ถึงขั้นเป็นเฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมเต๋าสีเขียว
ใบหน้าแก่กว่าเฉินผิงอันตัวจริงเล็กน้อย
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ คำพูดประโยคนี้
คาดว่าเซียนลัทธิเต๋าทุกคนในใต้หล้ามืดสลัวคงไม่ใคร่จะยินดีได้เห็น ไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินเท่าใดนัก
เซอเยว่ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของภาพมายา ‘นักพรตวัยกลางคน’ ผู้นั้น ทว่าต่อให้รู้ เกรงว่านางเองก็คงไม่ได้คิดอะไรมากอยู่เหมือนเดิม
เรื่องของการล้ำเส้น ตัวนางเองเคยทำน้อยเสียเมื่อไหร่
ตัวอย่างเช่นตอนที่นางเหยียบสายรุ้งเดินไปถึงจุดโค้งสูงสุดก็เปลี่ยนรูปโฉมเป็นเจ้าอารามดอกบัว ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดลงบนความว่างเปล่า
กลางอากาศเหนือนครใหญ่ ทะเลเมฆมารวมตัวกลายเป็นฝ่ามือที่ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก ฝ่ามือมีใบบัวเรียงติดต่อกัน แสงจันทร์ใสกระจ่าง แสงจันทร์กับใบบัวสีเขียวอิงแอบแนบชิด จากนั้นฝ่ามือก็พลันกลายเป็นสระดอกบัว ก่อนที่ดอกบัวสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนจะพากันเบ่งบาน
เฉินผิงอันที่เป็นนักพรตเต๋าวัยกลางคนชำเลืองตามองฝ่ามือที่ร่วงลงมาและดอกบัวที่บานอยู่ในสระแวบหนึ่ง ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “ความยิ่งใหญ่ของมหามรรคาหาใช่อยู่ที่ความใหญ่ของสรรพสิ่ง เล็กแล้ว เล็กเกินไปแล้ว”
นักพรตเอามือข้างหนึ่งไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา พลันนั้นก็ทำมุทราแล้วดีดนิ้วหนึ่งที
แสงสีทองจุดหนึ่งค่อยๆ บินทะยานขึ้นสูง
พลังอำนาจของฟ้าร้องสะเทือนเลือนลั่นยามที่สระดอกบัวร่วงลงมา ดุจดั่งขุนเขากดทับเหนือศีรษะ ยิ่งใหญ่เกรียงไกรน่าเกรงขาม
ดอกบัวทุกดอกที่บานอยู่ในสระจะมีเสาลำแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งสาดยิงลงมา
ส่วนแสงสีทองของนักพรตวัยกลางคนกลับส่ายไหวโงนเงนเหมือนนกที่พยายามจะกระพือปีกบินท่ามกลางพายุฝน เผชิญหน้ากับฝนตกกระหน่ำสีขาวโพลนนั้นก่อนใคร
นักพรตเฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จงมารับคำสั่ง ณ บัดนี้ ไป!”
แสงสีทองจุดนั้นพลันหายวับไป ก่อนมาหยุดอยู่บนหลังมือของฝ่ามือใหญ่ที่ฝ่ามือหันสู่เบื้องล่าง
มีกบมายืนอยู่ด้านบนนานแล้ว (มาจากบทกลอนว่า บัวน้อยเพิ่งผุดยอดตูมเต่ง กลับมีกบมายืนอยู่บนยอดนานแล้ว)
ไม่ว่าจะเป็นแรงสะเทือนยามที่แสงรุ้งเจ็ดสีกับธงเซียนกระบี่ปะทะกัน หรือพลังอำนาจยามมือข้างนั้นซึ่งเป็นดั่งขุนเขาใหญ่กดทับลงมา
การปรากฏตัวของแสงสีทองจุดนี้ไม่มีภาพบรรยากาศแห่งฟ้าดินใดๆ ให้เอ่ยถึง ตามหลักแล้วย่อมไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย
แต่ตอนที่จุดแสงสีทองหยุดอยู่บนหลังมือกลับทำให้พายุฝนสีขาวหิมะนั้นหวนกลับไปยังทางเก่า ดอกไม้ผลิบานก่อน จากนั้นก็ไม่เบ่งบานอีก ฝ่ามือที่ร่วงลงไปก็ยิ่งถอยร่นกลับมา
แม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลย้อนกลับ
กลับกลายเป็นเหมือนการประชันมรรคกถาระหว่างนักพรตวัยกลางคนกับเจ้าอารามดอกบัว
เซอเยว่สะบัดข้อมือเก็บวิชาอภินิหารที่เคยเห็นมาสองสามครั้งแล้วเรียนรู้มาได้คร่าวๆ นั้นกลับมา มือใหญ่จึงหายไปจากกลางอากาศ
ยังคงวางความคิดจิตใจไว้บนธงเซียนที่ไหวโอนเอนนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเท่านั้น ผู้ฝึกตนเองก็สามารถใช้กำลังของคนคนหนึ่งลดทอนกำลังของศัตรูสิบคนได้เช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่คนนี้หยุดเดิน กวาดตามองไปรอบด้าน
