ตอนที่ 1513 ความลับของแดนลับนรกโลกันตร์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

การตอบสนองของติงซานเหอกับจี้ชิ่งย่อมเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม

แต่พวกเขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ถึงสักนิด ว่าอภินิหารหยุดเวลาของหลินสวินจะมีอานุภาพต้องห้ามผนึกเวลาชั่วพริบตาได้

ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัว

และเมื่อได้เห็นภาพอริยะเหล่านั้นถูกสังหาร ความรู้สึกรับมือไม่ทันเช่นนี้ได้กลายเป็นฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ระเบิดออกในสมองของพวกเขาไปแล้ว!

สังหารอริยะ!

ชายหนุ่มที่ยังไม่บรรลุอริยะคนหนึ่ง ใช้พลังต่อสู้ของตนสังหารอริยะต่อหน้าต่อตาพวกเขา!

นี่ช่างน่าเหลือเชื่อ!

ไม่ว่าพวกติงซานเหอจะตอบโต้รวดเร็วอย่างไร ชั่วพริบตานี้ยังรู้สึกกลัวขึ้นสมอง จิตใจหวาดผวา หน้าเปลี่ยนสีในทันใด

ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน แม้แต่ในดินแดนโบราณมารโลหิต ยังน้อยนักที่จะเกิดเรื่องน่าตื่นตะลึงเช่นนี้

เพราะระดับอริยะก็เหมือนกำแพงสวรรค์ คิดจะข้ามไปเรียกได้ว่ายากลำบากแสนเข็ญ

ยิ่งคิดจะข้ามระดับไปสังหารอริยะ ยิ่งเหมือนความเหนือจริงในตำนานครั้งหนึ่ง!

แต่ตอนนี้ ภาพนี้เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว

ซ่า!

โลหิตอริยะโปรยปราย แดงฉานแสบตา ฟ้าดินเต็มไปด้วยเสียงมรรคไว้อาลัย

หากเป็นไปได้ หลินสวินย่อมไม่พลาดโอกาสงามเช่นนี้ ต้องลงมืออีกครั้งแน่

ที่น่าเสียดายก็คืออภินิหารหยุดเวลาเย้ยฟ้ามากเกินไป พลังที่ใช้ไปก็มหาศาลยิ่งนัก กอปรกับใช้มรดกอักษรสังหาร ทำให้ในชั่วพริบตานี้พลังทั้งหมดในร่างของเขาเหมือนถูกดึงออกไปจนสิ้น อ่อนแอถึงที่สุด

ดังนั้นเขาจึงไม่มีความลังเลใดๆ หันหลังกลับเข้าไปในหุบเหว

“ไอ้สวะ!”

ติงซานเหอส่งเสียงคำราม โมโหจนเลือดขึ้นหน้า บันดาลโทสะถึงที่สุด

จี้ชิ่งกับอริยะอีกคนหนึ่งก็คล้ายเพิ่งได้สติหลังจากตกใจ ต่างมองหน้ากัน มือเท้าเย็นเฉียบ กดความตื่นตะลึงในใจลงได้ยาก

พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่าการสังหารชั่วพริบตาเมื่อกี้ หากตนโดนเข้าจะเกิดผลลัพธ์เช่นไร

หวาดกลัวจนตัวสั่น!

ในหุบเหว หลินสวินที่ถูกเสี่ยวอิ๋นกับผีเสื้อมารแยกฟ้ารับไปฝืนยืนให้มั่นคง หันหน้าไปมองอริยะทั้งสามคนนั้น

“ถ้ากล้า พวกเจ้าก็รอที่นี่ตามสบาย!”

พอพูดจบ เขา เสี่ยวอิ๋น และผีเสื้อมารแยกฟ้าก็หายลับไปในหุบเหวด้วยกัน

ฟู่! ฟู่!

