บทที่ 715.3 ออกสองกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เซอเยว่ผู้นั้นปลดดวงจันทร์บนฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ แล้วก็ตรงดิ่งมาที่หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามเหมือนคนสติไม่ดี นี่ทำให้หลีเจินไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ตนเอาชนะสตรีผู้นั้นไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือไม่ว่าจะชาติกำเนิดหรือพื้นฐานตระกูล อีกฝ่ายล้วนไม่แย่

มีเพียงหลีเจินอยู่ในช่วงสภาวะพรั่งพร้อมสูงสุดเท่านั้นถึงจะสามารถแลกชีวิตกับเซอเยว่ในโลกมนุษย์ได้ ใบหน้ากลมๆ นั้นของนางก็ไม่เป็นที่ชื่นชอบมากพออยู่แล้ว ท่าทางที่ไม่ยี่หระกับเรื่องใดของนาง สีหน้าประมาณว่าใครก็อย่ามากวนใจข้าเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้หลีเจินอิจฉาจนถึงขั้นริษยา

หลีเจินรีบขี่กระบี่บินทะยานมาอยู่บริเวณใกล้เคียงกับชุดคลุมสีเทาตรงหน้าผา แล้วก็บ่นด้วยความไม่พอใจ “ทำไมไม่ขวางเซอเยว่? เป็นจุดศูนย์รวมแห่งโชคชะตา ได้รับเงื่อนไขพิเศษก็ร้ายกาจนักหรือ? สามารถเด็ดดวงจันทร์ดวงหนึ่งลงมาจากบนฟ้าได้ก็สามารถทำลายกฎของกระโจมเจี่ยจื่อได้ตามใจชอบแล้วหรือ? ให้ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเรารั้งตัวนางไว้แล้วพูดคุยกับนางอย่างเต็มที่ ไม่เท่ากับว่าความคิดและจิตใจมากมายที่ข้ากับท่านทุ่มเทล้วนลอยหายไปกับสายน้ำหรือไร?”

ทุกวันนี้หัวกำแพงเมืองอีกครึ่งหนึ่งที่หลีเจินกับหลงจวินยืนอยู่ในเวลานี้ ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่เดินทางไปที่ใต้หล้าไพศาลกันเกือบหมดแล้ว หลีเจินกลับยังอิดออดอยู่ที่นี่ ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนสุดท้ายของบรรพบุรุษใหญ่ของใต้หล้าแห่งนี้ เรียกได้ว่าขายหน้าภูเขาทัวเยว่จนสิ้นแล้ว ตอนที่ศิษย์พี่คนหนึ่งของหลีเจินผ่านทางมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ยังไม่คิดจะทักทายกับหลีเจินด้วยซ้ำ ทะยานลมข้ามหัวกำแพงเมืองไปโดยตรงเลย

หลงจวินใช้ปราณกระบี่เล็กละเอียดนับพันนับหมื่นเส้นรวบรวมขึ้นมาเป็นเรือนกายอันพร่าเลือน ผู้เฒ่ายกชายแขนเสื้อขึ้นชี้ไปยังดวงจันทร์ที่เหลือเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้า เอ่ยว่า “ก็ยังเหลืออีกดวงหนึ่งไม่ใช่หรือ เจ้ามีปัญญาก็เอาลงมาสิ ข้าก็จะให้เจ้าได้ไปเดินเตร็ดเตร่ที่หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามเหมือนกัน เจ้าจะเล่นสนุกตามใจชอบอย่างไรก็ได้”

ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ แน่นอนว่าต้องเป็นลูกรักแห่งสวรรค์สมชื่อของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่เหนือคนกลุ่มนี้ไปยังมีคนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งที่สถานะถูกปิดบังเอาไว้ อายุไม่มาก ตำแหน่งฐานะสูงส่ง ไม่ได้ถูกกระโจมเจี่ยจื่อบันทึกลงในเอกสาร

