บทที่ 1976 บุคคลที่น่าสงสัยที่สุด + ตอนที่ 1977 เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง

ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น

ตอนที่ 1976 บุคคลที่น่าสงสัยที่สุด

ถานซูฟางเป็นคนเมืองจิน พ่อแม่ของเธอรวมถึงพี่น้องของเธอก็อยู่ที่เมืองจินจึงต้องนำเถ้ากระดูกกลับมาที่เมืองจิน เหมยเหมยและคนอื่น ๆไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวงแต่บินตรงไปที่เมืองจินเลย

“ผมจะไปที่บ้านของคุณตาคุณยาย” เหยียนหมิงต๋ากอดโกศเถ้ากระดูกไว้ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

ข่าวการตายของถานซูฟางเหยียนหมิงซุ่นได้โทรไปแจ้งคุณย่าหยางและคนอื่น ๆแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสองอดที่จะใจหายไม่ได้ กว่าหลานชายคนโตของเขาจะยอมละทิ้งความโกรธแค้นในใจได้แต่กลับต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้เสียก่อน

ฟ้ากลั่นแกล้งกันหรือไร!

เหยียนหมิงต๋าไปที่บ้านของคุณตาคุณยายพร้อมโกศเถ้ากระดูกของถานซูฟางและหนังสือรับรองการพลีชีพในหน้าที่

จนถึงวันตายถานซูฟางก็ยังคงอยู่ในสถานะของแพทย์สนาม(รบ) ดังนั้นเธอจึงมีสิทธิ์เป็นผู้พลีชีพในหน้าที่ ถือว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะทำให้เหยียนหมิงต๋าได้ก็แล้วกัน!

เหยียนหมิงซุ่นพาเหมยเหมยไปยังที่พักของเขาในเมืองจิน คุณย่าหยางได้คืนบ้านพักอาศัยในเขตอีจงให้กับทางโรงเรียนไปแล้ว ส่วนบ้านของเหยียนโฮ่วเต๋อเขายิ่งไม่มีทางไปพักแน่นอน

ทางโรงพยาบาลของถานซูฟางก็ได้ทราบข่าวการตายของถานซูฟางแล้ว พิธีบำเพ็ญกุศลจะจัดขึ้นในวันมะรืนนี้ เหยียนโฮ่วเต๋อเองก็ได้รับแจ้งแล้ว วันมะรืนก็น่าจะมาถึง อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นสามีของถานซูฟางอยู่

“เหยียนหมิงต๋าเขาคงไม่คิดสั้นหรอกนะ?” เหมยเหมยถามด้วยความกังวล

ตั้งแต่ถานซูฟางตายไปเหยียนหมิงต๋าก็เหมือนกับท่อนไม้ ไม่พูดไม่จาสักคำ สายตาแน่นิ่งทำเอาทุกคนต่างพะว้าพะวงไปตาม ๆกัน

เหยียนหมิงซุ่นลูบเบา ๆอย่างปลอบใจ “ถึงจะคิดสั้นก็ไม่เป็นไร นอนเถอะ”

เหมยเหมยถอนหายใจแผ่วเบา บ่นพึมพำอย่างขุ่นเคือง “จะเกิดเรื่องเร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ ดันมาเกิดตอนนี้ซะได้ น่าโมโหชะมัด”

ทันใดนั้นเหมยเหมยก็ดวงตาเป็นประกาย “พี่คะ หรือจะมีคนบงการอยู่เบื้องหลัง? จงใจทำร้ายถานซูฟางให้ตาย?”

แต่เธอก็ปฏิเสธความคิดตัวเองอย่างรวดเร็ว “จริงสิ ถานซูฟางไม่ลงรอยแค่กับพี่ ไม่มีศัตรูคนอื่น ใครกันที่จะลงแรงลอบทำร้ายเธอถึงขนาดนั้น ต่อให้มีคนคิดที่จะจัดการกับเธอ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็คือพี่แล้วล่ะ!”

ประโยคหลังเธอพูดติดตลก ความจริงก็เป็นเช่นนั้นเพราะบนโลกนี้คนที่อยากให้ถานซูฟางตายที่สุดก็คือเหยียนหมิงซุ่น และคนที่ส่งถานซูฟางไปเป็นแพทย์สนาม(รบ)ก็คือเหยียนหมิงซุ่นอีกด้วย หากเป็นคนอื่นคงคิดว่าคนที่ทำให้ถานซูฟางตายก็คือเหยียนหมิงซุ่น

เหมยเหมยรู้ดีว่าเหยียนหมิงซุ่นไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน ถ้าเขาอยากทำให้ถานซูฟางตาย มีวิธีที่ปลอดภัยกว่านี้อยู่นับไม่ถ้วน ไม่จำเป็นต้องทำให้ถานซูฟางมาตายในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้หรอก

เพราะงั้นการตายของถานซูฟาง ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้วสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือความโชคร้ายของเธอ ขนาดอยู่ในโซนปลอดภัยยังเจอการโจมตีจากพวกศัตรูติดอาวุธได้ คงพูดได้เพียงว่าหมดอายุขัยแล้วจริง ๆ

เหยียนหมิงซุ่นเลิกคิ้ว เมื่อกี้เหมือนจะมีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวแล้วก็ผ่านไป เขามองหน้าเหมยเหมยและพูดว่า “เธอลองพูดประโยคเมื่อกี้อีกทีซิ!”

เหมยเหมยถามด้วยความงงงวย “ประโยคไหน?”

“ก็ที่เธอเพิ่งพูดไป พูดใหม่อีกรอบสิ”

เหมยเหมยคิดไปคิดมาพลางพูดขึ้นว่า “ต่อให้มีคนคิดที่จะจัดการกับเธอจริง ๆ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็คือพี่แล้วล่ะ ใช่ประโยคนี้ไหม?”

เหยียนหมิงซุ่นพึมพำเสียงเบา เมื่อกี้พอได้ฟังประโยคนี้ในหัวเขาก็เกิดความคิดใหม่บางอย่างแล่นผ่านขึ้นมาแต่มันก็แล่นผ่านไปเสียแล้ว ตอนนี้ต้องใจเย็น ๆค่อย ๆคิด

เหมยเหมยไม่ได้รบกวนเขา บรรยากาศเงียบสงัด เหยียนหมิงซุ่นคิดอยู่สักพักถึงได้ลืมตาขึ้นแล้วหันไปส่งยิ้มให้เหมยเหมย “นอนเถอะ!”

“พี่คิดอะไรออกเหรอ?” เหมยเหมยแปลกใจมาก

“ไม่มีอะไร ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ พี่ต้องให้คนไปตรวจสอบดูก่อน รอตรวจสอบได้แล้วจะบอกเธออีกทีนะ”

เหมยเหมยรู้ดีว่าแต่ไหนแต่ไรมาเหยียนหมิงซุ่นจะไม่พูดในสิ่งที่ตนไม่มั่นใจจึงไม่ได้เค้นถามต่อ เธอปิดตาลงและผล็อยหลับไป

สองวันถัดมาพิธีบำเพ็ญกุศลจัดขึ้นตามกำหนด เหมยเหมยและเหยียนหมิงซุ่นไปร่วมพิธีด้วยแต่พวกเขาไม่ได้สวมชุดดำ แค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ

……………………………………………………….

ตอนที่ 1977 เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง

ครอบครัวของถานซูฟางต่างปรากฏตัวอยู่ในพิธีบำเพ็ญกุศล เหยียนโฮ่วเต๋อก็มาด้วย ช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งปีอดีตข้าราชการที่เต็มไปด้วยมันสมองผู้นี้ บัดนี้ได้กลายเป็นคนผิวดำคล้ำและผอมซูบ แลดูมีอายุขึ้นไม่ต่ำกว่าสิบปี เส้นผมขาวหงอกไปเกินครึ่ง หลังค่อมเล็กน้อย ท่าทีน่าสงสารแต่ไม่ควรค่าแก่การได้รับความน่าเห็นใจเลยสักนิด

เหยียนหมิงต๋ายืนอยู่ในระนาบแถวเดียวกันกับเหยียนโฮ่วเต๋อเพื่อคอยต้อนรับแขกที่เข้ามาร่วมแสดงความเสียใจ เหยียนหมิงต๋ามีท่าทีเศร้าโศก ส่วนเหยียนโฮ่วเต๋อกลับมีท่าทีไร้ความรู้สึกที่เป็นเพียงเครื่องจักรก้มคำนับเท่านั้น

“ซูฟางเอ๋ย ลูกตายได้น่าเวทนานัก…ซูฟางของแม่…ลูกต้องให้คนผมหงอกอย่างแม่มาส่งคนผมดำอย่างลูก มันคือการแล่เนื้อบนตัวแม่ชัด ๆเลย…”

ทันใดนั้นเสียงร้องไห้อันน่าเวทนาก็ดังขึ้น ผู้ที่ได้ยินต่างหลั่งน้ำตา ผู้ที่ได้เห็นต่างเศร้าเสียใจ

หญิงชรารูปร่างสันทัดล้มลงกลิ้งเกลือกลงบนพื้น ดูจากการแต่งกายดูดีไม่น้อย แต่จากการแสดงออกที่เห็นก็รับรู้ได้เลยว่าหญิงชราผู้นี้ไม่ใช่คนที่น่าคบหาเท่าไรนัก

หญิงชราผู้นี้ก็คือแม่ของถานซูฟาง หล่อนสามารถอบรมเลี้ยงดูผู้หญิงอย่างถานซูฟางออกมาได้แค่คิดก็รู้แล้วว่าหญิงชราคนนี้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายแต่อย่างใด

พิธีบำเพ็ญกุศลใกล้จะสิ้นสุดลง หญิงชราก็เกิดอาการบ้ากำเริบขึ้นมากะทันหัน สถานการณ์ในตอนนี้จึงวุ่นวายขึ้นมาทันที เหยียนหมิงต๋ารีบย่างสามขุมเข้าไปพยุงตัวหญิงชราหมายจะทำให้เธอลุกขึ้นและหยุดสร้างความวุ่นวาย

