“ฮ่าๆ เจ้าหอทั้งสองล้อเล่นกันแล้ว? แค่นักยุทธชั้นบรรยากาศสวรรค์เลิศใหญ่คนหนึ่งนี้มันจะก้าวขึ้นมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติได้อย่างไรกัน?”
รอยยิ้มของเถี่ยซินนั้นมันดูเหยเกราวกับใบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้
เขานั้นต้องมาเผชิญความจริงที่ไม่คาดฝัน
ทุกสิ่งอย่างนั้นมันกำลังจะไปได้ดีแต่ทำไมจู่ๆ เย่หยวนนั้นจึงกลับกลายมาเป็นแขกผู้ทรงเกียรติได้?
“ล้อเล่น? หน้าตาข้านี้เหมือนคนกำลังล้อเล่นกับเจ้า? สหายเต๋าเย่นั้นมีวิชาการโอสถที่สูงล้ำเหนือฟ้าดิน หากมิใช่เพราะว่าข้านั้นมีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าเขาไปแล้วเจ้าหอผู้นี้คงไม่อาจจะเรียกตัวเองว่าเป็นสหายเต๋ากับเขาได้เสียด้วยซ้ำ!” จ้าวซุนร้องลั่นขึ้นมา
เขาไม่พอใจอย่างมาก
เขานั้นไม่รู้ได้ว่าระหว่างเถี่ยซินและเย่หยวนนั้นมันมีความแค้นใดๆ กันมาก่อนแต่เจ้าสมองเน่าคนนี้มันเป็นตัวปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย
เขานั้นกำลังคิดหาทางจะเอาใจเย่หยวนคิดให้เย่หยวนทิ้งความรู้วิธีการหลอมโอสถสวรรค์ระดับแท้ไว้
แต่สุดท้ายเจ้าโง่นี่มันกลับก้าวออกมาและคิดสังหารคนผู้มีความสำคัญล้ำนี้ลงอย่างไม่สนหน้าใคร
“หึ! มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ! กลับไปขอรับโทษจากเมิ่งฮั่นเฟิงเสียเถอะ!” อู้จี้อันนั้นกล่าวขึ้นมา
เถี่ยซินนั้นได้แต่ต้องทำหน้าเหยเกตอบกลับไป
เขานั้นจะอย่างไรก็เป็นถึงรองเจ้าเมืองและย่อมจะเป็นตัวตนระดับสูงของแดนสวรรค์ใต้นี้
วันนี้เขากลับถูกคนด่าต่อหน้าสาธารณชนอย่างไม่อาจจะเถียงกลับไปได้
มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ? นี่มันเป็นสิ่งที่ควรใช้ด่ารองเจ้าเมืองหรือ?
แต่เขานั้นก็ไม่อาจจะเถียงกลับไปได้!
คนทั้งสองตรงหน้าของเขานี้มันคือตัวตนที่แม้แต่ท่านเจ้าเมืองเมิ่งฮั่นเฟิงยังเกรงใจ แน่นอนว่าคนอย่างเขาย่อมจะไม่อาจไปลบหลู่ได้
สีหน้าของเขานั้นซีดขาวลงก่อนจะกัดฟันก้มหัว “ท่านเจ้าหอทั้งสอง ข้าขอตัว!”
ตอนที่เขาเดินจากไปนั้นเขาก็ยังหันมามองเย่หยวนด้วยสายตาอาฆาต
หลังจากที่เถี่ยซินจากไปแล้วจ้าวซุนจึงได้ถอนหายใจยาวออกมาก่อนจะหันมากล่าวต่อเย่หยวน “สหายเต๋าเย่ ข้าทำให้เจ้าได้เห็นภาพไม่น่าดูแล้ว”
เย่หยวนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น “ดูท่ารองเจ้าเมืองเถี่ยซินคนนี้มันจะอยากให้ข้าตายจริงๆ!”
