บทที่ 713.6 เมื่อถึงเวลาฟ้าดินล้วนร่วมแรงร่วมใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เมื่อเผยเฉียนมาย้อนนึกดูในภายหลังนี่คือบทสนทนาที่ไร้เดียงสาซื่อเซ่ออย่างมาก

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาลั่วพั่วเมื่อหลายปีมาแล้ว ตอนนั้นตัวของเผยเฉียนสูงกว่าหมี่ลี่น้อยแค่เล็กน้อย สูงพอๆ กับพี่หญิงหน่วนซู่

เผยเฉียนเหม่อมองไปยังริมลำคลองฝั่งตรงข้าม

อวี้เจวี้ยนฟูมาหยุดอยู่ข้างกายนาง ยิ้มถามว่า “คิดอะไรน่ะ? บ้านเกิดที่แจกันสมบัติทวีป หรือว่าอาจารย์พ่อของเจ้า?”

อวี้เจวี้ยนฟูชอบมาหาเผยเฉียนขอฟังเรื่องเล่าเล็กๆ น้อยๆ จากนาง

เผยเฉียนไม่ช่างพูดช่างคุย เพียงแต่ว่าหากคนทั้งสองอยู่กันเพียงลำพัง เผยเฉียนถึงจะพูดถึงเรื่องราวในอดีตยามที่ออกท่องยุทธภพกับอาจารย์พ่อตอนที่นางยังเป็นเด็กกับอวี้เจวี้ยนฟูบ้าง

ครั้งนี้เผยเฉียนไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแค่ลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มเรียกอวี้เจวี้ยนฟูว่าพี่หญิงไจ้ซี จากนั้นค่อยนั่งลงไปด้วยกัน

อวี้เจวี้ยนฟูสังเกตเห็นว่าดูเหมือนวันนี้เผยเฉียนจะอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก นางจึงไม่ได้เปิดปากพูดอะไร

แต่เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนอย่างที่หาได้ยาก นางหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “พี่หญิงไจ้ซี ท่านรู้หรือไม่ว่าสองสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในใต้หล้านี้ คือที่ไหน?”

อวี้เจวี้ยนฟูค่อนข้างประหลาดใจกับอารมณ์ของเผยเฉียนที่จู่ๆ ก็ดีขึ้นในฉับพลัน ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

เผยเฉียนกอดเข่า มองไปยังตลิ่งฝั่งตรงข้าม เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่ข้ายังเป็นเด็ก ระหว่างที่เดินทางกลับบ้านเป็นเพื่อนอาจารย์พ่อ มีครั้งหนึ่งอาจารย์พ่อมอบของขวัญเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้ข้า อาจารย์พ่ออารมณ์ดีมากๆ ก็เลยแอบเล่าเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งให้ข้าฟัง ริมลำธารสายเล็ก อาจารย์พ่อตุ๋นปลาพลางถามคำถามนี้กับข้าไปด้วย แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่รู้คำตอบเหมือนพี่หญิงไจ้ซี ก็เลยเดาไปส่งเดชหลายอย่าง อาจารย์พ่อเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้มๆ …”

พูดมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็หัวเราะกับตัวเอง

ผู้ฝึกยุทธหญิงที่ผิวคล้ำเล็กน้อย อันที่จริงหากมองให้ละเอียด นางเองก็เป็นสตรีที่งดงามเช่นกัน

ทุกครั้งที่อาจารย์พ่อยิ้มกับนาง ฟ้าดินของเผยเฉียนก็จะเหมือนแสงจันทร์ที่อยู่บนฟ้าสูงทุกครั้ง

เผยเฉียนเอ่ยต่ออีกว่า “สุดท้ายอาจารย์พ่อบอกข้าว่า อาจารย์พ่อรู้สึกว่าเส้นทางที่ไกลที่สุดไม่ใช่การไปเยือนสถานที่ที่ห่างไกลอะไร ไม่ใช่การไปสำนักศึกษาต้าสุย ถึงขั้นไม่ใช่การไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่เป็นตอนที่อาจารย์พ่อของข้ายังเด็กแล้วเจอพายุฝนกระหน่ำอยู่บนภูเขา จากนั้นก็มีลำธารที่น้ำหลากสายหนึ่งขวางกั้นเอาไว้ อาจารย์พ่ออยู่ฝั่งหนึ่ง เส้นทางกลับบ้าน อยู่อีกฝั่งหนึ่ง”

