หลี่ซีเซิ่งที่เก็บซ่อนตัวปิดประตูศึกษาหาความรู้อยู่ในแคว้นเล็กอันห่างไกลของอุตรกุรุทวีปมาโดยตลอด วันนี้ได้บอกลากับบัณฑิตที่เดิมทีควรชื่อว่าหลี่เป่าโจว บอกว่าจะออกเดินทางไกลสักครั้ง
หลังกลับมาถึงเรือนตัวเอง หลี่ซีเซิ่งก็บอกเด็กรับใช้ชุยซื่อที่มีชาติกำเนิดเป็นคนกระเบื้องว่าอย่าลืมปัดกวาดเช็ดถูเรือนทุกวัน มานะศึกษาเล่าเรียน
เป็นครั้งแรกที่บัณฑิตลัทธิขงจื๊ออย่างหลี่ซีเซิ่งแขวนยันต์ไม้ท้อแห่งชะตาชีวิตไว้ที่เอว
เมื่อเขาก้าวออกมาก้าวหนึ่ง แล้วฝ่าเท้านั้นเหยียบลงบนพื้นดิน ก็เดินทางทางอุตรกุรุทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว
อริยะหลายท่านที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าของสองทวีปไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางภาพเหตุการณ์ผิดปกตินี้ กลับกันยังผงกศีรษะทักทายหลี่ซีเซิ่งที่เดินทางไกลข้ามทวีปในชั่วพริบตาอีกด้วย
เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงท่านหนึ่ง ต่อให้เป็นเพียงหนึ่งในสามร่างแยก ไยจะไม่คู่ควรกับมารยาทพิธีการเช่นนี้เล่า?
หลี่ซีเซิ่งยื่นมือไปตบยันต์ไม้ท้อเบาๆ ครั้งนี้เดินทางไกลอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไปอย่างเงียบเชียบ แม้แต่อริยะบนม่านฟ้าก็ยังสัมผัสไม่ถึง
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้ไปที่ศาลบุ๋นของแผ่นดินกลางหรือภูเขาตระกูลเซียนใหญ่อะไร แต่ไปตามหาบุรุษวัยกลางคนไม่สะดุดตาคนหนึ่งจากหมู่บ้านด้านล่างภูเขา
ข้างกายของชายฉกรรจ์มีคนหนุ่มลักษณะประหลาดติดตามมาด้วย ในสายตาของหลี่ซีเซิ่ง ภายใต้การอนุมาน คนที่เขามาพบก็คือคนในอนาคต
ดูเหมือนว่าจะเกิดจากการนำกระดาษสองแผ่นมาประกอบกัน จิตหยินจิตหยางทับซ้อนแต่กลับมิอาจผสานรวมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยังคงเป็นจิตหยางกายนอกกายและจิตหยินที่ออกเดินทางไกลแต่ยังไม่กลับคืนมา
จิตหยางมีร่างเป็นบุรุษ ส่วนจิตหยินกลับเป็นเนื้อหนังมังสาของสตรี
ดูเหมือนว่ากำลังรอคอยร่างที่แท้จริงอยู่ ‘คนทั้งสอง’ ถึงจะสามารถกลับคืนสู่ตำแหน่ง กลายเป็นคนคนเดียวอย่างสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง
หลี่ซีเซิ่งไม่ยินดีจะมองฝ่าความลับสวรรค์อีกต่อไป บางทีหากเพ่งตามองไปนิ่งๆ อีกครั้ง มีบุรุษคนนั้นอยู่ข้างกาย ด้วยมรรคกถาของหลี่ซีเซิ่งในทุกวันนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถมองเห็นจุดที่ร่างจริงของคนหนุ่มอยู่