จ้าวซุนนั้นรีบตอบกลับไป “สหายเต๋าเย่ วางใจเถอะ หลังจากจ้าวผู้นี้กลับไปแล้วข้าย่อมจะให้เมิ่งฮั่นเฟิงมันจัดการลงโทษเถี่ยซินนี้อย่างหนักหน่วง”
เย่หยวนนั้นยิ้มตอบกลับไป
เพราะเขานั้นเองก็มีแผนจะจัดการเถี่ยซินลงเช่นกัน
เจ้าหมอนี่มันไร้เหตุผลจนเกินไป
เวลานี้เมื่อต้องเสียหน้าใหญ่หลวงเช่นนี้ไป มีหรือที่จะปล่อยให้เรื่องจบลงง่ายๆ?
ระหว่างทางกลับไปนั้นจ้าวซุนก็ได้ส่งสัญญาณขยิบตาบอกอู้จี้อัน
อู้จี้อันที่ได้เห็นจึงหาข้ออ้างถอนตัวกลับไปถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากปากของชุยถงว่าเย่หยวนกับเถี่ยซินมีเรื่องอะไรกันแน่
หลังจากได้ยินแล้วอู้จี้อันก็ยิ่งไม่พอใจหนักเข้าใจไปกว่าเก่า
“หึ! ไอ้โง่เถี่ยซินนี้มันเกือบทำเรื่องใหญ่ของแดนสวรรค์ใต้ฉิบหายแล้ว! เรื่องวันนี้จะปล่อยมันไว้ไม่ได้!” อู้จี้อันกล่าวขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว
…
เมื่อทัพนั้นกลับมาถึงเมืองสงบทักษิณเหล่าคนทั้งหลายก็ได้เชิญเย่หวนไปยังจวนเจ้าเมืองทันที
เวลานี้เหล่ายอดคนทั้งหลายต่างมารวมตัวกันในห้องโถงใหญ่สิ้น
“สหายเต๋าเย่ เจ้าและข้านั้นต่างก็เป็นคนในเต๋าโอสถเช่นกัน เราย่อมจะต้องผูกสัมพันธ์กันด้วยวิชาโอสถแล้ว หลังจากที่เจ้าหอผู้นี้ได้ยินนามของระดับแท้ข้าก็แทบไม่เป็นอันกินอันนอน สงสัยเหลือเกินว่าสหายเต๋าเย่นั้นจะช่วยให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหรือไม่?” จ้าวซุนนั้นยิ้มกล่าวขึ้น
สำหรับนักหลอมโอสถแล้วหากได้ยินว่ามันมีอะไรเหนือล้ำกว่าระดับเก้าไปพวกเขาก็ย่อมจะแทบคลั่งเป็นธรรมดา
เพราะว่าเรื่องนี้เองที่ทำให้พวกเขานั้นรีบมายังเมืองสงบทักษิณอย่างเร่งรีบ
มันก็เพราะว่าพวกเขานั้นอยากจะได้เห็นถึงระดับแท้
แต่เย่หยวนนั้นกลับยิ้มตอบกลับไป “เจ้าหอใหญ่ มันมิใช่ว่าเย่ผู้นี้หวงวิชาไม่คิดเปิดเผยต่อสายตาคนหรอกนะ แต่ท่านเจ้าหอใหญ่และเจ้าหอรองจะช่วยให้เย่ผู้นี้ได้เห็นฝีมือของพวกท่านก่อนหรือไม่?”
เมื่อคนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นพวกเขาต่างก็ผงะไปทันที
พวกเขาทั้งหลายนั้นคิดจะมาดูฝีมือเย่หยวนแต่เย่หยวนกลับคิดจะดูฝีมือของเจ้าหอทั้งสองก่อน?
จ้าวซุนนั้นขมวดคิ้วแน่นขึ้น “สหายเต๋าเย่ มันหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “หากเจ้าหอใหญ่มีพลังฝีมือมากพอเย่ผู้นี้ย่อมจะแสดงการหลอมโอสถสวรรค์ระดับแท้ให้ท่านดู แต่หากฝีมือของท่านเจ้าหอใหญ่ไม่ถึงขั้นแล้วต่อให้ข้าจะแสดงมันให้ท่านดูไปพันครั้งมันก็คงไม่ได้ประโยชน์อะไร”
คำพูดนี้มันถูกกล่าวด้วยท่าทางสุภาพแต่กลับทำให้สีหน้าของคนทั้งหลายเปลี่ยนสีไป
ความหมายของเย่หยวนนั้นคือ เจ้าหอใหญ่คนนี้มีปัญญาพอที่จะได้เห็นระดับแท้หรือไม่!
