ตอนที่ 1486 การลาออกเป็นหมู่คณะ

Scholar’s Advanced Technological System ระบบปั้นอัจฉริยะ

หยุดงานประท้วงเหรอ?

หลังจากได้ยินคำที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ลู่โจวก็อึ้งไปเล็กน้อย กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ก็ผ่านไปพักหนึ่ง

“หยุดงานประท้วงเหรอ? ทำ…ทำไปทำไมกัน?”

“ตอนนี้ไม่มีใครทำงานแล้วครับ” เลขานุการโจวเล่าต่อ “ทั้งแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าหยุดทำงานกันหมดแล้วครับ นักวิจัยต่างไปออกันที่ล็อบบี้แล็บเพื่อประท้วงการปฏิรูปการวิจัยวิทยาศาสตร์ครับ…ตอนนี้เหตุการณ์ในพื้นที่กำลังวุ่นวาย ถ้าพวกเขายังสร้างปัญหาต่อล่ะก็ ผมเกรงว่าบอร์ดผู้บริหารจะต้องยื่นมือเข้ามาทำอะไรสักอย่างครับ”

ถังอวิ๋นเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็อดแสดงสีหน้าขมขื่นออกมาไม่ได้

เอาตรงๆ แล้ว เขาไม่แปลกใจเลยที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ทั้งแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าแทบจะเป็นอาณาจักรของผู้อำนวยการหลิวซือไห่อยู่แล้ว เมื่อได้รับการสนับสนุนจากซงหยางเหว่ย หรือชายสูงวัยที่ดำรงตำแหน่งสำคัญในบอร์ดผู้บริหาร หลิวซือไห่ก็ทำให้แล็บแม่เหล็กไฟฟ้าแห่งอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ต้องพัฒนาถดถอยหลังบริหารมาหลายปี

ตั้งแต่ผู้นำโปรเจกต์หลักของแผนกบริหารแล็บอื่นๆ จนไปถึงผู้ผลิต ตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์กรล้วนมีแต่เพื่อนจอมทุจริตของเขานั่งเก้าอี้อยู่กันทั้งนั้น

มันไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ได้ด้วยคนแค่ไม่กี่คนอีกต่อไป

ถ้าหากแผนกการวิจัยและการพัฒนาของอีสต์เอเชียเอเนอร์จี้ทั้งแผนกไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นล่ะก็ อย่าว่าแต่ฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นที่สองเลย แค่จะหาวิธีคงสภาพความได้เปรียบในวงการฟิวชั่นที่ควบคุมได้รุ่นแรกให้มีอยู่ต่อไปได้ก็แทบจะหืดขึ้นคอแล้ว

ลู่โจว “พวกเขาได้เรียกร้องอะไรไหม?”

เลขานุการโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่กล้าตอบคำถาม

สุดท้าย หลังจากเห็นใบหน้าของลู่โจวที่เริ่มหมดความอดทน เขาก็กัดฟันแล้วตอบตามความเป็นจริงว่า

“พวกเขาขอให้บอร์ดผู้บริหารปลดคุณออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และหยุดคุณไม่ให้ใช้อำนาจบริหารมาแทรกแซงการทำงานประจำวันของแล็บและเสรีภาพทางวิชาการครับ”

การทำงานประจำวันขอแล็บเหรอ?

เสรีภาพทางวิชาการเหรอ?

ลู่โจวโกรธจนแทบจะหัวเราะออกมาดังลั่นห้อง

“แล้วถ้าผมไม่ยอมตกลงด้วยล่ะ?”

เมื่อได้ยินโทนเสียงของลู่โจวที่ไม่ใจดีอีกต่อไป เลขานุการโจวก็เลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวังว่า “จากที่ตัวแทนของพวกเขาพูด ถ้าเกิดคุณไม่เห็นด้วย พวกเขาก็จะลาออกกันเป็นหมู่คณะเลยครับ…”

“โถ่!”

วินาทีที่เขาได้ยินคำเหล่านั้น ลู่โจวก็ไม่เสแสร้งอะไรอีกต่อไป เขาหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นในช่วงเวลาที่สุดแสนจะตึงเครียด

หลังจากทนมาสองสามวินาที เขาก็ไม่สามารถกลั้นขำได้อีกต่อไป เขากระแอมแล้วหยุดหัวเราะ

เลขานุการโจวยืนอยู่หน้าโต๊ะของลู่โจว เขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง ลู่โจวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นมือออกมา จากนั้นเขาก็ถามเลขานุการว่า

“มันอยู่ไหนล่ะ? เดี๋ยวผมรับมาเอง”

“มัน? พูดถึงอะไรกันครับ?” เลขานุการโจวงง เขาถามลู่โจวด้วยเสียงเบาหวิว “หมายถึงอะไรนะครับ?”