สูงชันอันตราย ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ห้านครสิบสองหอเรือน
สายฟ้าเป็นกลุ่มๆ ห่อหุ้มพลานุภาพสวรรค์อันเกรียงไกรกระแทกลงบนพื้นดินที่อยู่ในอาณาเขตของป๋ายอวี้จิง สลายร่างแสงจันทร์ของปีศาจไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เพียงแต่ว่าธงเซียนกระบี่ถูกสายรุ้งสยบกำราบ จำนวนของเซียนกระบี่ที่เดินออกมาก่อนหน้านี้มีน้อยเกินไป เป็นเหตุให้แสงกระบี่สังหารพวกผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ปีนกำแพงเมืองได้ไม่หมดสิ้น เซียนกระบี่ฟาดฟันกระบี่ไม่หยุด ทว่าเส้นทางการปีนสู่ฟ้าของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่กลับผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว
จากนั้นเซอเยว่ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเสี้ยวหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีความรู้สึกเช่นนี้
ในที่สุดเฉินผิงอันผู้นั้นก็ใช้วิชาก้นกรุของตัวเองแล้ว
หากเซอเยว่คาดเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหนึ่งในวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเขา!
เห็นเพียงว่าในป๋ายอวี้จิงมีผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันเรือนกายสูงเพรียวห้าคน บ้างก็สวมรองเท้าสานพกดาบ บ้างก็สะพายกระบี่ไว้ข้างหลัง บ้างก็ห้อยกาเหล้าไว้ตรงเอว บ้างก็ปักปิ่นหยก บ้างก็เป็นปัญญาชนสวมชุดสีเขียว
พวกเขาปรากฏตัวอยู่ในหอเรือนและนครที่สูงต่ำไม่เท่ากันของป๋ายอวี้จิงพร้อมกัน ร่างของเขาเองก็มีความสูงไม่เท่ากัน ทว่าเฉินผิงอันทุกคนล้วนสวมเสื้อผ้าหนึ่งในห้าสี
สังหารผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ที่ขอบเขตไม่สูงพอเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
“ช้าไปแล้ว ออกหมัดช้าเกินไปแล้ว!”
“อย่างกับกระดาษเปียก!”
“ผู้ฝึกยุทธถามหมัด หมัดอยู่บนร่างศัตรู อย่าได้เกาเบาๆ เช่นนี้!”
ผู้ฝึกยุทธเฉินผิงอันห้าคนออกหมัดไม่หยุด ต่อยให้ร่างของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่แต่ละคนแหลกสลาย บ้างก็หักคอ บ้างก็ใช้ฝ่ามือมีดปาดลงไปตรงๆ ผ่าร่างของเซอเยว่ออกเป็นสองท่อน
ช่างเป็นเถ้าแก่รองที่รักหยกถนอมบุปผาเสียจริง
แล้วก็มีเสียงทุ้มหนักอ่อนโยนจากฟ้าหล่นลงมาดังในทะเลสาบหัวใจของเซอเยว่
“แม่นางเซอเยว่ เจ้าเป็นเพื่อนบ้านกับเจ้าอารามดอกบัวมานาน แต่ข้ากลับไม่เคยพูดคุยกับอริยะลัทธิเต๋าที่พิทักษ์ม่านฟ้าแม้แต่ครึ่งคำ เหตุใดมรรคกถาในใจของเจ้าถึงได้เบาจนมิอาจต้านรับการโจมตีเช่นนี้”
“ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า หาอาจารย์ผู้สั่งสอนขั้นต้นมิสู้หาวิสุทธิจารย์ ไม่สู้เจ้ามากราบไหว้ข้าเป็นอาจารย์แล้วฝึกมรรคกถาดีไหมล่ะ? สามารถรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ไม่บันทึกชื่อไว้ได้ก่อน การรับลูกศิษย์ของข้า แต่ไหนแต่ไรมาธรณีประตูสูงเสมอ และการถ่ายทอดมรรคาให้คนอื่นของข้า อันที่จริงก็นับว่าไม่เลวเลย”
“การแสดงออกภายนอกของวิชาคาถาเจ้าก็หนีไม่พ้นเอาจิตวิญญาณของดวงจันทร์ดวงใหญ่มา ตั้งตัวเป็นเจ้าบ้านแล้วแยกร่างไปรับรองแขก รากฐานมหามรรคาล้วนต้องกลับมารวมเป็นหนึ่ง ไม่สู้แม่นางเซอเยว่มีความจริงใจสักหน่อย เอาวิชาอภินิหารที่แท้จริงมาเป็นของขวัญในการเยี่ยมเยือนดีไหมเล่า?”