แต่หญิงชราจะยอมลุกขึ้นง่าย ๆได้อย่างไรเล่า…

“ซูฟางเอ๋ย ลูกเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของพ่อกับแม่ ความหวังของครอบครัวเราอยู่ที่ลูก แต่ลูกสิลงไปเสวยสุขตัวคนเดียวทิ้งแม่กับพ่อของลูกสองตายายที่แก่เฒ่าไว้ ต่อจากนี้ลูกจะให้พ่อกับแม่มีชีวิตต่อไปอย่างไร…”

หญิงชราร้องห่มร้องไห้ต่อไปไม่หยุด คำพูดแรก ๆไม่กี่ประโยคยังทำให้ผู้อื่นรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง หัวหงอกมาส่งหัวดำ นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมของโลกมนุษย์จริง ๆ

เพียงแต่…

“เงินบำนาญรายเดือนของพ่อก็แค่น้อยนิด แม่ก็เป็นแค่แม่บ้าน พี่ชายพี่สาวของแกต่างก็ไม่เอาไหน ถ้าไม่เป็นเพราะมีซูฟางที่ช่วยดูแล แม่กับพ่อของแกก็คงไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้หรอก…ตอนนี้แกจากไปแล้ว แม่ก็จะตามแกไปด้วย มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”

บรรดาแขกทั้งหลายต่างก็มีท่าทีแปลกใจ มาถึงตอนนี้แล้วแม้แต่คนโง่ยังดูออกถึงจุดประสงค์ของหญิงชราคนนี้

ไม่เกินความคาดหมายก็คงเพื่อเงิน!

ผู้นำของโรงพยาบาลก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย บรรยากาศน่าอึดอัดเหลือเกิน

พ่อแม่และพี่ชายพี่สาวของถานซูฟางกลับทำเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย ก้มหน้าร้องไห้น้ำตาไหลแต่กลับคอยเงียหูฟัง

ใบหน้าของเหยีนหมิงต๋าแดงขึ้นมา พลันรู้สึกว่าคุณยายทำตัวน่าอับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว

“คุณยายรีบลุกขึ้นเถอะ อย่าพูดแบบนี้เลย ต่อไปนี้ผมจะดูแลยายกับตาเอง…”

คุณยายถานสะบัดมือเขาทิ้งอย่างไม่พอใจ “แกเป็นทหารเงินเดือนน้อยนิด เลี้ยงตัวเองยังไม่ได้เลย…ยายไม่อาจทำใจรับเงินของแกได้หรอก หลานชายผู้น่าสงสารของยาย…สินสอดบ้านรถก็ไม่มี เมียก็ยังหาไม่ได้เลย!”

เหยียนหมิงต๋าก้มหน้างุดอย่างอับอายแต่ในใจกลับขมขื่น

เมีย?

เขาจะหาเมียไปเพื่ออะไรอีก ในเมื่อเขาคนนั้นไม่อยู่แล้ว!

“ยายครับ ยายทำแบบนี้ไม่ดีเลยนะ…รีบลุกขึ้นมาเถอะ!” เหยียนหมิงต๋าพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด แต่หญิงชราก็ดึงดันจะทำต่อ แถมยังไม่สนใจเขาเลยสักนิด

เหยียนโฮ่วเต๋อรีบก้าวเข้ามาหา เขาไม่ได้รู้ถึงเหตุการณ์ภายในที่แน่ชัดแต่ตอนนี้ก็พอจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นพวกขี้ขลาดไร้ความสามารถแต่ถึงอย่างไรก็เคยอยู่ในแวดวงข้าราชการ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถานซูฟางสละชีพเพื่องานคงจะต้องได้รับเงินบำนาญจำนวนไม่น้อยแน่ ๆ

เงินก้อนนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาได้เสวยสุขไปได้สักระยะหนึ่ง!

เขามองปราดเดียวก็รับรู้ถึงจุดประสงค์ของยายเฒ่าถานแล้ว หึ!

คิดจะแย่งชิงเงินก้อนนี้กับเขาเหรอ?

ไม่มีทางหรอก!

“แม่ครับ ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ซูฟางเธอสละชีพเพื่อชาติถือเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวเรา ถึงแม้ซูฟางจะไม่อยู่แล้ว แต่ต่อจากนี้ไปผมก็คือลูกชายของพวกคุณ ผมจะต้องดูแลแม่กับพ่อให้ถึงที่สุด”

ท่าทีซื่อสัตย์จริงใจของเหยียนโฮ่วเต๋อได้รับความชื่นชมจากผู้ที่เฝ้าชมเหตุการณ์จำนวนมาก

มีสติสัมปชัญญะสูง มีความชอบธรรมและมีความรับผิดชอบ ผู้ชายดี ๆแบบนี้หาได้จากที่ไหนอีก?

……………………………………………………