เผยเฉียนตาแดงก่ำ พูดเสียงสะอื้นไห้ “ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ ภายหลัง ต่อให้ข้าเคยได้เห็นม้วนภาพแห่งกาลเวลาของห่านขาวใหญ่แล้ว ตอนนั้นข้านึกไปว่าตัวเองเข้าใจแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังไม่เข้าใจอยู่เหมือนเดิม”

นางสะอื้นเบาๆ ประหนึ่งน้ำในลำธารที่ไหลริกๆ

คนทุกคนที่อาจารย์พ่อมองว่าเป็นคนสนิทใกล้ชิด บ้างก็ลาจาก บ้างก็เปลี่ยนไป ล้วนทำให้อาจารย์พ่อเสียใจทั้งสิ้น ทว่าอาจารย์พ่อกลับได้แต่เสียใจอยู่กับตัวเองคนเดียว

หลังจากเผยเฉียนเติบใหญ่ก็เริ่มค่อยๆ เข้าใจ ดังนั้นยิ่งนานจึงยิ่งเสียใจมากขึ้นทุกที

อวี้เจวี้ยนฟูตระหนกลนอยู่บ้างเล็กน้อย

แปลกยิ่งนัก

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเผยเฉียนผู้นี้ จำต้องยอมรับว่า นางบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด!

บนสนามรบ ออกหมัดเหมือนบ้าคลั่ง ในใจกลับแข็งแกร่งดุจหินผา คำว่าอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ทั้งกายและใจของนางล้วนไม่แยแสแม้แต่น้อย

เผยเฉียนหลั่งน้ำตา? เป็นเรื่องที่อวี้เจวี้ยนฝูมิอาจคิดมิอาจจินตนาการได้เลย

โชคดีที่เผยเฉียนกลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางหันหน้ามา น้ำตายังคลอกลบดวงตา แต่กระนั้นก็ยังคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้ห้ามบอกอาจารย์พ่อของข้านะ”

อวี้เจวี้ยนฟูพยักหน้าเบาๆ

มองน้ำในลำคลองไหลผ่านไปอย่างเงียบเชียบเป็นเพื่อนเผยเฉียน

อวี้เจวี้ยนฟูพลันเอ่ยว่า “หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป การถามหมัดสามครั้งของเจ้ากับเฉาสือ ย่อมต้องแพ้อย่างมิต้องสงสัย”

เผยเฉียนพยักหน้าเบาๆ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา อารมณ์แปรเปลี่ยนกลมกลืนได้อย่างเป็นธรรมชาติ นางเอ่ยเสียงหนักว่า “ข้ารู้”

จากนั้นนางก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เพราะฉะนั้นข้าจึงจะถามหมัดสี่ครั้ง!”

……

นครลมเย็นยังคงเจริญรุ่งเรืองคึกคัก มีนักท่องเที่ยวสัญจรไม่ขาดสาย ท่ามกลางสีสนธยา ร้านค้าแห่งหนึ่งปิดร้านแล้ว

บุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในเรือนด้านหลังร้านของตัวเอง ในมือถือประคองเตาอุ่นมือ ชื่นชมหิมะอยู่เงียบๆ

เขาสวมชุดตัวยาวสีเขียว รองเท้าผ้าสีขาว ดูยากจนขัดสนอยู่บ้าง แต่กลับสะอาดสะอ้าน

เหมือนคนจากตระกูลมีฐานะที่ตกอบจนต้องมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน

ส่วนเจ้าแห่งแคว้นหูท่านนั้นกลับทำตัวเหมือนสาวใช้ประจำตัว คอยอุ่นเหล้าให้บุรุษอยู่ด้านข้าง