ติงซานเหอหายใจหอบ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สีหน้าดูอึมครึมหาใดเทียบ

พูดตามจริงก่อนหน้านี้เขาก็ตกใจ จนกระทั่งตอนนี้ในใจยังหลงเหลือความหวาดผวาอยู่บ้าง

“ครั้งแรก เขาสังหารหงหลิงด้วยศรเดียว ทำให้จี้ชิ่งบาดเจ็บด้วยการโจมตีเดียว”

“ครั้งที่สอง เขาจับเล่อมู่จิ้นแล้วหนีไปได้อย่างปลอดภัย”

“ครั้งนี้ เขา… สังหารอริยะ…”

อริยะคนหนึ่งสีหน้าตะลึงงัน มือไม้สั่นระรัว “พวกเราเหมือนจะไปแหย่… มดที่ไม่ควรไปยั่วยุ มดตัวนี้ที่ถึงกับสามารถสังหารอริยะ…”

ติงซานเหอกับจี้ชิ่งสบตากันครั้งหนึ่งแล้วต่างหนาวสั่นไปครู่หนึ่ง

พอคิดดูโดยละเอียด ก่อนหน้านี้พวกเขาคล้ายจะบีบให้หลินสวินอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ไม่อาจหลุดพ้นจากความยากลำบากได้ แต่ผลลัพธ์ก็คือฝั่งพวกเขากลับเสียหายหนัก!

“ทำอย่างไรดี”

จี้ชิ่งทอดสายตามองไปยังติงซานเหอ

หากเป็นไปได้ ติงซานเหอต้องการจากไปโดยไม่ลังเลสักนิด ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหลินสวินโดยสมบูรณ์อย่างแน่นอน คนผู้นี้ก็คือสัตว์ประหลาดที่เย้ยฟ้าคนหนึ่ง ไม่อาจประเมินได้ด้วยสามัญสำนึก

แต่ตอนนี้เขาไปไม่ได้จริงๆ

เพราะเล่อเซวี่ยซิวกำลังจะมาถึงแล้ว!

‘ถ้ารู้แต่แรก ก็คงไม่ตามเล่อมู่จิ้นมาฆ่าเด็กนี่…’

ติงซานเหอลอบทอดถอนใจในใจ รู้สึกเหมือนขี่หลังเสือ จะรุกจะถอยก็ยากไปหมด

“ช่างเถอะ รอเล่อเซวี่ยซิวมาแล้วแจ้งไปตามจริง ถ้าเขาจะกล่าวโทษ… หึ เช่นนั้นก็ให้เขาลงมือดีกว่า!”

ติงซานเหอกัดฟันพูด

จี้ชิ่งกับอริยะอีกคนหนึ่งก็ลอบทอดถอนใจครู่หนึ่ง

ตอนนี้ก็ทำได้เท่านี้แล้ว

……

“นายท่าน ได้ยินเจ้าพวกนั้นพูดว่าอีกสามเดือนแดนลับนรกโลกันตร์จะเปิด วาสนาบรรลุมกุฎอริยะจะปรากฏขึ้น”

ในแดนลับวังใต้ดิน เสี่ยวอิ๋นเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้

หลินสวินกำลังกำหนดปราณ ฟื้นฟูพลังอย่างเต็มที่ พอได้ยินวาจาก็พูดว่า “แดนลับนรกโลกันตร์ข้ารู้จัก จะมาเยือนหลังจากสมรภูมิเก้าดินแดนเปิดได้สามเดือน”

มาสมรภูมิเก้าดินแดนคราวนี้ หลินสวินมีเป้าหมายสำคัญอย่างเดียวคือบรรลุมกุฎอริยะ

ตอนอยู่ที่ตำหนักจักรพรรดิหมื่นเคราะห์ในป่าต้นหม่อน ชายหนุ่มจักจั่นทองเคยชี้แนะเขาว่าจุดเปลี่ยนบรรลุอริยะของเขาไม่ได้อยู่ที่ป่าต้นหม่อน แต่อยู่ที่สมรภูมิเก้าดินแดน