แต่ ‘จิตหยินที่เป็นสตรี’ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่ได้อยู่ที่นี่ หลี่ซีเซิ่งกลับรู้รากฐานของนางคร่าวๆ ว่ามาจากพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง ทุกวันนี้มีชื่อว่า ‘หลิวไฉ่’ ตัวอยู่ที่แจกันสมบัติทวีป
หลี่ซีเซิ่งประสานมือคารวะ “คารวะโจวจื่อ”
เติมอักษร ‘จื่อ’ ไว้ด้านหลังแซ่ คือการให้เกียรติอย่างใหญ่หลวง
สำนักหยินหยางของใต้หล้าไพศาลมีคำกล่าวว่า ‘ถานเทียนโจว’ (พูดถึงฟ้า) และ ‘ซัวตี้โจว’ (พูดถึงดิน) มาโดยตลอด
โจวกับลู่สองแซ่นี้ ฝ่ายแรกควันธูปกระจัดกระจายบางเบา ไม่เป็นโล้เป็นพาย ความรู้ยังไม่สามารถวิวัฒนาการไปได้ ส่วนฝ่ายหลังกลับเป็นผู้นำของสำนักหยินหยางในใต้หล้าได้อย่างสมศักดิ์ศรี
ส่วนบุรุษที่มองดูคล้ายสีหน้าทึ่มทื่อเบื้องหน้าหลี่ซีเซิ่งผู้นี้ เขาคนเดียวก็ยึดครองความรู้ครึ่งหนึ่งของแผ่นดิน เล่าลือกันว่า ‘พูดคุยเรื่องฟ้าได้ทุกเรื่อง’
ส่วนสกุลลู่สำนักหยินหยางของแผ่นดินกลางที่ ‘พูดถึงแผ่นดิน’ นั้น ยังเป็นทายาทของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง อดีตศิษย์น้องเล็กที่หลี่ซีเซิ่งรับมาแทนอาจารย์อีกด้วย
ทว่าบรรพบุรุษของ ‘ตระกูลพูดถึงแผ่นดิน’ กลับมีนามว่าลู่เฉิน (ลู่เฉินหมายถึงแผ่นดินที่จมลง) นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่คล้ายกับเป็นบัญชาสวรรค์อย่างหนึ่ง สอดคล้องกับบุคลิกบนมหามรรคาของลู่เฉินที่บอกว่า ‘ข้าอยู่บนโลกมนุษย์เดินทางอย่างอิสระเสรี’ อย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ลู่เฉินไม่ถือว่าเป็นศิษย์น้องเล็กของ ‘หลี่ซีเซิ่งสามคน’ ได้แล้ว เพราะลู่เฉินเองก็เอาอย่างเขาด้วยการรับลูกศิษย์คนสุดท้ายมาแทนอาจารย์เช่นกัน ฝ่ายหลังมีนามว่าซานชิง (ขุนเขาเขียว)
ซานชิง (ขุนเขาเขียว) พ้องเสียงกับซานชิง (ตรีวิสุทธิ์หรือสามมหาเทพตามความเชื่อของลัทธิเต๋า) แน่นอนว่านี่ก็คือการระลึกถึงอย่างหนึ่งที่หาได้ยากสำหรับคนที่ไร้ความรู้สึกเฉกเช่นลู่เฉิน
ในฐานะที่เป็นคนของลัทธิเต๋าสายอื่นครึ่งตัว ชายฉกรรจ์คนนั้นจึงคำนับหลี่ซีเซิ่งที่อยู่ตรงหน้าตามพิธีการของลัทธิเต๋าอย่างเกรงอกเกรงใจ “คารวะเจ้าลัทธิใหญ่”
หลี่ซีเซิ่งยืดตัวขึ้นแล้วก็เบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อย ไม่รับการคารวะนี้ เขายิ้มพลางส่ายหน้า “ตอนนี้ยังคงไม่นับ แล้วนับประสาอะไรกับที่วันหน้าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถนับได้”
ชายฉกรรจ์พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในเมื่อท่านเจ้าลัทธิใหญ่มาหาถึงที่นี่ได้ ก็น่าจะทำนายได้ว่าในอดีตคนที่วางแผนเล่นงานเจ้าลัทธิใหญ่กับลูกหลานสกุลหลี่ถนนฝูลวี่ก็คือข้า ไม่ทราบว่าที่ท่านมาครั้งนี้ เพื่อถามเอาผิด หรือเพื่อ…ถามมรรคา?”