ช่วงนี้สวี่หุนเจ้านครออกไปจากนครลมเย็น ถ้าอย่างนั้นในฐานะก่อกำเนิดที่เหลือเพียงคนเดียวในนคร ไม่ว่านางจะพูดจาหรือทำอะไรล้วนไร้ความกริ่งเกรง

จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ครั้งแรกที่ออกไปท่องเที่ยวในใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิด นั่นเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง จูเหลี่ยนสวมหน้ากาก ต้องการจะไปพบเจอกับปรมาจารย์วิถีวรยุทธ ผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพคนหนึ่ง

จูเหลี่ยนตอนที่ยังเป็นหนุ่ม ยามที่ออกเดินทางท่องยุทธภพเพียงลำพัง ได้ผ่านหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีต้นพลับขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่สูงชะลูดเหนือหลังคาเรือนมากมาย จุดที่สูงที่สุดของต้นไม้มีลูกพลับที่สุกงอมเต็มที่อยู่หลายลูก แต่ไม่มีคนไปเก็บ ตอนที่ร่วงลงมาก็สามารถทักทายกับกลิ่นควันไฟจากการหุงหาอาหารได้พอดี เด็กใจกล้าบางคนจะปีนขึ้นหลังคา เอาไม้ท่อนยาวๆ ไปสอยลูกพลับให้ร่วง ได้กินลูกพลับ แต่ก็ต้องโดนตี กระนั้นก็ไม่ขาดทุน

คุณชายจูเหลี่ยนผู้สูงศักดิ์มีชาติกำเนิดจากตระกูลเศรษฐีที่ยามจะกินข้าวทีก็มีคนมาขับร้อง อาหารวางในพานทอง คนในตระกูลเป็นขุนนางกันมาทุกยุคทุกสมัย

การออกเดินทางครั้งนั้นเป็นครั้งแรก เขาฝึกวรยุทธจนพอจะประสบความสำเร็จ เพียงแต่ว่าสรุปแล้ววิชาหมัดของตนสูงเท่าใดกันแน่ เขากลับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะอยู่ในตระกูลก็ดี หรืออยู่ในเมืองหลวงที่ทุกคนต่างมองเขาเป็นเจ๋อเซียนก็ช่าง จูเหลี่ยนจะมีโอกาสออกหมัดได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนั้นจูเหลี่ยนยังไม่ได้มองการเรียนวรยุทธเป็นเส้นทางที่จริงจังด้วยซ้ำ ก็แค่หยิบเอาตำราลับวิชายุทธสองสามเล่มที่เก็บรักษาอย่างดีอยู่ในตระกูลออกมาอ่านเล่นเท่านั้นเอง

ดังนั้นการเดินทางในครั้งนั้นกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนตั้งใจใช้ใจมองขุนเขาสายน้ำมากที่สุด

จากนั้นจูเหลี่ยนที่อยู่ในร้านขายเหล้าขาวแห่งหนึ่งในหมู่บ้านก็เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งสวมชุดฝ้าฝ้ายตัวหนายับย่น สวมรองเท้าผ้าฝ้ายที่ปุยฝ้ายม้วนงอ สวมหมวกผ้าฝ้ายที่มองดูแล้วซีดเซียว เดินหลังค่อมก้าวข้ามธรณีประตูร้านเข้ามา ทว่าตอนที่เปิดปากพูดเขากลับยืดเอวตั้งตรง ตะเบ็งเสียงดังลั่น บอกกับเจ้าของร้านเหล้าว่าต้องการเหล้าอุ่นสองตำลึง บวกกับถั่วโรยผงยี่หร่าหนึ่งจาน

