ตอนที่ 1588 : ร่างบรรพกาลขั้น 8 (1)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1588 : ร่างบรรพกาลขั้น 8 (1)

“ขั้นย้อนกลับช่วงปลาย การเพิ่มความแข็งแกร่งจากขั้น 6 เป็น 7 นี้มากจริง ๆ ข้าขึ้นจากชั้นสวรรค์ที่ 9 ของเซียนจักรพรรดิ ผ่านขั้นรับมอบช่วงปลายไปยังขั้นย้อนกลับช่วงต้น” เจี้ยนเฉินตัดสินความแข็งแกร่งของตัวเองด้วยการรับรู้พลังและเทียบมันกับจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมที่เขาเคยสู้มาในอดีต ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

ความต่างด้านความแข็งแกร่งระหว่างขั้น 6 และ 7 นั้นเกินกว่าที่เขาคาดไว้

ในเวลาเดียวกันยากที่ใครจะเป็นคู่มือของเขาได้ในบรรดาขั้นย้อนกลับเพราะร่างบรรพกาลของเขา แม้ว่าเขาจะเพิ่งขึ้นเป็นขั้นย้อนกลับช่วงต้นก็ตาม ร่างบรรพกาลรวมกับกระบี่คู่และความเข้าใจเส้นทางแห่งกระบี่นั้นหมายถึงพลังในการสู้ของเขาที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้วเขาก็ยังมีความเข้าใจหลายอย่าง แต่ทักษะกระบี่ที่ทรงพลังจากจิตวิญญาณกระบี่นั้นทำให้เขาเข้าใจทักษะกระบี่ใหม่ที่สามารถแสดงพลังได้มากกว่าเดิม

” ด้วยความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ ข้าสามารถฆ่าขั้นแลกเปลี่ยนได้หากข้าทุ่มเต็มกำลัง แม้แต่ตอนที่ไปพบกับขั้นแลกเปลี่ยนช่วงปลาย ข้าก็สามารถรับมือกับพวกนั้นได้ แม้ว่าข้าจะไม่มั่นใจว่าจะชนะเพราะข้ามีข้อได้เปรียบกับการมีกระบี่คู่และเส้นทางแห่งกระบี่”

“มันเพราะข้อได้เปรียบนี้ไม่ได้น่าประทับใจเมื่อรับมือกับจิตวิญญาณราชันย์ เขายังมีกระบี่และความเข้าใจเส้นทางแห่งกระบี่ นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่ความเข้าใจของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า ซึ่งหมายความว่าเขาก็มีพลังในการรับมือกับคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง ข้าสงสัยว่าการพัฒนาของจิตวิญญาณราชันย์ในระหว่างหลายปีมานี้จะเป็นยังไง….”

“หากข้าใช้พลังทั้งหมด ข้าคงสู้ได้แค่ขั้นแลกเปลี่ยนทั่วไป จิตวิญญาณราชันย์ไม่ใช่ขั้นแลกเปลี่ยนทั่วไป แต่เขาน่ะมีพลังของคนที่อยู่ขอบเขตเทพมาหลายปีแล้ว ข้ายังไม่อาจจะเอาชนะได้แม้ว่าจะมีร่างบรรพกาลขั้น 7 ข้าอาจจะขึ้นไปถึงขั้น 8 ได้เพื่อที่จะรับมือกับเขาได้” เจี้ยนเฉินคิด โอวหยางหยิงเว่ยนั้นไม่ใช่ภัยในสายตาเขาแล้ว เขาไม่ได้กลัวกลุ่มจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมจากต่างโลก ปัญหาเดียวของเขาคือจิตวิญญาณราชันย์

จิตวิญญาณราชันย์นั้นแข็งแกร่งเกินไป เขาสามารถรับมือกับจอมยุทธขอบเขตเทพได้ในตอนที่เป็นขั้นแลกเปลี่ยนซึ่งทำให้เขาเป็นอัจฉริยะ พรสวรรค์ของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าของเจี้ยนเฉิน และเพราะแบบนั้นจิตวิญญาณราชันย์ก็คือคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของเจี้ยนเฉิน