หลี่ซีเซิ่งเพียงแค่คลี่ยิ้มแทนคำตอบ หันหน้าไปมองคนหนุ่มที่ตรงเอวห้อยน้ำเต้าลูกเล็กหนึ่งพวง น้ำเต้าสองลูกในนั้นมีความเกี่ยวข้องกับลัทธิเต๋า
ส่วนข้อที่ว่าจะทวงคืนกลับไปหรือไม่ ไม่มีความจำเป็นแล้ว
ในอดีตเกี่ยวกับเรื่องที่ธนูคันหนึ่งชักนำนักปราชญ์สามลัทธิในโลกหลัง ได้มีคำกล่าวที่แตกต่างกันออกไป
สรุปว่าผลได้ผลเสียอยู่ที่ใคร อยู่ที่ไหน อันที่จริงก็มีเหตุผลเพียงแค่ข้อเดียว
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เก้าลูกที่ทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล สำหรับเขาหลี่ซีเซิ่งสองคนที่เป็น ‘คนในอดีตและคนในปัจจุบัน’ แล้ว ล้วนยังคงไม่แตกต่าง
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยกับบุรุษว่า “เพียงแค่ต้องการยืนยันเรื่องบางอย่างให้แน่ใจเสียก่อน จากนั้นค่อยถกมรรคาถามปัญหากับอาจารย์”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ปรารถนามาเนิ่นนาน รอมาหลายปีเหลือเกินแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งหุบยิ้ม เอ่ยว่า “ทางฝ่ายของเป่าผิง สามารถหยุดมือได้แล้ว”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า “หยุดมือนานแล้ว”
เรื่องเล็กๆ หลายเรื่องในอดีต เรื่องใหญ่ในวันหน้า เมื่อลงมือทำด้วยมือของเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นดั่งกบกระโดดแตะผิวน้ำเท่านั้น
ศิษย์น้องหญิงที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวคนนั้น ห่างไกลกับเขาไม่ใช่แค่พันหมื่นลี้
หลี่ซีเซิ่งบอกลาแล้วขอตัวจากไป
คนหนุ่มที่ไม่พูดไม่จายืนนิ่งอยู่ข้างกายบุรุษมาโดยตลอดถูกชายฉกรรจ์พาไปยังพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งแล้วก็ออกมา คนหนุ่มเคยอยู่ในใบถงทวีปมานานหลายปี ไปเยี่ยมเยือนอารามเต๋าแห่งหนึ่งมาหลายครั้ง
ในอาณาเขตของราชวงศ์ต้าตวนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ภายใต้แสงจันทร์ สตรีผู้หนึ่งสวมชุดสีแดงสด มือหนึ่งจูงม้าขาว มือหนึ่งถือกาเหล้า แหงนหน้าดื่มสุรา
นางพลันตกตะลึงระคนดีใจ ทั้งยังอับอายขึ้นมานิดๆ เอากาเหล้าไปซ่อนไว้ด้านหลัง ยิ้มจนตาหยี เอ่ยเรียกเบาๆ คำหนึ่งว่าพี่ชาย
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็ยังไม่ลืมว่ามีพี่ใหญ่อย่างข้าอยู่นี่นะ”
หลี่เป่าผิงยังคงยิ้มจนดวงตาทั้งคู่โค้งลงเป็นจันทร์เสี้ยว
หลี่ซีเซิ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “เป่าผิง เจ้าคงจะรู้แล้ว”
หลี่เป่าผิงยิ้มกล่าว “ข้ารู้สิ ท่านคือพี่ชายของข้า”
หลี่ซีเซิ่งเองก็ยิ้มเหมือนกัน