นี่มันคือคำพูดสุดแสนโอหังเย่อหยิ่ง!
ในแดนสวรรค์ใต้นี้แม้แต่เจ้าเมืองหลวงเมิ่งฮั่นเฟิงเองก็คงไม่กล้าจะพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าจ้าวซุน!
แต่เย่หยวนนั้นก็มิใช่จะคิดอวดอ้างเย้ยหยันผู้คน เพราะหากเขานั้นคิดจะก่อตั้งกองกำลังขึ้นมาในแดนสวรรค์ใต้นี้แล้วเขาย่อมจะต้องขึ้นมายืนในอันดับหนึ่งเหนือหัวผู้คนในหอโอสถสวรรค์ใต้ให้ได้เสียก่อน
เย่หยวนคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร!
ด้วยอะไร?
ด้วยระดับแท้!
โอสถสวรรค์ระดับแท้นั้นคือไม้ตายของเย่หยวน มีหรือที่จะใช้มันออกมาในการเจรจาได้ง่ายๆ?
ก่อนหน้าที่เขาแสดงมันออกมาเพื่อเอาชนะเจียงหลี่นั้นก็เพื่อจะสร้างโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ให้ตัวเองเท่านั้น
แต่แค่ให้คนทั้งหลายได้รู้ถึงมันก็มากพอแล้ว!
ระดับแท้นั้นจะเอาออกมาแสดงต่อสายตาผู้คนง่ายๆ ไม่ได้!
เพราะมันคือการอวดอ้าง แต่หากอวดอ้างมากจนเกินพอดีมันก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป
เย่หยวนรู้ดีว่าจ้าวซุนนั้นมิใช่คนธรรมดาทั่วไปแต่เขานั้นมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นจ้าวซุนหรืออู้จี้อัน พวกเขานั้นก็ยังอยู่ห่างไกลจากระดับแท้ไปมากมาย
ต่อให้จะหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ได้จนถึงระดับเก้ามันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขานั้นจะหลอมระดับแท้ขึ้นมาได้
เพราะหากระดับแท้มันหลอมได้ง่ายปานนั้นมันก็คงไม่สูญหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
“หึๆ จี้อัน ในเมื่อสหายเต๋าเย่อยากจะเห็นฝีมือของเราแล้วเราก็มาแสดงให้เขาได้เห็นหน่อยดีหรือไม่?” จ้าวซุนนั้นร้องกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เขานั้นอาจจะเกรงใจเย่หยวนอยู่มากแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขานั้นไร้ศักดิ์ศรี
ที่สำคัญไปกว่านั้นมันยังเป็นศักดิ์ศรีของยอดฝีมืออันดับหนึ่งในการโอสถแห่งแดนสวรรค์ใต้!
เขานั้นคือยอดฝีมืออันดับหนึ่ง มิใช่แค่ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่ง!
“อืม ย่อมได้!” อู้จี้อันนั้นเองก็แทบจะเก็บอาการเคืองไว้ไม่ไหว
พวกเขานั้นทนรับมันไว้ก็เพื่อโอสถสวรรค์ระดับแท้ในตำนานนั้น!
พวกเขานั้นคิดจะแสดงฝีมือที่แท้จริงเพื่อหุบปากเย่หยวนลง!
ยอดฝีมือการโอสถอันดับหนึ่งและสองแห่งแดนสวรรค์ใต้นั้นมันมิใช่แค่นามที่มีไว้เรียกเล่นๆ!
“ในเมื่อสหายเต๋าเย่อยากเห็นมันแล้ว พวกเราก็ย่อมพร้อมจะแสดงไม้เด็ดของเราออกมา!” จ้าวซุนนั้นกล่าวขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ท่านเจ้าหอทั้งสองหลอมโอสถสวรรค์ระดับสองเอาเถอะ แค่นั้นมันก็พอจะบอกได้แล้ว” เย่หยวนกล่าว
เมื่อพวกจ้าวซุนทั้งสองได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็ยิ่งไม่พอใจ
โอสถสวรรค์ระดับสอง!