นอกจากสตรีหน้ากลมที่ทำให้หลีเจินบ่นไม่หยุด นายหญิงของดวงจันทร์ดวงหนึ่งบนท้องฟ้าแล้ว อันที่จริงยังมีเฝ่ยหราน อวี่ซื่อ จวินทาน โต้วโค่ว ฯลฯ

หลีเจินถอนหายใจ “หลงจวินเอ๋ยหลงจวิน ผู้อาวุโสเอ๋ยผู้อาวุโส ท่านกับข้าสนิมสนมผูกมิตรกันมานานหมื่นปีเช่นนี้ก็ควรจะทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยปกป้องมรรคาให้ข้า แล้วยังจะพูดจาทำร้ายน้ำใจกันอีก สุราเก่าแก่หนึ่งไหจะมีพอให้ท่านกระดกดื่มอึกใหญ่ได้สักกี่คำ? ไม่ว่าเรื่องอะไรเป็นคนก็ต้องเหลือพื้นที่ว่างไว้บ้าง สวรรค์ถึงจะไม่ไร้หนทางให้คนได้เดิน”

เด็ดดวงจันทร์ลงมายังโลกมนุษย์

เจ้าอารามดอกบัวที่ในอดีตหลอมแก่นดวงจันทร์ของดวงจันทร์หนึ่งในนั้นพอจะสามารถทำได้อย่างถูไถ เพียงแต่ว่าติดที่มีภูเขาทัวเยว่อยู่ จึงไม่กล้าทำ แน่นอนว่าทำไปแล้วก็ไร้ความหมาย พระจันทร์ไม่อยู่บนฟ้า ใช้ชัยภูมิมาแลกกับชะตาฟ้า ยังคงเป็นการค้าที่ขาดทุน ต้องสูญเสียตบะบนมหามรรคาอยู่ดี ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมากมายในใต้หล้าไพศาลมีจำนวนมากที่สุดในหลายๆ ใต้หล้า เจ้าอารามดอกบัวมีจิตใจทะเยอทะยาน หวังจะเอาดวงจันทร์ของแต่ละสถานที่มารวมกันให้เป็นหนึ่ง ถึงเวลานั้นนักพรตปีศาจเฒ่าก็จะผสานมรรคากับฟ้าอำนวยส่วนหนึ่ง ใช้ร่างจริงมาจำแลง ‘วิถีสวรรค์’ ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เหนือยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์

เล่าลือกันว่าก่อนที่จะเกิดสงครามใหญ่ โจวมี่เคยเดินทางไปบนฟ้า นั่งลงถกปัญหากับเจ้าอารามดอกบัว โจวมี่พูดคุยยิ้มแย้มอยู่ในดวงจันทร์บอกว่า ปีนี้ไม่แน่ว่าต้องแพ้ให้อดีต คนยุคปัจจุบันไม่แน่ว่าต้องแพ้ให้คนยุคโบราณ

น่าเสียดายก็แต่กระแสสายลมมักจะถูกสายฝนชำระล้างอยู่เสมอ เจ้าอารามดอกบัวที่น่าสงสารไม่ได้เห็นแม้กระทั่งดวงจันทร์ของใต้หล้าไพศาลสักแวบ จะบอกว่าเจ้าอารามดอกบัวมีปณิธานยิ่งใหญ่แต่ขาดความสามารถก็ไม่ได้ แต่เป็นเพราะการออกกระบี่ของต่งซานเกิงเผด็จการเกินไปจริงๆ

วีรกรรมของตาเฒ่าต่งไม่เพียงแต่สังหารปีศาจใหญ่บนบัลลังก์อย่างเจ้าอารามดอกบัวไปคนหนึ่งเท่านั้น ยังทำลายโชคชะตาฟ้าอำนวยส่วนหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปอย่างสิ้นเชิงด้วย

ก็เหมือนกับการนำเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งมาทำเป็นเงินเกล็ดหิมะหนึ่งกอง ต่อให้เงินเกล็ดหิมะจะยังคงหล่นลงในกระเป๋าเงินของภูเขาทัวเยว่ทั้งหมด ทว่าความต่างของราคาค่าเงินนี้ก็คือความเสียหายอย่างจริงแท้แน่นอนของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