หากเขาเอาชนะจิตวิญญาณราชันย์ได้ งั้นภัยจากต่างโลกก็จะถูกแก้ไขแต่ถ้าเขาทำไม่ได้ ทวีปเทียนหยวนก็คงต้องพบกับภัยพิบัติ

“ข้าต้องทำการบ่มเพาะต่อ ข้าต้องขึ้นไปขั้น 8 ของร่างบรรพกาล” เจี้ยนเฉินกัดฟันแน่น สายตาเขาแสดงความเด็ดเดี่ยวออกมา เขาก้าวออกไปและหายไปจากจุดเดิมทันที

ไม่นานเจี้ยนเฉินก็ได้มาอยู่ตรงหน้าศิลาเซียนหยินหยางอีกครั้ง เขามองไปที่หินที่เปล่งแสงสีดำและขาวออกมาก่อนจะคิ้วขมวด

พลังงานในหินนั้นถูกเขา, ซ่างกวนมู่เอ๋อ และพลังมารดูดซับ ดังนั้นขนาดมันจึงลดลง มันมีพลังงานเหลืออยู่ด้านในไม่มากนัก

“พลังงานที่เหลืออยู่ในศิลาเซียนหยินหยางนั้นไม่พอที่ข้าจะขึ้นถึงขั้น 8 ได้” เจี้ยนเฉินคิด ตอนแรกเขาขึ้นไปถึงขั้น 8 หรือแม้แต่ 9 ได้หากเขาดูดซับหินนี้ทั้งหมดตามที่จิตวิญญาณกระบี่คาดเดา แต่พลังมารนั้นแข่งกับเขามาหลายปี ดังนั้นมันจึงไม่มีพลังพอที่จะทำให้เขาขึ้นถึงขั้น 8 ได้

ตอนนั้นเองก็มีความกดดันมหาศาลก่อตัวขึ้นจากไกล ๆ มันทำให้มิติรอบตัวเขาสั่นไหวอย่างแรงและแทบจะถล่มลง อำนาจของหินในโลกนี้ลงดลงอย่างรวดเร็วเพราะพลังงานถูกดึงออกไป ดังนั้นโลกที่หินสร้างขึ้นมาจึงเริ่มเปราะบาง

เจี้ยนเฉินหันกลับไปหาทางที่เกิดความกดดันและอดไม่ได้ที่จะยิ้มนิด ๆ สายตาของเขาดูอ่อนโยนลงในตอนนั้นเช่นเดียวกัน

ซ่างกวนมู่เอ๋อได้ทะลวงผ่านขึ้นเป็นขั้นแลกเปลี่ยนแล้ว

ไม่ต้องเดา ซ่างกวนมู่เอ๋อนั้นเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่เผ่าพันธุ์หากไม่นับรวมเจี้ยนเฉิน

นางเป็นจอมยุทธที่ยิ่งใหญ่ในบรรดา 4 เผ่าพันธุ์ในด้านการบ่มเพาะและการต่อสู้ เพราะนางเป็นเพียงคนเดียวที่ขึ้นเป็นขั้นแลกเปลี่ยนได้

เจี้ยนเฉินและซ่างกวนมู่เอ๋อทำการดูดซับพลังจากหินต่อเพื่อบ่มเพาะอีก 9 ปี พลังในหินนั้นในที่สุดก็เริ่มแห้งเหือดและจากนั้นเจี้ยนเฉินกับซ่างกวนมู่เอ๋อถึงได้หยุด

18 ปีผ่านไปตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินและซ่างกวนมู่เอ๋อได้มายังโลกนี้ ผ่านมา 18 ปีร่างบรรพกาลของเจี้ยนเฉินได้ขึ้นมาถึงขั้น 7 และเกือบถึงจุดสูงสุด หลังจากที่เป็นขั้นแลกเปลี่ยนแล้ว การบ่มเพาะของซ่างกวนมู่เอ๋อก็ช้าลงเช่นกัน นางทำได้แค่ไปถึงจุดสูงสุดของช่วงกลางระหว่าง 9 ปีนี้และห่างจากช่วงปลายขั้นแลกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย

” เราไม่อาจดูดซับหินได้อีกต่อไป ถ้าหินหายไป พลังมารด้านในก็จะโดนปลดปล่อยเช่นกัน ทิ้งหินไว้นี้เพื่อให้มันผนึกพลังมารเอาไว้ด้านใน” เจี้ยนเฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้าหินพูดขึ้นและมองไปยังจุดสีแดงในหิน กว่า 18 ปีมานี้พลังมารนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาโดยไม่หยุดพัก แม้ว่าพลังของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะจัดการกับพลังมารได้

มันเพราะพวกเขากลัวตอนที่เห็นพลังมารแม้แต่ตอนที่แข็งแกร่งดังเช่นตอนนี้ พวกเขากลัวมันอย่างมาก

ซ่างกวนมู่เอ๋อเองก็มองไปที่พลังมารก่อนจะพูดขึ้นว่า “เมื่อมันดูดซับพลังงานที่เหลือทั้งหมด มันก็จะได้รับอิสระ หินที่เหลือนี้ไม่อาจจะขังมันได้นานนัก”

” ข้ารู้ว่ามันจะออกมาได้ในไม่ช้าแต่ข้าคิดว่ามันคงมีเวลามากพอ ข้าต้องยกระดับร่างบรรพกาลขึ้นเป็นขั้น 8 ให้เร็วที่สุดและกลับไปยังทวีปเทียนหยวนเพื่อจัดการกับภัยต่างโลก ไม่งั้นแล้วเราจะไม่มีโอกาสชนะแม้ว่าความแข็งแกร่งของเราจะเพิ่มขึ้นมา และข้ารู้สึกว่าพลังมารนี้จะนำภัยพิบัติที่หนักหนากว่าต่างโลกหลายเท่ามา” เจี้ยนเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ ใบหน้าของเขาหม่นลงพร้อมกับสายตาที่สั่นไหว

ซ่างกวนมู่เอ๋อมองไปที่เจี้ยนเฉิน “ร่างบรรพกาลของเจ้าต้องการพลังงานมหาศาล เมื่อเราดูดซับพลังจากหินไม่ได้และลูกท้อเมฆม่วงกินได้แค่ทุก ๆ ร้อยปี เจ้าวางแผนยังไงเพื่อขึ้นไปถึงขั้น 8 ? ”

“ข้ายังมีสมบัติสวรรค์ขั้นอมตะอยู่หลายชิ้นที่ข้าได้มาจากโลกจิ๋วหยานหวง สมบัติสวรรค์เหล่านั้นจะส่งผลดีตอนที่ถูกกลั่นเป็นเม็ดยา และหากข้ากินมันโดยตรง ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงอย่างมากและข้าอาจจะระเบิดจากพลังงานม่วง แต่พวกมันเป็นความหวังเดียวที่จะทำให้ข้าขึ้นไปถึงขั้น 8 ภายใต้สถานการณ์ตอนนี้” เจี้ยนเฉิน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาสะบัดมือก่อนที่จะมีสมบัติจากโลกจิ๋วหยานหวงปรากฏขึ้นมาในมือ

“เจี้ยนเฉิน เจ้าจะทนพลังงานม่วงได้ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้าตอนนี้ได้หรือ ? ” ซ่างกวนมู่เอ๋อกังวลอย่างมาก

“แน่นอนว่าข้าไม่ได้มั่นใจหากร่างบรรพกาลข้ายังอยู่ที่ขั้น 5 หรือ 6 แต่เมื่อข้าขึ้นถึงขั้น 7 แล้ว ข้าเชื่อว่าข้าจะทนพลังงานม่วงจากสมบัติสวรรค์ได้ด้วยความแข็งแกร่งตอนนี้ ยิ่งกว่านั้นสมบัติสวรรค์เหล่านี้ก็ไม่ใช่พวกระดับสูง” เจี้ยนเฉินพูดด้วยความมั่นใจ เขาไม่เชื่อว่าร่างบรรพกาลของเขาที่ขั้น 7 จะไม่อาจทนพลังงานม่วงจากสมบัติสวรรค์ที่ไม่ใช่ของระดับสูง