ตอนนั้นจูเหลี่ยนซื้อเหล้าหมักด้วยวิธีพื้นบ้านหนึ่งจินมาจากที่ร้าน บางทีชายฉกรรจ์คนนั้นอาจรู้สึกว่าตัวเองดื่มเหล้าสองตำลึง ทว่าคนต่างถิ่นกลับซื้อถึงหนึ่งจินเต็มๆ รู้สึกว่าขายหน้าคนเป็นบัณฑิต ชายฉกรรจ์คนนั้นจึงเอานิ้วจุ่มลงไปในเหล้าที่เหลือติดก้นถ้วย ยิ้มถามพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านว่า รู้หรือไม่ว่าอักษรฮุยของคำว่ายี่หร่าเขียนแบบใดได้บ้าง

พวกเด็กๆ ไม่ได้สนใจชายคนนั้น เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นสนุกของตัวเองไป

จูเหลี่ยนจึงเปลี่ยนความคิด สั่งเหล้าจากทางร้านมาเพิ่มอีกหนึ่งชาม ถามชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมผู้นั้นว่าอักษรฮุยเขียนแบบใดได้บ้าง

ชายฉกรรจ์เช็ดคราบสุราที่เปื้อนบนโต๊ะคิดเงิน จูเหลี่ยนจึงสั่งเหล้ามาอีกหนึ่งชามสองตำลึง ยื่นส่งให้กับบุรุษที่อาจเคยเรียนหนังสือมาก่อน แล้วก็อาจจะไม่เคยได้เรียนมาก่อนก็เป็นได้

สุดท้ายชายฉกรรจ์คนนั้นดื่มเหล้าสองตำลึงที่ตัวเองจ่ายเงินซื้อ และยังมีเหล้าอีกสองตำลึงที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ตอนที่ก้มหน้าดื่มเหล้าเขาแอบหัวเราะ พอดื่มเหล้าคำสุดท้ายในถ้วย ชายฉกรรจ์ก็ร้องไห้โฮขึ้นมาดังลั่น บอกว่าตอนที่เดินมา มีหมาตัวหนึ่งมองเขา น่ากลัวเกินไปแล้ว

ทั้งเจ้าของและลูกค้าในร้านเหล้าต่างก็พากันหัวเราะครืน

ตอนนั้นจูเหลี่ยนกลับไม่ได้เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ได้หัวเราะ

นี่ก็คือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของบ้านเกิดในอดีต

บ้านเกิดใหม่ก็มีเรื่องราวบางอย่างเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นปีนั้นที่อยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า ผู้อาวุโสทวนยาวหนึ่งฉื่อที่พอเจอกับจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ถูกชะตากันอย่างมากผู้นั้น

อันที่จริงสวินยวนกับภูเขาลั่วพั่วนั้น มีทั้งบุญคุณและความแค้นต่อกัน อีกทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ เพียงแต่ว่าไม่รอให้เจ้าขุนเขากับจูเหลี่ยนไปถกถามถึงเรื่องบุญคุณความแค้น สวินยวนกลับตายไปก่อนแล้ว

ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าก็ขาดผู้ชมมือเติบใจป้ำที่ชอบเปิดอ่านตำราเทพเซียน และยิ่งชอบนั่งดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำแล้วทุ่มทองพันชั่งไปคนหนึ่งแล้ว

บุญคุณความแค้นของภูเขาลั่วพั่วหายไปส่วนหนึ่ง บนโลกมนุษย์ก็ขาดเรื่องน่าสนใจไปมากมาย

จูเหลี่ยนค้อมเอววางเตาพกไว้ข้างเท้า แล้วทิ้งตัวนอนหงายอีกครั้ง

คนรู้ในใจโลกจะมีได้สักกี่คนกันเชียว แต่กลับยังต้องหายจากกันไปทีละคน

สตรีถามเสียงอ่อนโยน “เหยียนฟ่าง คิดเรื่องอะไรอยู่หรือ?”