หลี่ซีเซิ่งชำเลืองตามองไปยังทิศไกล คนหนุ่มผู้หนึ่งที่มีกลิ่นอายเซียนล่องลอยปกคลุมร่างคล้ายกำลังสะกดรอยตามน้องสาวของตนอยู่ไกลๆ
หลี่เป่าผิงเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าหมอนั่นชื่อสวี่ป๋าย ไม่ถือว่าเป็นอันธพาลไร้เหตุผลสักเท่าไร ก็แค่ชอบตามมา”
หลี่เป่าผิงทำหน้าทะเล้นใส่หลี่ซีเซิ่ง “เจ้าหมอนี่ชอบข้าแล้วมีประโยชน์อะไร ข้าไม่ได้ชอบเขาสักหน่อย”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับ ร่างเปล่งวูบหายไป ก่อนมาปรากฎตรงหน้าสวี่ป๋ายที่เป็นหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ขอเจ้าจงจากไปด้วย”
สวี่ป๋ายทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ในใจรู้สึกร้อนตัว แต่ก็มีเรื่องบางอย่างอยากจะเอื้อนเอ่ย
หลี่ซีเซิ่งยิ้มกล่าว “หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์หรือ ดีมาก แต่อย่ามาชอบน้องสาวข้าเลย นางไม่มีทางชอบเจ้าหรอก เจ้าจะหาเรื่องใส่ตัวทั้งยังสร้างความรำคาญให้คนอื่นไปไย”
สวี่ป๋ายมีสายตาเด็ดเดี่ยว หน้าแดงน้อยๆ แต่กลับพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ก็ข้าชอบนาง!”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า หุบยิ้ม เอ่ยว่า “วันหน้าข้าคงไม่มาวุ่นวายแล้ว แต่ตอนนี้ยังขอเชิญให้เจ้าไปที่อื่นก่อน อย่าได้มาถ่วงรั้งการเดินทางไกลของน้องสาวข้า”
สวี่ป๋ายเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่มีทางเดินเข้าไปพูดคุยกับนาง ข้าไม่รบกวนนางอย่างแน่นอน…”
นาทีถัดมา
ไม่รอให้สวี่ป๋ายพูดจบ เขาก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า โดยไม่ทันรู้ตัวตนก็อยู่ห่างออกมาพันลี้แล้ว
ส่วนบัณฑิตชุดเขียวผู้นั้นยังคงยืนอยู่ข้างกายตน สวี่ป๋ายกำลังจะอ้าปากพูด หลี่ซีเซิ่งก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ดูท่าจะยังไม่พอ” จากนั้นก็ ‘เชิญตัว’ สวี่ป๋ายให้ออกห่างไปไกลหลายหมื่นลี้
หลี่ซีเซิ่งกลับมาอยู่ข้างกายหลี่เป่าผิง ยิ้มบางๆ ให้นาง “เรียบร้อยแล้ว หากเขายังกล้าตามเจ้า เจ้าก็เรียกชื่อพี่อยู่ในใจ คราวหน้าข้าจะไม่เกรงใจเขาแล้ว”
หลี่เป่าผิงพลันรู้สึกเสียใจและน้อยเนื้อต่ำใจ แต่นางกลับไม่เอ่ยอะไร
หลี่ซีเซิ่งกดศีรษะของนางไว้เบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เป่าผิงน้อยที่ข้าคุ้นเคยคนนั้นไปไหนแล้วนะ ช่วยข้าตามหานางทีเถอะ”
หลี่เป่าผิงหัวเราะ แกว่งกาเหล้า “ไม่ได้ดื่มบ่อยๆ นะ”
สองพี่น้องเดินไปบนยอดเขาท่ามกลางแสงจันทร์ด้วยกัน
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้า “เป่าผิง รู้หรือไม่ว่าทำไมตั้งแต่เด็กเจ้าก็สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแล้ว?”
หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “ข้านึกว่าสวมเพื่อความเป็นมงคล”
หลี่ซีเซิ่งคลี่ยิ้ม “ยื่นมือออกมา”
หลี่เป่าผิงสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ยังยื่นมือออกไป
หลี่ซีเซิ่งตบฝ่ามือของนางเบาๆ จากนั้นยิ้มกล่าว “วันหน้าไม่ต้องพิถีพิถันกับกฎข้อนี้อีกแล้ว”
หลี่เป่าผิงถาม “พี่ชาย?”
หลี่ซีเซิ่งส่ายหน้า “วันหน้าค่อยบอกเจ้า”
หลี่เป่าผิงเองก็ไม่คิดมาก ถึงอย่างไรก็มีพี่ชายอยู่ ไม่ต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องใด
หลี่เป่าผิงเอียงศีรษะ ยิ้มพลางทำท่ายกกาเหล้าขึ้น
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวที่สวมชุดสีแดงดื่มเหล้าหนึ่งอึก คิดถึงคนคนหนึ่ง
เมื่อก่อนข้างกายข้ามีอาจารย์น้อยอยู่เคียงข้างตลอดเลยนะ
ไม่เป็นไร
พรุ่งนี้ค่อยไม่ชอบเขาก็แล้วกัน
……
อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งออกมาจากใต้หล้าไพศาล ออกเดินทางไกลไปเพียงลำพัง ตอนนี้อยู่ในแดนพุทธะสุขาวดี
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อประสานมือคารวะพระโพธิสัตว์ท่านหนึ่งที่รัศมีแสงเปล่งกำจายหมื่นจั้ง สาดสะท้อนสิบทิศเจิดจ้า “ยินดีทุ่มเทสุดกำลังอันน้อยนิดที่มีเพื่อดินแดนสุขาวดีอันบริสุทธิ์”
พระโพธิสัตว์ท่านนั้นนั่งอยู่บนอาสนะดอกบัวพนมสิบนิ้วคารวะกลับคืนแก่บัณฑิต
ร่างของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊ออยู่ในนรก แต่กลับยิ้มอย่างเข้าใจ
พลิกเปิดพระคัมภีร์ ท่องพระธรรมคำสอน สำหรับในใจข้า ก็คือบัณฑิตคนรุ่นเดียวกับข้า
เดินทางไกลมาถึงที่นี่ทั้งเพราะลัทธิขงจื๊อมีสัจจะมีคุณธรรม แล้วก็เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองฝ่าย
ใต้หล้าไพศาล
เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีตั้งอยู่ใจกลางทวีปติดกับลำน้ำใหญ่ฉีตู๋
ชุยฉานประคองป๋ายอวี้จิงจำลองไว้บนฝ่ามือ กายธรรมสูงเทียมฟ้า
หนึ่งทวีปก็คือฟ้าดินเล็กของชุยฉาน
เสียงหนึ่งกลับแหวกผ่านฟ้าดินกว้างใหญ่แห่งนี้เข้ามาดังอยู่ในทะเลสาบหัวใจของชุยฉาน “ยังจะให้ข้ารออีกนานแค่ไหน”
ชุยฉานตอบอย่างเฉยเมย “อีกไม่นาน”
ภาคกลางของเกราะทองทวีป
หญิงสาวเรือนกายสูงเพรียว ผิวคล้ำเล็กน้อย สะพายหีบหนังสือ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า
นางตามหาจนไปเจอเฉาสือ
นางบอกก่อนว่าตัวเองคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อเฉินผิงอัน แล้วถึงได้บอกว่าตัวเองชื่อเผยเฉียน ตามมาด้วยประโยคว่าต้องการถามหมัดสามครั้งกับเฉาสือ
ทว่าทุกวันนี้สงครามใหญ่เกิดขึ้นไม่หยุดพัก นางไม่กล้าถ่วงเวลาการออกหมัดสังหารศัตรูของอาจารย์เฉา นางจึงรอคอย แล้วก็ถือโอกาสขัดเกลาวิชาหมัดบนสนามรบไปด้วย
เฉาสือก็ยังคงมีนิสัยเช่นนั้น เพียงยิ้มบางๆ พลางพยักหน้ารับ บอกว่าไม่มีปัญหา
อวี้เจวี้ยนฟูกลับตื่นตะลึงสุดขีด นี่คือแม่นางน้อยผิวดำเกรียมที่ปีนั้นไปเที่ยวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ? ปีนั้นเคยเห็นนางอยู่หลายครั้ง แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นแม่หนูน้อยที่ฉลาดเป็นกรด ทำไมทุกวันนี้ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้แล้ว?
แต่จากนั้นอวี้เจวี้ยนฟูก็คิดได้ว่า การจากลาในปีนั้นผ่านมานานหลายปีแล้ว นางจะตัวสูงพรวดๆ ก็เป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่าเรื่องที่ไม่ปกติอย่างแน่นอนก็คือเผยเฉียนผู้นี้ไปเอาขอบเขตมาจากไหน? หล่นลงมาจากฟ้าอย่างนั้นหรือ?!
เผยเฉียนเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวจริงๆ หรือ?
หลังจากนั้นบนสนามรบภาคกลางของเกราะทองทวีป ในบรรดาผู้ฝึกยุทธเต็มตัว นอกจากอวี้เจวี้ยนฟูกับผู้ฝึกยุทธเฒ่าขอบเขตเก้าคนหนึ่งที่พอจะถือว่าสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉาสือได้อย่างถูไถแล้ว
ยังมีสตรีแซ่เผยที่อายุน้อยยิ่งกว่าอวี้เจวี้ยนฟู แต่ขอบเขตกลับเท่ากัน อีกทั้งรากฐานยังปูมาได้ดีกว่าเพิ่มมาอีกหนึ่งคน คนผู้นี้เงียบขรึมพูดน้อย เพียงแต่ว่าไม่ขาดมารยาท ในความเป็นจริงคือตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ การวางตัวของนางที่มีต่อคนรอบกายระหว่างหยุดพักรบในแต่ละครั้งล้วนยึดถือหลักมารยาทไว้อย่างดีเยี่ยม
ภายหลังทุกคนต่างก็รู้สึกว่าผู้ฝึกยุทธอายุน้อยคนนี้เกิดมาคงไม่ค่อยชอบพูดกระมัง
จูเหมยแอบหนีมาที่เกราะทองทวีปพร้อมกับจินเจินเมิ่ง ตลอดทางแม้แต่จะมีเรื่องน่าตกใจแต่ไร้อันตราย จนกระทั่งได้มาพบอวี้เจวี้ยนฟู
จูเหอยังคงชอบเรียกพี่หญิงอวี้เจวี้ยนฟูด้วยความสนิทสนมว่า ‘ไจ้ซี ไจ้ซี’ อยู่เหมือนเดิม
พอนางรู้ว่าเผยเฉียนที่อยู่ๆ ก็โผล่มาโดยที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีชื่อเสียงให้ได้ยิน ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุแค่ยี่สิบต้นๆ ก็เป็นคอขวดขอบเขตเดินทางไกลแล้ว จูเหมยก็ตกใจเกือบตาย
เผยเฉียนที่อยู่ต่างบ้านต่างเมืองยังคงออกหมัดเยอะมาก พูดคุยน้อยมาก
แต่กับจูเหมย บางครั้งเผยเฉียนก็จะพูดมากหน่อย
เพราะพี่หญิงจูเหมยคนนี้มีแซ่เดียวกับพ่อครัวเฒ่า ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกสนิทสนมกับจูเหมยนิดๆ อย่างไร้เหตุผล
วันนี้เผยเฉียนถอยออกมาจากสนามรบ ออกมาช้ายิ่งกว่าอวี้เจวี้ยนฟู แต่น่าเสียดายที่ออกมาเร็วกว่าเฉาสือมาก
นางมาอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง ตรงริมลำคลอง หลังจากซักคราบเลือดที่เปื้อนอยู่บนเสื้อผ้าจนสะอาด นางก็มองสายน้ำแล้วเหม่อลอย
ในอดีตอยู่บนภูเขาบ้านเกิด บางครั้งก็ฟุบตัวอยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ บางครั้งก็นั่งอยู่ข้างโต๊ะหินริมหน้าผา บางครั้งก็เดินตรวจตราภูเขาไปด้วยกัน บางครั้งปีนขึ้นไปเหยียบบนราวรั้วหยกขาวบนยอดเขา บางครั้งนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารของพ่อครัวเฒ่า เผยเฉียนตอนเป็นเด็กมักจะคุยเรื่องเล็กๆ ที่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องในใจอะไรกับโจวหมี่ลี่อยู่เสมอ
‘เมฆขาวไม่ทักทายก็จากไปแล้ว แสงจันทร์ไม่เคาะประตูก็มาเยือน หมี่ลี่น้อย เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่ ทำอย่างไรถึงจะรั้งพวกมันไว้ได้นะ ซ้อมหนักๆ สักรอบดีไหม?’
‘พี่หญิงเผย ง่ายจะตายไป พวกเราสองคนฝึกหมัดทุกวัน สวบๆๆ ขอบเขตพุ่งพรวดขึ้นเบื้องบน! ถึงเวลานั้นก็ให้พวกมันได้รู้ถึงความร้ายกาจเสียบ้าง! พี่หญิงเผย ทำไมถึงไม่เรียกข้าว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาและรองหัวหน้าสาขาล่ะ วันนี้ยังไม่ได้เรียกเลยนะ ยังไม่เรียกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ก่อนฟ้ามืดอย่าลืมล่ะ’
‘หมี่ลี่น้อย เจ้าฟังสิ สายลมกำลังตีกับใบไผ่ นกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้กำลังช่วยเกลี้ยกล่อมให้นะ’
‘ฮ่าๆ พี่หญิงเผย ข้าก็ได้ยินแล้วเหมือนกัน พี่หญิงเผย ข้าไม่ได้หลอกท่านจริงๆ นะ ข้าได้ยินจริงๆ! ฟ้าดินเป็นพยาน หากข้าโกหกก็ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงแล้ว!’
‘หิมะใหญ่ห่มผ้าชั้นแล้วชั้นเล่าให้กับขุนเขาเขียว น้ำในลำธารกลืนกินก้อนหินไปก้อนแล้วก้อนเล่า เติบโตไปทุกวัน’
‘ใช่แล้วๆ แม่นางน้อยเปลี่ยนเป็นแม่ย่าลำคลองน้อยก่อน จากนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นเหนียงเนียงของสายน้ำ สุดท้ายไหลพรวดลงทะเล ก็ถือว่าได้ออกเรือนแต่งไปอยู่ไกลแล้ว เพราะฉะนั้นข้าถึงไม่ยินดีจะเป็นแม่ย่าลำคลองอย่างไรล่ะ ใช่แล้ว พี่หญิงเผย ท่านรีบร้อนอยากโตเร็วๆ หรือ?’
‘ไม่ค่อยอยาก แต่ก็อยากอยู่บ้างนิดๆ กระมัง แต่ว่าอาจารย์พ่อบอกข้าว่าไม่ต้องรีบร้อน’
‘ก็จริงนะ พี่หญิงเผยเฉียนเชื่อฟังคำของเจ้าขุนเขาคนดีที่สุดเลย ไม่เติบโตก็ไม่เติบโต ข้าเองก็ไม่อยากเขย่งปลายเท้าเต็มที่แล้วก็ยังสูงไม่เท่าพี่หญิงเผยเฉียนหรอกนะ’
——