เซอเยว่รำคาญคนผู้นี้ยิ่งนัก ความสามารถไม่น้อย แต่ชอบพูดจาเหน็บแนมระคายหูมากเกินไป
นางไม่เคยรำคาญใครขนาดนี้มาก่อนเลย
บางทีเจียงซ่างเจินสองคนกับใบหลิวหนึ่งใบที่ไล่ฆ่าไปหมื่นลี้ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความน่ารำคาญของเจ้าเฉินผิงอันผู้นี้
ส่วนเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดก็พลันเหยียบลงบนตัวอักษรสองคำของอักขระฟ้าบนตราประทับอาคมที่เขียนเป็นตัวสุดท้าย แต่กลับเป็นตัวแรกของอักขระยันต์
ก่อนหน้านี้ตัวอักษรที่เขาเขียน
คือเฉิน ลู่ สั่ง คำ
ถ้าอย่างนั้นอักขระยันต์ที่สมบูรณ์ก็คือ ‘คำสั่งลู่เฉิน’
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกระทืบลงบนสองคำว่า ‘ลู่เฉิน’ หนักๆ แล้วโบกมือเป็นวงกว้าง หัวเราะก้องพลางเอ่ยว่า “เจ้าไปได้!”
ลู่ เฉิน อักษรสองคำขยับขึ้นไปที่มุมบนซ้ายและมุมล่างขวาก่อน จากนั้นตัวอักษรอีกสองคำว่าคำสั่งก็ขยับไปอีกสองมุมที่เหลือ
ตราประทับห้าอสนีหกเต็มชิ้นหนึ่ง ในที่สุดก็ได้รับการเสริมชดเชยจนไร้ช่องว่าง
ในใจของเซอเยว่สั่นสะท้านเล็กน้อย รู้ดีว่าท่าไม่ดีแล้ว
ตราประทับอาคมห้าอสนีที่ประหนึ่งกรมสายฟ้ากองงานสวรรค์เปิดประตูออกกว้าง แสงสว่างเจิดจ้าจึงกรูกันออกมาชิ้นนั้น ใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อร่วงดิ่งลงมาเบื้องล่าง แล้วทำการผสานกลืนกับหัวกำแพงเมือง กับมรรคา
เป็นเหตุให้ภาพจำแลงมายาเกือบครึ่งหนึ่งของเซอเยว่ถูกกักตัวอยู่ในอักษรสี่ตัว ‘คำสั่งลู่เฉิน’ ที่เป็นฟ้าดินสี่ทิศในเวลาเดียวกันเพียงชั่วพริบตา
ผู้ฝึกตนเซอเยว่ที่ยืนอยู่บนยอดสูงสุดของเส้นรุ้งก็ยิ่งค้นพบว่ากระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะใช้วิธีการพื้นฐานหลังจากการผสานรวมกับกำแพงเมืองปราณกระบี่มาตัดขาดฟ้าดิน
ขณะเดียวกันก็เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่กระโจมเจี่ยจื่อยังไม่รู้ชื่อ แต่กลับรู้วิชาอภินิหารคร่าวๆ ออกมา
ฟ้าดินเล็กสามแห่งกักตัวเซอเยว่ไว้ครึ่งหนึ่ง
เซอเยว่ถอนหายใจเบาๆ เจ้าคนน่ารำคาญผู้นี้มีวิธีการที่น่าหงุดหงิดใจยิ่งกว่าอยู่จริงเสียด้วย
เกี่ยวกับตราผนึกฟ้าดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอิ่นกวานเล่มนั้น นางรู้ชัดเจนอยู่ในใจมานานแล้ว แล้วก็คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าตราประทับจันทร์เต็มดวงวิชาห้าอสนีที่สามารถเพิ่มอานุภาพการโจมตีให้กับผู้ใช้ได้ชิ้นนี้จะถูกเฉินผิงอันนำมาหล่อหลอมจนกลายเป็นกรงขังแห่งหนึ่งได้