นางยังคงเคยชินที่จะเรียกเขาว่าเหยียนฟ่าง หากในร้านมีคนนอกก็จะเรียกว่าเถ้าแก่เหยียน

จูเหยียนเหลี่ยนฟ่าง เก็บซ่อนรูปโฉมอันงดงาม

จูเหลี่ยนไม่คิดจะหันหน้ามา เพียงตอบง่ายๆ ว่า “ขอแค่คนเราอายุมากขึ้นก็ง่ายที่จะคิดถึงเรื่องเก่าๆ และคนเก่าๆ เรื่องเก่าไร้สาระของคนอื่น แต่เป็นเรื่องที่ข้าชื่นชอบ”

สตรีปิดปากหัวเราะคิก

ให้จูเหลี่ยนเป็นคนพูดเรื่องนี้ ช่างเป็นเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ

คาดไม่ถึงว่าจากนั้นจูเหลี่ยนจะเอ่ยถ้อยคำทำลายบรรยากาศอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“คนหลายคนที่ทั้งหลอกตัวเองและหลอกคนอื่น ในสายตาคนนอกทั้งน่าเศร้าและน่าขัน”

“แต่สำหรับคนที่อยู่ในสถานการณ์แล้ว กลับเป็นความโชคดีความงดงาม อีกทั้งยังจำเป็นต้องมี”

“ยกตัวอย่างเช่นเจ้ารู้สึกว่านครลมเย็นไม่ใช่สถานที่ที่สามารถฝากชีวิตไว้ได้ แต่ยิ่งนานกลับยิ่งรู้สึกว่าข้าไม่เหมือนกัน ต้องดีกว่าสวี่หุนและสตรีออกเรือนแล้วผู้นั้นอยู่มาก อย่าได้คิดแบบนี้เลยจริงๆ ต้องพึ่งตัวเอง อย่าพึ่งพาคนอื่น ต่อให้เป็นข้าจูเหลี่ยน เป็นภูเขาลั่วพั่วของข้าที่ขนบธรรมเนียมประเพณีดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุดก็อย่าได้พึ่งพาอย่างเต็มที่”

นี่ทำให้นางขมวดคิ้วมุ่น

เพียงแต่จูเหลี่ยนก็เอ่ยอีกว่า “สตรีทุกคนบนโลกล้วนไม่ควรเป็นต้นหญ้าที่ไหวเอนไปตามแรงลม ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าสตรีแต่ละคนที่ต่างก็มีส่วนที่ชวนให้คนประทับใจนั้น ล้วนไม่แพ้ให้กับบุรุษคนใด”

นางตกตะลึงก่อน จากนั้นก็พลันคลี่ยิ้มกว้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “ทราบแล้ว ทราบแล้ว เจ้านี่ช่างมีหลักการเหตุผลมากมายนัก”

จูเหลี่ยนหันหน้ามาสบตากับนาง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าคือกระจกบานหนึ่ง ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู ในดวงตาข้ามีเจ้าหรือไม่?”

นางจุ๊ปากใส่เขาหนึ่งที ไม่หันไปมอง

จูเหลี่ยนโน้มตัวไปหยิบเตาถ่านขึ้นมาอีกครั้ง ลุกขึ้นยืนเอ่ยสัพยอกว่า “แต่ข้ากลับมองเห็นตัวเองจากดวงตาของเจ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นกระจกของข้าแล้ว แน่นอนว่าต้องเอากลับบ้านไปด้วย”

ทีแรกในใจนางยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวา แต่จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนมาเป็นเด็ดเดี่ยว ถามว่า “คือวันนี้หรือ?!”

จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ข้าไม่อาจออกหมัดได้อย่างเปิดเผย ไม่มีความจำเป็นที่ต้องจงใจมารบราฆ่าฟันอยู่ที่นี่”

นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถามเบาๆ ว่า “อย่าโทษที่ข้าโลเลเอาแน่เอานอนไม่ได้เลยนะ ความเคลื่อนไหวรุนแรงขนาดนี้ อยากซ่อนก็ซ่อนไม่อยู่ หากหลังจบเรื่องสวี่หุนตามมาซักไซ้เอาผิดจะทำอย่างไร? พวกเราจะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”

เป็น ‘พวกเรา’ ไม่ใช่ ‘ข้า’

ไม่ใช่ว่านางตั้งใจพูดเช่นนี้ เพียงแต่ว่าในใจมีความคิดเช่นนี้อยู่ก่อนแล้ว ปากเลยพาไป