ดังนั้นก่อนมาสมรภูมิเก้าดินแดน หลินสวินจึงได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับการ ‘บรรลุมกุฎอริยะ’ มาหลายเรื่องแล้ว

สมรภูมิเก้าดินแดนพิเศษนัก เป็นโลกในมิติที่กระจายอยู่ระหว่างเก้าดินแดนใหญ่แห่งหนึ่ง

ในโลกนี้มีความพิสดารและอันตรายมากมายกระจายตัวอยู่ ทั้งยังมีโลกใบเล็กแดนลับหลายแห่งอยู่ภายใน

โลกเล็กแดนลับบางแห่งถูกเมธีมากมายสำรวจและพิสูจน์ว่ามีวาสนาบรรลุมกุฎอริยะถือกำเนิดขึ้น ตั้งแต่การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนแล้ว

แดนลับนรกโลกันตร์แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น!

แดนลับแห่งนี้จะปรากฏขึ้นหลังจากสมรภูมิเก้าดินแดนเปิดได้สามเดือน ตำแหน่งที่ตั้งก็คือพื้นที่ศูนย์กลางของสมรภูมิเก้าดินแดนที่อยู่ในโลกรกร้างโบราณ

ถึงตอนนั้นแดนลับนี้ก็จะเปิดออก มีเพียงผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎที่มีระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าขั้นสมบูรณ์เท่านั้นถึงมีโอกาสเข้าไปภายใน

ผู้แข็งแกร่งที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข จะถูกกีดกันให้อยู่ข้างนอกทั้งหมด

อันคำว่าเดิมคนไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีโทษ ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งแรก สาเหตุที่ดินแดนรกร้างโบราณถูกแปดดินแดนร่วมมือกันกดข่ม สาเหตุใหญ่ๆ ข้อหนึ่งก็เป็นเพราะช่วงชิงโอกาสเข้าไปในแดนลับนรกโลกันตร์

นอกจากแดนลับนรกโลกันตร์แล้ว อีกหนึ่งปียังจะมีแดนลับอื่นอีกหลายแห่งปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบางแห่งเกี่ยวข้องกับการบรรลุมกุฎอริยะ

บ้างก็เกี่ยวข้องกับมรดก สมบัติและวิชาลับ ล้วนกักเก็บศุภโชคที่สามารถทำให้อริยะยังอิจฉาตาร้อนเอาไว้

เรื่องเหล่านี้หลินสวินแจ้งแก่ใจมานานแล้ว

พอเขาเล่าเรื่องพวกนี้ให้เสี่ยวอิ๋นฟัง ฝ่ายหลังก็พูดอย่างอดไม่ได้ว่า “นายท่าน ถ้าพวกเราติดอยู่ที่นี่ จะไม่พลาดโอกาสเข้าสู่แดนลับนรกโลกันตร์หรือ”

หลินสวินไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยว่า “วิถีแจ้งมรรคของข้าแตกต่างจากพวกเขา ไม่หาวาสนา ไม่อาศัยศุภโชค รอเพียงจุดเปลี่ยนที่เหมาะสมครั้งหนึ่ง”

สมัยอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณหลินสวินก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าจะเข้าไปในแดนลับนรกโลกันตร์ได้หรือไม่

อีกทั้งในแดนลับวังใต้ดินอันพิศวงแห่งนี้ ยังมีการเคี่ยวกรำและการทดสอบมากมายอยู่

เช่นการเคี่ยวกรำในหอยอดมรรค ทำให้สภาวะจิตของหลินสวินแปรสภาพ

ด้วยการเคี่ยวกรำของหอยอดมรรค ทำให้พลังมหามรรคทั้งปวงที่หลินสวินครอบครองสัมพันธ์กันดั่งแขนสั่งการนิ้ว ร้องเรียกหากัน สร้างรากฐานของร่างมรรค

สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างอะไรกับวาสนาต่างๆ

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีต้นบรรพชนหลอมจิตที่ไม่ธรรมดาต้นหนึ่ง และยังมีซากศพอสูรอริยะอากาศระดับกึ่งจักรพรรดิร่างหนึ่งด้วย!