หากภูเขาทัวเยว่อยากจะสร้างพระจันทร์ดวงใหม่ที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาแขวนไว้บนม่านฟ้าอีกครั้ง นั่นก็คือการเผาผลาญเงินอีกก้อนโต

แม้ว่าหลงจวินจะให้แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายพลิ้วกายลงบนหัวกำแพงฝั่งตรงข้าม แต่กลับคอยจับตามองความเคลื่อนไหวทางฝั่งนั้นอยู่ตลอดเวลา หากเซอเยว่ผู้นั้นมีการกระทำที่เป็นการล้ำเส้นแม้สักนิดก็อย่าโทษหากเขาออกกระบี่ไม่ไว้ไมตรี

หนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้าถูกกำหนดมาแล้วว่ามหามรรคาจะต้องสูงส่งยาวไกล แน่นอนว่าทุกคนล้วนไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ทว่าอยู่ในสายตาของเซียนกระบี่บรรพกาลอย่างหลงจวิน กลับมองเด็กรุ่นหลังคนหนุ่มสาวที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาเหล่านี้ไม่ต่างจากมองตัวเองในอดีต แค่นี้เท่านั้น

เมื่อเทียบกับหลีเจินที่จิตใจไม่อยู่กับการหลอมกระบี่ มักจะชอบทำตัวเกียจคร้านแล้ว เซอเยว่ขอบเขตมากพอ อีกทั้งยังมีวิชาอภินิหารที่เป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นจึงสามารถทำลายตราผนึกหนาชั้น เห็นเป็นเหมือนสถานที่ไร้ผู้คน เข้าไปพบกับอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นได้

คนหนึ่งเพิ่งจากบ้านเกิดของอีกฝ่ายกลับมายังมาตุภูมิของตัวเอง ส่วนอีกคนหนึ่งกลับชอบเป็นหมาเฝ้าบ้านให้คนอื่น

ชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่บ้านเกิดต่างกัน อายุไล่เลี่ยกัน บังเอิญอยู่ในอันดับสิบเอ็ดคนรุ่นเยาว์เหมือนกัน

หลีเจินถาม “กำลังคุยเล่นกันหรือกำลังต่อสู้กัน?”

หลงจวินเอ่ย “ชายหนุ่มหญิงสาวอยู่กันตามลำพัง ฟืนแห้งไฟลุกแรง เจ้าเชื่อหรือไม่เล่า?”

หลีเจินหัวเราะหน้าเป็น “รีบคลายตราผนึกเร็วเข้า ขอให้ข้าได้ดูหน่อย ต้องเห็นกับตาถึงจะยอมเชื่อ ดูสิว่าพวกเขาสองคนเป็นสายฟ้าสวรรค์เชื่อมสานกับเพลิงปฐพีจริงหรือไม่ ถึงเวลานั้นข้าจะวาดภาพเทพเซียนสักภาพแล้วหาคนส่งไปให้หนิงเหยา ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันอาจไม่โดนหลิวชาฟันตายก็ต้องถูกหนิงเหยาฟันตายก่อนแล้ว แบบนี้จะไม่ยิ่งดีเยี่ยมหรอกหรือ หนิงเหยาออกกระบี่ฟันเขา ใต้เท้าอิ่นกวานย่อมไม่กล้าแม้กระทั่งปล่อยผายลมอย่างแน่นอน ได้แต่ยืดคอออกไปยาวๆ ก็มีข้อนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานนี่แหละที่ทำให้ข้านับถือที่สุด”

หลงจวินชำเลืองตามอง ‘กวนจ้าว’ ที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเขาตรงหน้านี้แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ครั้งนี้เจ้าและข้าได้กลับมาพบกันอีกครั้ง มีเพียงข้อเดียวที่ข้ายอมรับว่าเจ้าพูดถูก นั่นก็คือเจ้าน่าสงสารยิ่งกว่าเฉินผิงอัน เจ้าไม่ใช่กวนจ้าวผู้นั้นอีกแล้ว ส่วนเฉินผิงอันที่เป็นหมาเฝ้าบ้านอยู่ที่นี่จะดีจะชั่วก็ไม่มีใครรู้สึกว่าน่าหัวเราะเยาะสักเท่าไร ไม่แน่ว่าแม้แต่พวกเฝ่ยหราน มู่จีอาจจะยังรู้สึกนับถือเขาอยู่หลายส่วนด้วยซ้ำ”