เซอเยว่ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มไต่มาบนป๋ายอวี้จิง ไม่ใช่เซ่อเยว่ผู้ฝึกตนที่สวมชุดไฉ่อีเจ็ดสีรับหน้าที่คอยเก็บแสงจันทร์ทั้งหมดมา แล้วกลายร่างเป็นหญิงสาวหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายอีกครั้ง
ร่างของนางได้อยู่ในฟ้าดินเล็กของกระบี่บินนกในกรงเรียบร้อยแล้ว
ตราประทับหล่นลงพื้น แสงสายฟ้าหายไป ฟ้าดินเปลี่ยนมาเป็นมืดสลัว
ประหนึ่งพื้นที่หุ้นตุ้นในยามที่ฟ้าดินยังไม่เปิดออก (ชาวจีนเชื่อว่ายุคที่โลกยังไม่ถูกบุกเบิก จักรวาลอยู่ในลักษณะกลุ่มก้อนของความขุ่นมัว มืดสลัว)
แม้กระทั่งป๋ายอวี้จิงโอฬาร ธงเซียนกระบี่ นักพรตวัยกลางคน เฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธห้าคนล้วนหายไปไม่มีหลงเหลืออยู่อีก
คนหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดผู้นั้นถือดาบแคบไว้ในมือ ใช้มันเคาะไหล่ของตัวเองเบาๆ พลางไถลตัวจากแผ่นฟ้ามายังหัวกำแพงเมืองอย่างเชื่องช้า คลี่ยิ้มเจิดจ้าสดใส “ต่อให้จะยังคงไม่สามารถสังหารแม่นางเซอเยว่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ต้องรั้งตัวแม่นางเซอเยว่สักคนไว้ที่หัวกำแพงเมืองให้ได้”
ปากของอิ่นกวานหนุ่มพูดจาเกรงใจมีมารยาท
ทว่าในฟ้าดินเล็กนกในกรงที่เต็มไปด้วยปราณกระบี่อึมครึมนี้
นอกจากบนเส้นทางที่เฉินผิงอันไถลตัวลงมาซึ่งกระบี่บินสลายตัวไปด้วยตัวเอง เปิดทางให้กับชุดคลุมอาคมสีแดงสดนั้นแล้ว ฟ้าดินทั้งแห่งในพื้นที่อื่นล้วนอัดแน่นเต็มไปด้วยกระบี่บินที่จัดวางขบวนหนาแน่นนับตั้งแต่ม่านฟ้าของฟ้าดินเล็กลงมา เป็นวงๆ เป็นชั้นๆ ปลายกระบี่ทั้งหมดล้วนหันเข้าหาเซอเยว่
ในรัศมีสิบจั้งรอบกายเซอเยว่ แสงจันทร์ดุจสายน้ำที่ขัดขวางกระบี่บินเหล่านั้นไว้ด้านนอก
เซอเยว่ถามอย่างสงสัย “เจ้าเปลี่ยนวิธีการใช้ตราประทับห้าอสนีนี้โดยพลการ ไม่เสียดายหรือว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้ตราประทับอาคมชิ้นหนึ่งที่เดิมทีมีหวังจะเป็นอาวุธเซียน ไม่เพียงแต่อยู่ห่างจากสภาวะสมบูรณ์แบบ พลานุภาพในการโจมตีลดลง แล้วยังจะทำให้มันสูญเสียโอกาสที่จะกลายเป็นตราประทับสืบทอดของสำนักอักษรจงไปด้วย?”
เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด คล้ายกำลังบอกว่าแม่นางเซอเยว่คำถามของเจ้าใหญ่เกินไป ตอบได้ยากยิ่งนัก
เซอเยว่ถามอย่างใคร่รู้ “หรือว่าไม่ใช่แบบนี้?”
เฉินผิงอันหยุดมือที่เคาะดาบลง แบกดาบแคบพิฆาตไว้บนไหล่ พูดบ่นว่า “แม่นางเซอเยว่ เจ้าและข้าถูกชะตากัน ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าดูแคลนตัวเองเช่นนี้ เซอเยว่ครึ่งหนึ่งก็ดี เกือบครึ่งหนึ่งก็ช่าง จะไม่มีค่าพอสำหรับตราประทับอาคมสืบทอดของสำนักสักชิ้นเลยหรือ?”
เซอเยว่รู้สึกตำหนิตัวเองเล็กน้อย เอ่ยว่า “เป็นเพราะวิธีการใช้ยันต์ของเจ้าที่แปลกประหลาดเกินไป ข้าเดาไม่ออกว่าตราประทับอาคมชนิดหนึ่งจะสามารถแปลกประหลาดได้ถึงเพียงนี้”
เฉินผิงอันพลันถามคำถามที่ประหลาดยิ่งกว่า “คนผู้หนึ่งตำหนิกล่าวโทษตัวเอง จะต้องตายหรือไม่?”
เอาอีกแล้ว!
เซอเยว่ยกสองมือตบข้างแก้มตัวเองแรงๆ
กำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งที่ไม่มีเฉินชิงตูเฝ้าพิทักษ์แห่งนี้ ต่อให้วิธีการของเจ้าเฉินผิงอันขอบเขตหยกดิบจะประหลาดมากแค่ไหน จะร้อยเรียงเชื่อมโยงเป็นทอดๆ แค่ไหน แต่คิดว่าจะขัดขวางการเดินทางไกลของพระจันทร์ดวงหนึ่งได้จริงๆ หรือ?
เฉินผิงอันเหน็บดาบแคบพิฆาตไว้ตรงเอว หุบยิ้ม ลอยตัวนิ่งอยู่กลางอากาศ สองนิ้วมือของมือซ้ายประกบกันแล้วดันไปบนความว่างเปล่าตรงฝั่งขวาเบื้องหน้าเบาๆ
สุดท้ายมีแสงสว่างเลือนรางเหมือนแสงตะเกียงดวงหนึ่งผุดขึ้นมา
สองนิ้วของเฉินผิงอันค่อยๆ ปาดจากทางขวาไปทางซ้าย
เฉินผิงอันหรี่ตาสองข้างลง จ้องดวงไฟจุดนั้นเขม็ง มันพลันแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างเส้นหนึ่งที่ยิ่งนานก็ยิ่งสว่างจ้า สุดท้ายคล้ายกระบี่เล่มหนึ่ง
ในฟ้าดินเล็กร่างมนุษย์ มีคนจิ๋วสีทองตนหนึ่งกุมด้ามกระบี่ไว้เบาๆ มันขี่อยู่บนมังกรเพลิง ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันก็คอยแหงนหน้ามองฟ้า บนท้องฟ้ามีพระจันทร์อยู่ดวงหนึ่ง
ส่วนด้านหลังของเฉินผิงอันก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทองที่หยัดยืนตระหง่านระหว่างฟ้าดิน ก็คือกายธรรมร่างทองของเฉินผิงอัน แต่กลับสวมชุดคลุมของลัทธิเต๋า ใบหน้าเป็นวัยกลางคน
ฟ้าดินสี่ด้าน สี่อักษรกลับมารวมตัวกันอยู่ในจุดหนึ่ง
มีเฉินผิงอันที่เป็นเด็กหนุ่มปักปิ่นหยกเหยียบอยู่บนตัวอักษรสองตัวในนั้น รอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจจนแทบจะใกล้เคียงกับความลำพองใจ มีมาดของความองอาจซื่อตรงดุจดั่งคำว่าข้าผู้เป็นบัณฑิต หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร
เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานเหยียบอยู่บนอักษรสองคำว่าลู่เฉิน บนมวยผมปักปิ่นหยก ห้อยตราประทับอักษรน้ำชิ้นหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ผสานมรรคากับฟ้าดินได้ขอบเขตหยกดิบปลอมมา เขาอยู่ที่นี่คนเดียวจึงคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยวุ่นวาย พึมพำอยู่คนเดียว ไปไหนมาไหนตัวคนเดียว