หากเป็นไปได้ หลินสวินถึงกับอยากอยู่ฝึกตนที่นี่ รอให้จุดเปลี่ยนแจ้งมรรคระดับมกุฎอริยะมาเยือน

เปรียบดั่งยามข้าเบ่งบาน สุคนธาจะมาเอง!

“เสี่ยวอิ๋น เจ้าตั้งใจฝึกฝนดีๆ รอหลังข้าบรรลุมกุฎมรรคา จะต้องเสาะหาวาสนาที่ทำให้บรรลุระดับมกุฎอริยะมาให้เจ้าสักชิ้น”

หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยกับเสี่ยวอิ๋น

‘นายท่าน ข้าด้วย’

ทันใดนั้นคลื่นเสียงเย็นเยียบใสกังวานของผีเสื้อมารแยกฟ้าก็ดังขึ้นในโสตประสาทของหลินสวิน

‘รอหลอมพลังห้วงอากาศที่อยู่ในโครงกระดูกนี้ได้ ก็จะทำให้ข้าแปรสภาพถึงระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้า ถึงตอนนั้นก็ต้องเตรียมตัวสำหรับระดับมกุฎอริยะเช่นกัน’

ได้ยินดังนั้น หลินสวินกับเสี่ยวอิ๋นก็มองหน้ากัน พากันหมดคำพูด

ไม่มีอะไรอื่น นอกจากผีเสื้อมารแยกฟ้าแปรสภาพรวดเร็วเกินไปแล้ว กระทบกระเทือนจิตใจพวกเขานัก!

ควรรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือเสี่ยวอิ๋น ในช่วงหลายปีมานี้ผ่านความทรมานและการเข่นฆ่าไม่รู้เท่าไรเพื่อเสาะแสวงมรรคา

ต้องผ่านความยากลำบากถึงได้ประสบความสำเร็จในวันนี้

แต่ดูผีเสื้อมารแยกฟ้านี่สิ เพิ่งตื่นจากการเก็บตัวเงียบไม่ทันไร เพียงเพราะเจอซากศพอสูรอริยะอากาศระดับกึ่งจักรพรรดิ ก็มีความคิดจะบรรลุมกุฎอริยะแล้ว!

“นายท่าน แม้จะกระทบกระเทือนจิตใจ แต่ท่านอย่าใส่ใจ เสี่ยวเทียนจำศีลเก็บตัวเงียบไม่รู้นานเท่าไร ตอนนี้เพิ่งตื่นขึ้นมา จะเลื่อนระดับไวเสียหน่อยก็เข้าใจได้”

เสี่ยวอิ๋นเอ่ยปลอบใจ

หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ข้ายังต้องให้เจ้าปลอบด้วยหรือ”

ต่อมาหลินสวินก็ทุ่มเททั้งกายใจเข้าสู่การฝึกตน

ในการโจมตีคราวก่อน การโจมตีเดียวฆ่าอริยะไปคนหนึ่ง ดูเหมือนปราดเปรียวตรงไปตรงมา แต่ความจริงแล้วใช้พลังของเขาจนหมด

ทว่านี่ก็พิสูจน์เรื่องหนึ่งเช่นกัน นั่นคือภายหน้าต่อให้เผชิญหน้ากับอริยะแท้ทั่วไปคนหนึ่ง หลินสวินก็แน่ใจอย่างยิ่งว่าจะฆ่าเขาได้!