ลู่โจวมองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ

“ใบลาออกไง!”

“พวกเขาจะมาขู่ผมว่าจะลาออกโดยที่ไม่มีใบลาออกเนี่ยนะ?”

เลขานุการโจวกับถังอวิ๋นเกอ “???”

บรรยากาศในแล็บวิจัยแม่เหล็กไฟฟ้าวันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ

มีคนสักคนพูดขึ้นมาว่า “นักวิชาการลู่กำลังจะปลดนักวิจัยในสถาบันออกครึ่งหนึ่ง” จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นแล้วเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง

ตั้งแต่ในออฟฟิศจนไปถึงในห้องแล็บนั้น โต๊ะทุกตัวแทบจะว่างเปล่าไม่มีคนนั่ง ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจมาเอง หรือมาเพราะถูกเกลี้ยกล่อมจากคำชี้นำของหัวหน้า แต่ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่ล็อบบี้ชั้นหนึ่งของตึกแล็บ พวกเขานั่งกันอยู่บนพื้น ในมือถือป้ายประท้วงและปากก็ประท้วงปาวๆ ว่าไม่เอาแผนการปฏิรูปของนักวิชาการลู่

“พวกเราทำเกินไปหรือเปล่า?”

นักวิชาการสูงวัยที่ทำงานอยู่ที่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้มาเกือบ 20 ปีแสดงสีหน้าไม่ค่อยสบายใจออกมา

ความกระวนกระวายนี้ไม่ได้มาจากจิตสำนึกหรือมโนธรรมอะไร และไม่ได้มาจากความกระวนกระวายหรือความรู้สึกผิดจากการที่แทบไม่ได้ทำอะไรในช่วงสิบปีที่ผ่านมาด้วย แต่มาจากการกังวลว่าเรื่องนี้จะจบไม่สวย

“ยิ่งเล่นใหญ่ ผลลัพธ์ยิ่งดี!”

เมื่อเห็นว่าบรรยากาศในห้องโถงคุกรุ่นแค่ไหน หยางเสี่ยวเฟิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เขาหรี่ตาแล้วพูดต่อ “ผมพนันได้เลยว่าเจ้าคนหลงยุคนั่นต้องกังวลแล้วตอนนี้”

เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว

คนสมัยนี้ไม่เหมือนคนสมัยก่อน พวกเขาต่อสู้เพื่อสิทธิของตัวเอง

น่าเสียดายที่นักวิชาการลู่ไม่ใช่ผู้จัดการที่มีประสิทธิภาพนัก ถ้าเขามีสกิลการจัดการสักนิด เขาจะไม่มีทางเลือกใช้ไม้แข็งในการโปรโมตการปฏิรูป ‘แบบเดียวใช้ได้ทุกอย่าง’ ของเขาแน่ๆ

อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้มีปัญหาหลายอย่าง แต่ปัญหาพวกนั้นก็ไม่ได้มีแค่อีสต์เอเชียเอเนอร์จี้บริษัทเดียวที่มี

หยางเสี่ยวเฟิงยอมรับว่า เขามาอยู่ ณ จุดนี้เพียงเพื่อมารับเงินเดือนไปวันๆ เท่านั้น งานวิจัยที่ดีที่สุดที่เขาเขียนมาในรอบหลายปีก็คืองานธีสิสจบการศึกษาของเขา แต่ธรรมชาติของโลกก็เป็นอย่างนี้แหละ เขาจึงไม่คิดว่านี่จะเป็นปัญหาอะไร

อีกอย่างคนที่รับตำแหน่งก่อนหน้าเขาก็ทิ้งธุรกิจครอบครัวขนาดใหญ่กันไว้ทั้งนั้น ถ้าเขาไม่รับช่วงต่ออำนาจนี้ให้อยู่กับตัวเขาแล้วล่ะก็ มันจะไปสะท้อนความแข็งแกร่งของคนที่เคยทำงานในตำแหน่งนี้มาก่อนได้อย่างไร

นักวิชาการอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหยางเสี่ยวเฟิงมองไปทางประตูที่ยังไร้วี่แววว่าจะมีคนมาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากพวกเขา เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลว่า

“คุณคิดว่านักวิชาการลู่…เขาจะยอมประนีประนอมกับเราจริงๆ เหรอ? ผมรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนคิดอะไรง่ายๆ แบบนั้น…”

“มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะยอมประนีประนอมหรือเปล่า” หยางเสี่ยวเฟิงพูดช้าๆ “ตราบใดที่ผู้ถือหุ้นเห็นสภาพปัญหาที่เกิดหลังจากที่เขารับตำแหน่งในออฟฟิศไป บวกกับราคาหุ้นที่ตกด้วย อย่างไรพวกเขาก็ต้องเลือกการตัดสินใจที่ถูกต้องอยู่แล้ว”