ใช้โอสถทองที่แตกสลายเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาของผู้ฝึกยุทธ อยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ สุดท้ายสร้างโอสถกลายเป็นโอสถทอง ท้ายที่สุดจึงได้กลายไปเป็นคนรุ่นเดียวกับข้าในสายตาของเทพเซียนบนภูเขาทั้งหลาย
ทั้งยังอ่านตำราหมัด ‘วิชาเขย่าขุนเขา’ ตำรายันต์ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ และ ‘คัมภีร์กระบี่ดั้งเดิม’ ที่ชื่อตำราบอกชัดตรงไปตรงมาจนจำได้ขึ้นใจ
ยังเหลือช่องโพรงลมปราณอีกหนึ่งแห่งที่เปิดจวนเรียบร้อย แต่กลับยังไม่ได้เอาวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่ผ่านการหลอมใหญ่แล้วไปวางไว้
ยังเหลืออีกหนึ่งที่หวนคืนบ้านเกิด
ดวงตะวันลาลับไปทางทิศตะวันตก บุปผาบนคันนาเบ่งบานรอเจ้ากลับคืนบ้านเกิด
แสงจันทร์รอบกายของเซอเยว่ยิ่งนานก็ยิ่งสว่างแจ่มจ้า สีของดวงจันทร์ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกที
ค่ายกลใหญ่กระบี่บินที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตดวงจันทร์ใต้บ่อเป็นชั้นๆ หลังจากถูกแสงจันทร์ชั้นหนึ่งราดรดมาโดนก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที ร่างของเซอเยว่ถูกปกคลุมอยู่ในแสงจันทร์ ประหนึ่งดวงจันทร์เล็กจิ๋วที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ บินทะยานขึ้นฟ้าไปกลายเป็นดวงจันทร์ดวงโต
เพียงแต่ว่าจู่ๆ เซอเยว่ก็ขมวดคิ้ว ค่ายกลกระบี่แต่ละชั้นถูกกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนทำลายให้ย่อยยับ แต่ลางสังหรณ์บอกนางว่ากระบี่บินของอีกฝ่ายถูกทำลายก็จริง แต่กระบี่บินเล่มจริงเพียง ‘หนึ่งเดียว’ นั้นกลับคล้ายกำลังอาศัยแสงจันทร์แห่งชะตาชีวิตของนางในนี้มาทำการหล่อหลอมตัวเองอย่างเงียบเชียบ!
เซอเยว่จึงหยุดยั้งความคิดเอาไว้ทันที ล้มเลิกความคิดที่จะใช้แสงจันทร์ฝืนทำลายค่ายกลและตราผนึกสามชั้นเพื่อหนีไป
ต่อให้ตอนนี้เฉินผิงอันจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่หนึ่งกระบี่ของเขาจะแข็งแกร่งได้สักปานใดกัน ในความเป็นจริงแล้วจุดที่กระบี่บินพันหมื่นเล่มนี้ชี้ไปก็คือ ‘เซอเยว่’ ตัวจริง จริงๆ หรือ?
นางเริ่มเก็บแสงจันทร์มา บริเวณใกล้กับร่างของนาง ยิ่งนานแสงจันทร์ก็ยิ่งรวมตัวกันเข้มข้น
ลองดูสิ? ลองฆ่าข้าดูสิ?
เฉินผิงอันพลันกุมด้ามกระบี่แล้วปาดกระบี่เป็นแนวขวางไปเบื้องหน้า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังเขาก็ทำแบบเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน
เซอเยว่ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าร่างของเจ้าซ่อนอยู่ตรงไหนจริงๆ หรือ?
ข้ามองเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เจ้าก็ไม่ควรมองข้าเป็นคน
มาอยู่ตรงหน้าข้า เป็นศัตรูกับข้า ขอเจ้าโปรดระมัดระวังให้มาก
หนึ่งกระบี่บั่นดวงจันทร์ในใจข้า
เชิญเจ้าปรากฏตัว
แล้วใช้อีกกระบี่ฟันร่างจริงของเจ้า
เชิญเจ้าให้ไปตาย
ข้ามีกระบี่ให้ต้องถาม ขอฟ้าดินโปรดให้คำตอบ โดยเริ่มจากดวงจันทร์เป็นอย่างแรก