หลงจวินแหงนหน้ามองฟ้า

ในอดีตสามคนสามกระบี่ร่วมกันฝึกตนเดินขึ้นเขา ร่วมกันถามกระบี่แก่ผืนฟ้า

สุดท้ายเส้นทางบนมหามรรคาก็แยกย้ายกันไปที่ภูเขาสูงของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น

เขาหลงจวิน อันที่จริงไม่ได้ตายที่ภูเขาทัวเยว่ แต่ใจตายด้านไปในนาทีที่เฉินชิงตูบอกว่าจะไปเยือนภูเขาทัวเยว่สักรอบแล้ว

การที่ยังยินดีพกกระบี่ไปเยือนภูเขาทัวเยว่ก็แค่ต้องการมอบคำอธิบายให้กับคนบนเส้นทางเดียวกันทุกคนที่ต้องตกต่ำกลายมาเป็นนักโทษอาญาเท่านั้น

ในศึกบนภูเขาทัวเยว่นั้น เฉินชิงตูตายไปครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็ตายอยู่ที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง

แล้วกวนจ้าวผู้นี้ล่ะ? เขาเองก็ตายอยู่บนภูเขาทัวเยว่ครั้งหนึ่งเหมือนกัน จากนั้นก็พ่ายแพ้ให้กับเฉินผิงอันที่นอกหัวกำแพงเมืองหนึ่งครั้ง จิตแห่งมรรคาบนร่างของหลีเจิน มาดองอาจเสี้ยวสุดท้ายของกวนจ้าวที่ยังพอจะมองเห็นได้รำไร คาดว่าคงตายไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ตอนนั้นแล้วจริงๆ

หลงจวินแทบไม่เคยถามเรื่องเดิมซ้ำสองครั้ง แต่วันนี้ผู้เฒ่ากลับแหกกฎให้เซอเยว่ก่อน จากนั้นก็แหกกฎให้กับหลีเจินอีกคน “ศึกครั้งสุดท้ายกับเฉินผิงอัน อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินเล่มนั้น เจ้ามองเห็นอะไรกันแน่?”

หลีเจินยิ้มกล่าว “คนหนึ่งไม่ใช่กวนจ้าว คนหนึ่งไม่เหมือนหลงจวิน เจ้ายังมีหน้ามาสงสารข้า”

หลงจวินจึงเปลี่ยนคำถาม “ท่านผู้นั้นของภูเขาทัวเยว่ก็มองเห็นผลลัพธ์แบบเดียวกับเจ้าหรือ?”

หลีเจินครุ่นคิด “ไม่รู้ว่าอาจารย์ของข้ารู้หรือไม่รู้กันแน่ เพราะตัวข้าเองก็ไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเหมือนกัน”

หลงจวินไม่เอ่ยอะไรอีก

หลีเจินผู้นี้สมควรตายจริงๆ

ในอนาคตก็ถือเสียว่าตนช่วยมาส่งกวนจ้าวเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน

ไม่รู้ว่าหลีเจินไม่ทราบถึงความคิดของหลงจวินอย่างสิ้นเชิง หรือว่ารู้แล้วแต่ไม่คิดจะทำอะไรกันแน่ จึงเพียงแค่เซ้าซี้ถามว่า “ผู้อาวุโสหลงจวิน ขอท่านเปิดตราผนึกออกทีเถอะ เรื่องอย่างการฝึกกระบี่นี้น่าเบื่อเกินไปแล้วจริงๆ”

คิดไม่ถึงว่าหลงจวินจะคลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำของกระโจมเจี่ยจื่อออกจริงๆ