จูเหลี่ยนคลี่ยิ้มอ่อนโยน ใช้มือข้างหนึ่งบีบแก้มนางอย่างอ่อนโยนก่อน จากนั้นใช้มืออีกข้างยกเตาถ่านขึ้นมา “ข้าผู้อาวุโสฉี่รดลงไปก็ทำให้เขาสวี่หุนสิ้นท่าได้แล้ว”

นางเบี่ยงหน้าหลบก่อน แล้วค่อยหันกลับมาถลึงตาใส่เขาอย่างเขินอายระคนขุ่นเคือง

บุรุษคนอื่นไม่ต้องไปสนใจ มีเพียงเจ้าจูเหลี่ยนที่ไม่อาจพูดจาเช่นนี้ได้

จูเหลี่ยนพึมพำกับตัวเองว่า “พาเจ้ากับแคว้นหูกลับบ้าน ข้าต้องลงจากเขาไปก่อนสักรอบ”

ในใจนางเป็นกังวลอย่างยิ่ง “ไปทางทิศใต้หรือ?”

จูเหลี่ยนไม่ได้ให้คำตอบ

นางยิ่งกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม หากนางเพิ่งจะไปที่ภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนก็ไปที่สนามรบแล้ว วันหน้านางจะอยู่ที่ต่างบ้านต่างเมืองที่ซึ่งตัวเองไม่คุ้นเคยทั้งกับคนและสถานที่ได้อย่างไร แคว้นหูจะทำอย่างไร?

จูเหลี่ยนยื่นส่งเตาพกให้นาง “อุ่นมือสักหน่อย วางใจเถอะ คุณชายบ้านข้ายังไม่กลับบ้านเกิด ข้าตัดใจรีบตายไม่ลงหรอก”

สีหน้านางปั้นยาก “เจ้าเรียกเฉินผิงอันผู้นั้นว่าคุณชายหรือ?”

จูเหลี่ยนตบข้างแก้มของนางเบาๆ หนึ่งที ยิ้มเอ่ยว่า “สาวใช้ใจกล้า บังอาจเสียจริง!”

นางไม่เพียงไม่โกรธ กลับกันยังคลี่ยิ้มหวาน

นางยกมือขึ้น เอามือวางทับมือของเขาเบาๆ

สวมภูษาปักลายเดินกลางราตรี

บนโลกนี้จะมีกี่คนที่มองเห็น

……

บนท้องฟ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เพราะต่งซานเกิงผู้นั้น จึงสูญเสียดวงจันทร์ดวงหนึ่งไปตลอดกาล

วันนี้ใต้หล้าทั้งแห่งต้องตกอยู่ในความหวาดผวาพรั่นกลัว เพราะอยู่ดีๆ ก็สูญเสียดวงจันทร์ดวงที่สองไป

กำแพงเมืองปราณกระบี่ แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายคนหนึ่งพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงฝั่งที่มีตราผนึกหนาหนักอย่างที่ ‘ไม่เคยทำมาก่อน’

หลงจวินเองก็ไม่ได้ขัดขวางการกระทำที่ล้ำเส้นของนางอย่างที่หาได้ยาก

คนหนุ่มพกดาบสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดคนหนึ่ง เดิมทีกำลังเดินนิ่งอย่างเนิบช้า ออกหมัดอย่างเชื่องช้า พอเก็บหมัดแล้วก็มาอยู่ข้างกายของนาง สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อหยุดยืนนิ่ง ยิ้มตาหยีถามว่า “คือหลิวไฉผู้นั้นหรือ? ปล่อยให้ข้ารอเสียนานเชียว”

แม่นางหน้ากลมจุ๊ปากด้วยความประหลาดใจ ทว่าในใจกลับถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง

แม้ว่าจะไม่ใช่ร่างจริง ทว่าเจ้าคนตรงหน้าผู้นี้กลับร้ายกาจจริงๆ

เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส “หนึ่งในสิบคน แล้วยังเป็นเซียนกระบี่ ร้ายกาจเกินไปแล้ว ถามหมัดขอเบาๆ ถามกระบี่ก็อย่าให้หนักหน่วงเกินไปนัก ข้ากลัวตายอย่างมาก”