แน่นอนว่าถ้านักวิชาการลู่อยากจะร่วมมือกับพวกเขา เขาก็ยังมีโอกาสอยู่

ตามแผนแล้ว ถ้าลู่โจวจะเต็มใจนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานโดยทำตัวเป็นหุ่นเชิด เลิกกังวลเรื่องในอดีตแล้วไม่พยายามเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากหยางเสี่ยวเฟิง เขาก็โอเค

ตอนนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากประตูแล็บ

เมื่อหยางเสี่ยวเฟิงเห็นว่าใครเป็นคนที่เดินมาที่ประตู เขาก็รู้สึกดีขึ้นมาทันที

คนที่มานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากโจวเล่ย เลขานุการที่ทำงานในออฟฟิศลู่โจว ถึงแม้การที่ลู่โจวจะไม่ได้มาที่นี่ด้วยตัวเองจะทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ลู่โจวก็ส่งเลขาฯของเขามาไวเหลือเกิน…

เห็นได้ชัดว่าลู่โจวรับสถานการณ์นี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว!

หยางเสี่ยวเฟยลุกขึ้นมาจากพื้น เขาจัดแจงกางเกงให้เรียบร้อยแล้วเดินไปหาเลขานุการโจวด้วยท่าทางใจเย็น

เขาเชิดหน้าขึ้นสูง แล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า

“มาทำอะไรที่นี่เหรอ? พวกเราอยากพบนักวิชาการลู่ ไม่ใช่เลขาฯเสียหน่อย

ถ้าเขายังมีทัศนคติอวดดีไม่ยอมพูดคุยกับเราต่อล่ะก็ พวกเราจะทำให้เขาต้องชดใช้กับความอวดดีนั่น!”

เจ้านี่…

ไม่รู้เสียแล้วว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร

เลขานุการโจวมองเขาด้วยสีหน้าเห็นใจ จากนั้นเขาก็ละสายตาไปจากหยางเสี่ยวเฟิง หลังจากกระแอมเบาๆ เขาก็มองไปที่กลุ่มนักวิชาการที่นั่งอยู่บนพื้นห้องแล้วกล่าวว่า

“ทุกคนอยู่ที่นี่กันตั้งแต่เช้าแล้ว คงจะยังไม่ได้กินอาหารกลางวันกัน

นักวิชาการลู่ใส่ใจกับการทำงานหนักของทุกคนมาก เพื่อที่จะไม่ให้ทุกคนต้องเสียเวลาพักกินอาหารกลางวัน พวกเราตั้งใจจะให้ทุกคนทำขั้นตอนให้เสร็จก่อนเที่ยงวันครับ”

ขั้นตอน?

ขั้นตอนอะไร?

หยางเสี่ยวเฟิงตกตะลึงกับการเลือกใช้คำของเลขานุการโจว ถ้อยคำที่เขาซ้อมมาตั้งนานเพื่อจะมาพูดก็กลืนหายไปในท้องจนหมด

“ขั้นตอนอะไรกัน? หมายความว่าไง?”

เลขานุการโจวอ้าปาก เขาลังเลที่จะอธิบาย แต่ตอนนั้นเองเจ้าหน้าที่จากแผนกกฎหมายที่ยืนอยู่ข้างๆ เลขาฯโจวก็พูดออกมาด้วยสีหน้าหมดความอดทนว่า

“ก็ขั้นตอนการเขียนใบลาออกอย่างไรล่ะ จะเป็นขั้นตอนอะไรได้อีก? ในเมื่อพวกคุณขี้เกียจเกินกว่าจะเขียนใบลาออกด้วยตัวเองมายื่นกัน เพราะงั้นก็รีบๆ กรอกแบบฟอร์มนี้ได้แล้ว เลิกทำให้พวกเราเสียเวลาซะที”

หยางเสี่ยวเฟิง “???”

ลาออก?!

เกิดอะไรขึ้น?!

วินาทีที่เขาได้ยินคำนั้น ทั้งห้องโถงชั้นหนึ่งของแล็บก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ส่วนหยางเสี่ยวเฟิงก็อึ้งจนยืนนิ่งเป็นหินไปเลย เขามองเลขานุการโจวและคนจากแผนกกฎหมาย แล้วเขาก็พูดอะไรไม่ออก

ถึงเขาจะขู่ว่าจะให้พนักงานในแล็บทุกคนลาออก แต่เขาก็ไม่คิดว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นแบบนี้

หยดเหงื่อเย็นๆ ไหลลงจากหน้าผากของเขา

พอหยางเสี่ยวเฟิงสัมผัสได้ว่ามีดวงตาหลายคู่กำลังจ้องมาที่เขาจากด้านหลัง เขาก็เริ่มรู้ตัวอย่างช้าๆ ว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก…