห็นใจเหรอ?

อย่าแม้แต่จะคิด

ฉันไม่ใช่คนที่จะเห็นใจคนแบบนายหรอก

มันไม่ผิดหรอกที่เป็นคนโง่ ตราบใดที่นายยังขยันและตั้งใจเรียนอยู่ นายก็ยังแก้ปัญหาตรงนั้นได้ หรือต่อให้นายไม่มีประโยชน์กับองค์กรแล้วจริงๆ ฉันก็ยังหาคนมาแทนนายได้ ฉันไม่มีทางโกรธขนาดนี้หรอก

แต่ปัญหามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความสามารถของนายแล้ว ขนาดตอนนี้หลิวซือไห่ยังไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองทำอะไรผิดไป

ในขณะที่หลิวซือไห่ถูกหุ่นยนต์ผู้รักษากฎหมายพาตัวออกไปจากห้อง ลู่โจวก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไปอธิบายกับผู้พิพากษาเอาก็แล้วกัน”

บางทีหลิวซือไห่อาจจะโกรธที่ลู่โจวพูดจาไม่ไยดีใส่ เขารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีทางหนีการจับกุมครั้งนี้ไปได้ เขาเลยระเบิดความโกรธออกมา

เขารวบรวมพลังทั้งหมดไว้กับตัว เมื่อตอนที่เขาถูกพาตัวไปที่หน้าประตูออฟฟิศ เขาก็ตะโกนลั่นว่า “เฮ้ย แกน่ะ! ฉันจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้มันจบง่ายๆ หรอก คอยดูเถอะ ถึงตอนนั้นแกจะต้องมาคุกเข่าขอร้องฉัน แล้วฉันจะ…”

เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวค่อยๆ จางหายไปตามระเบียงทางเดิน จนสุดท้ายเสียงนั้นก็แผ่วจนฟังไม่รู้เรื่องอีกต่อไป

ลู่โจวไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายพูดอะไรไปบ้าง เขาชำเลืองเล็กๆ ไปมองผู้อำนวยการอู๋ที่นั่งตัวสั่นอยู่หลังโต๊ะ จากนั้นก็เหลือบไปมองถังอวิ๋นเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา

“คุณจะได้เป็นผู้อำนวยการแล็บวิจัยแม่เหล็กคนไฟฟ้าคนใหม่”

ถังอวิ๋นเกอตกใจ เขาชี้ไปที่ตัวเองแล้วถามย้ำ

“ผมเหรอ?”

“จะใครซะอีกล่ะ?”

“แต่…”

“ผมไม่เคยดูคนที่มีความสามารถพลาดนะ” ลู่โจวตบไหล่ถังอวิ๋นเกอแล้วบอกว่า “ตั้งใจทำงาน อย่าทำให้ผมผิดหวังล่ะ”

หลังจากนั้น ลู่โจวก็หันหลังกลับแล้วเดินออกไปจากห้อง