ในที่สุดแม่งก็มีใครสักคนมาเป็นแขกที่หัวกำแพงเมือง มาพูดคุยกับตนสองสามประโยคสักที

อารมณ์พลันดีเยี่ยม ต่อให้เป็นสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตอนนี้ก็จะยังคิดเสียว่าเจ้าคือคนดีคนหนึ่ง

ถึงอย่างไรอีกเดี๋ยวเจ้าก็ต้องตายแล้ว!

ฟ้าดินกว้างใหญ่ ภรรยาใหญ่ที่สุด

ดังนั้นนอกจากหนิงเหยาแล้ว

ต่อให้เจ้าจะเป็นเก้าคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าอะไรนั่น แต่เป็นศัตรูกับข้า ไม่ว่าใครมาคนนั้นก็ต้องตาย!

แม่นางหน้ากลมเอ่ย “ข้าไม่ใช่หลิวไฉ ข้าเคยไปหาเขาที่ใบถงทวีปมาก่อนจริงๆ เพียงแต่หาตัวไม่เจอ”

เฉินผิงอันหรี่ตาลง ถามหยั่งเชิงด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ในเมื่อเคยไปเยือนใต้หล้าไพศาลมาก่อนแล้ว ไม่สู้แม่นางแสร้งทำเป็นหลิวไฉผู้นั้นสักชั่วครู่ แค่ก้านธูปเดียวเท่านั้น”

นางหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าแน่ใจหรือว่าสามารถสังหารข้าได้ในหนึ่งก้านธูป? ใช่แล้ว ข้าชื่อเซอเยว่”

เฉินผิงอันพยักหน้า กล่าวอย่างคนเข้าใจในฉับพลัน “สายตาในการมองคนของข้าแม่นยำมาโดยตลอด แม่นางเซอเยว่ไม่ใช่หลิวไฉ แต่กลับเป็นหนึ่งในสิบคนนี่นะ”

เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ชักดาบแคบพิฆาตออกมา ถึงขั้นยังปลดมันลงแล้วโยนทิ้งไปไกล

เพียงแต่ว่าในชายแขนเสื้อทั้งสองข้างกลับมีมีดสั้นเล่มหนึ่งกลิ้งไถลลงมาฝั่งละเล่ม

เขาค้อมเอวลงเล็กน้อย ใบหน้าประดับรอยยิ้ม สองมือถือมีด

เซอเยว่ตบข้างแก้มตัวเอง

เห็นเพียงว่ามีดสั้นสองเล่มนั้นหมุนติ้วอย่างรวดเร็วจนคนมองตาลาย เป็นเหตุให้ภาพปรากฎการณ์ฟ้าดินของสองฝั่งเกิดความโกลาหลวุ่นวายเกินจะเปรียบ

ราวกับว่ามีปราณกระบี่เล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

สุดท้ายยามที่มีดสั้นถูกคนผู้นั้นกุมไว้ในมือมั่น ภาพผิดปกติทุกอย่างล้วนหายไป รอยยิ้มของเขายิ่งนานก็ยิ่งเจิดจ้า ทว่าส่วนลึกในดวงตาทั้งคู่กลับยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาคนผู้นั้นก็ใช้ภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอ่ยถ้อยคำประหลาดกับเซอเยว่ซึ่งเป็นประโยคที่นางฟังไม่เข้าใจอย่างสิ้นเชิง “ข้าคิดดีแล้ว วันหน้ายามท่องอยู่ในยุทธภพ จะใช้นามแฝงว่าเฉาโม่!”

เซอเยว่ที่เดิมทีไม่คิดจะลงมือยกมือตบข้างแก้มตัวเองอีกครั้ง พอวางมือลงก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดูแล้วนะ?”

เฉินผิงอันหัวเราะลั่น “ลองดูได้เลย!”

——