สำหรับตอนนี้ หลินสวินรู้ดีว่าหลังจากสังหารอริยะ พวกติงซานเหอย่อมระแวดระวังถึงที่สุด คิดจะลอบจู่โจมพวกเขาอย่างคราวก่อนอีกครั้งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไปแล้ว

เขาคิดจะฝึกตนสักพักหนึ่ง

เรื่องเดียวในใจที่ยังปล่อยวางไม่ได้ก็คือไม่รู้ว่าตอนนี้พวกจ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่อยู่ที่ใด และประสบกับอันตรายอะไรหรือไม่

……

โลกต้าหลัว

ส่วนลึกที่สุดของบึงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกกระดำกระด่างแห่งหนึ่ง

ฉึบ!

แสงท่องสายหนึ่งแล่นผ่านภายในนั้นอย่างเงียบเชียบ

คนผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งเผ่าวานรขาวเนตรเพลิงคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์ทั้งตัว รูปลักษณ์เหี้ยมโหด ท่าทางเก่งกล้าแข็งกระด้าง สะพายกระบี่กระดูขนาดมหึมาไว้ที่หลัง

‘คนเผ่าข้าสิบเก้าคนหลังเข้าไปใน ‘บึงกระดำกระด่าง’ ก็หายลับไปหมด ต้องประสบเหตุไม่คาดฝันอะไรแน่’

ยามชายชุดหนังสัตว์กำลังครุ่นคิด

ในบึงพลันมีดวงอาทิตย์สีดำดวงหนึ่ง ดวงจันทร์สีขาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ดำขาวขับเน้นกัน ปกคลุมเงาร่างของชายในชุดหนังสัตว์ไว้ภายในเหมือนหินโม่สีขาวดำคู่หนึ่ง

แย่แล้ว!

เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที ต่อต้านด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็ถูกบดขยี้เป็นก้อนเลือดเนื้อร่วงผล็อยลงไปในบึง

ส่วนลึกของบึง เจ้าคางคกยิ้มเบิกบาน มือไม้กวาดทรัพย์หลังศึกอย่างว่องไว

ส่วนอาหลู่เก็บกวาดร่องรอยการต่อสู้อยู่อีกด้านหนึ่ง

ไม่นานนักนัยน์ตาทองของเจ้าคางคกส่องประกายเจิดจ้า พึมพำว่า “อาหลู่ พวกเราควรเปลี่ยนที่ได้แล้ว หาไม่พวกร้ายกาจระดับอริยะมาสักคน พวกเราสองคนจบเห่แน่”

“ไปไหนล่ะ”

อาหลู่ถาม

“โลกรกร้างโบราณ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปในแดนลับนรกโลกันตร์”

เจ้าคางคกพูดอย่างไม่ลังเล

“แต่ที่นี่คือโลกต้าหลัว อาณาเขตของผู้ฝึกกระบี่ เกิดพวกเราถูกศัตรูพบเข้ากลางทาง…”

“กลัวอะไร งั้นก็เล่นแม่งมันสิ!”

“เออ!”

ครู่ต่อมาทั้งสองก็ออกเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ

……

ธาราหลั่งไหล วิหคขับขานบุปผาแย้มบาน ไกลออกไปเขาเขียวน้ำใส ท้องนภาไพศาล

บนทางเส้นน้อยกลางป่า จ้าวจิ่งเซวียนตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ พอได้เห็นทิวทัศน์บริเวณใกล้เคียงอันสงบร่มเย็นดุจภาพวาดเหล่านั้น ก็ยังคงเหม่อลอยอย่างอดไม่ได้ไปครู่หนึ่งดังเดิม

หลังจากเข้าสู่สมรภูมิเก้าดินแดน นางก็ถูกเคลื่อนย้ายมายังฟ้าดินแห่งนี้

แรกเริ่มเดิมทีนางยังตื่นตัวไม่หยุด เคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง

แต่กระทั่งตอนนี้ผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว อย่าว่าแต่ประสบอันตราย เงาคนสักคนยังไม่พบ

ท่ามกลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่ ก็มีเพียงนางผู้เดียวดำรงอยู่โดยลำพัง!

ที่นี่ที่ไหน

จ้าวจิ่งเซวียนครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้มาหลายครั้งแล้ว

——