นี่มันล้อเล่นกันหรือ?
การให้นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่มาหลอมโอสถสวรรค์ระดับสองนั้นจะถือเป็นการวัดฝีมือใดๆ ได้?
ต่อให้จะหลอมจนถึงระดับเก้าขั้นสุดมันก็คงไม่มีอะไรให้ดูแล้ว?
“หึๆ เช่นนั้นแล้วสหายเต๋าเย่ต้องการจะให้พวกเราหลอมโอสถสวรรค์ระดับสองชนิดใดดีเล่า?” จ้าวซุนกล่าวขึ้นมา
ในโถงใหญ่นั้นมันเหมือนราวกับว่าจู่ๆ อากาศก็จับตัวเป็นน้ำแข็งทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นเยือกลงทันที
“อะไรก็ได้ โอสถสวรรค์ปรับฐานก็ได้ ตราบเท่าที่พวกท่านมั่นใจแล้วมันก็ย่อมจะใช้ได้ทั้งสิ้น” เย่หยวนกล่าวขึ้นมาอย่างไม่คิดสนใจอากาศที่แสนเย็นเยือกรอบๆ กายนั้น
“พวกเจ้าไปเตรียมของมา! เตรียมการหลอมโอสถ!” จ้าวซุนสั่งลั่น
จากนั้นไม่นานเหล่าคนรับใช้ก็เตรียมการหลอมโอสถได้เสร็จสิ้น
จ้าวซุนและอู้จี้อันนั้นต่างหลอมโอสถพื้นฐานของระดับสอง
คนทั้งสองนั้นเริ่มการหลอมขึ้นมาด้วยความคับแค้นสุดใจ
นักหลอมโอสถสวรรค์ระดับสี่ขั้นสุดนั้นกลับต้องมาหลอมโอสถพื้นฐานระดับสอง มันย่อมจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากยอมรับ
การหลอมครั้งนี้มันย่อมจะตกเป็นเป้าสายตาของทุกผู้คน
เมื่อคนทั้งสองลงมือขึ้นพร้อมๆ กันแล้วมันก็ย่อมจะมิใช่ระดับที่เอานักหลอมโอสถสวรรค์ของงานชุมนุมโอสถสวรรค์เก้าเมืองมาเทียบเคียงได้
แม้แต่เจียงหลี่ผู้เก่งกาจนั้นเองก็ยังเป็นเหมือนดั่งแค่เด็กน้อยต่อหน้าคนทั้งสอง
เมื่อโอสถนั้นมันออกมาจากหม้อหลอมแล้วมันก็ย่อมจะเป็นโอสถทองระดับเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย
จ้าวซุนนั้นหันมามองเย่หยวนด้วยรอยยิ้ม “สงสัยเหลือเกินว่าการหลอมของพวกเรานั้นมันจะเข้าตาสหายเต๋าเย่บ้างหรือไม่?”
เย่หยวนไม่ตอบกลับไปและยิ้มลุกขึ้นเดินมายังหม้อหลอมโอสถ
จากนั้นเขาก็เริ่มการหลอมโอสถลงต่อหน้าคนทั้งหลาย
มันยังคงเป็นโอสถสวรรค์ปรับฐานระดับสองนั้นเหมือนที่จ้าวซุนหลอม
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมาการหลอมมันก็เสร็จสมบูรณ์
แน่นอนว่ามันย่อมจะออกมาเป็นโอสถทองระดับเก้าอย่างไม่ต้องสงสัย!
“หึๆ เสียเวลาไปเป็นวันสุดท้ายสหายเต๋าเย่กลับจะให้พวกเรามาดูสิ่งนี้?” จ้าวซุนกล่าวขึ้นมาเย้ย
“ใช่ ดูให้ดี!”
เย่หยวนหยิบเอาโอสถสวรรค์ปรับฐานของตนและโอสถสวรรค์ปรับฐานของจ้าวซุนขึ้นไปวางบนศิลามารดาก่อเมฆา
แน่นอนว่าโอสถของฝั่งเย่หยวนนั้นมันย่อมจะทำให้มาตรวัดพุ่งทะยานไปสุดจนถึงขั้นสุดสมบูรณ์!
……………………….