หลีเจินร้องโอ้โหหนึ่งทีแล้วจุ๊ปากกล่าว “ป๋ายอวี้จิงเชียวนะ เหมือนมากจริงๆ ใต้เท้าอิ่นกวานดูเหมือนจะเกลียดแค้นใต้หล้ามืดสลัวอยู่มากนะนี่ วิชาอภินิหารของเวทคาถาขอบเขตหยกดิบช่างร้ายกาจจริงๆ ไม่ควรไปหาเรื่อง ไม่ควรไปหาเรื่อง”

“ดูสินั่น ใต้เท้าอิ่นกวานเริ่มล่อลวงใจคนอีกแล้ว โชคดีที่เป็นพี่หญิงเซอเยว่ที่ไม่คิดอะไรมาก หากเปลี่ยนเป็นพี่หญิงหลิวป๋ายต้องหลงกลวิธีการอำมหิตของเขาแน่แล้ว”

“หลงจวิน ท่านผู้อาวุโสมีความรู้กว้างขวาง รู้หรือไม่ว่าร่างจริงของเซอเยว่อยู่ที่ไหน? จมูกหมาของใต้เท้าอิ่นกวานดมเจอหรือไม่?”

หลงจวินฟังหลีเจินพูดพล่ามแล้วก็อดนึกไปถึงเรื่องในอดีตบางเรื่องที่ไม่อยากจะคิดถึงอย่างห้ามไม่ได้

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินชิงตู ฝูผิง (จอกแหนล่องลอย) ได้ปริแตกอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่นานแล้ว

ดังนั้นคนรุ่นหลังถึงได้มีคำกล่าวที่ว่าลมเกิดจากยอดหญ้า (ชิงผิง) แล้วก็มีคำเอ่ยว่าจอกแหน (ฝูผิง) ล่องลอยกลับมหาสมุทรใหญ่

หลงจวิน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ต้าซวีเซียนจ่ง (ซากปรักหลุมเซียน)

กวนจ้าว กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต กวงอินฉางเหอ (แม่น้ำแห่งกาลเวลา)

นี่จึงเป็นเหตุให้ในปฏิทินเหลืองเก่าแก่เล่มหนึ่งที่กาลเวลายาวนานหนึ่งหมื่นหลายพันปี บนตำราหน้าแรกๆ ของปฏิทินเหลืองบันทึกเอาไว้ว่า ‘ผู้ฝึกกระบี่กวนจ้าว’ บนเส้นทางการฝึกตน มีอุปสรรคมากที่สุด ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคบรรพกาลทั้งหลายมองเป็นปฏิปักษ์มากที่สุด

สหายรักอย่างเฉินชิงตูและหลงจวินช่วยปกป้องมรรคาให้กวนจ้าวยาวนานที่สุด แต่ก็แค่ยาวนานที่สุดเท่านั้น

เพราะผู้ฝึกกระบี่ที่ปกป้องมรรคาให้เขามากที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ที่กลายเป็นคนในอดีตแต่ละคนซึ่งจมหายไปในฝุ่นผงแห่งประวัติศาสตร์ทั้งหลายเหล่านั้น

เคยมีผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ความสำเร็จบนวิถีกระบี่สูงอย่างถึงที่สุด เวทกระบี่สูงส่ง ปณิธานกระบี่โชติช่วง ภาพเหตุการณ์ยามออกกระบี่ยิ่งใหญ่ตระการตา สามารถทำให้หลงจวินที่จิตใจตายด้านไปนานแล้ว ในช่วงเวลาหมื่นปีหลังที่คิดถึงขึ้นมาเป็นบางครั้ง ก็ยังเกิดริ้วคลื่นกระเพื่อมในใจได้ไม่คลาย

คนยุคหลังคงยากที่จะจินตนาการได้ว่า แท้จริงแล้วในช่วงแรกที่เริ่มฝึกกระบี่ ท่ามกลางผู้ฝึกกระบี่กลุ่มใหญ่ที่พากันลุกผงาดแล้วก็เป็นเหมือนดาวตกที่ร่วงดับลงมานั้น คุณสมบัติของเฉินชิงตูไม่ได้ดีที่สุด ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าปกติธรรมดา เพียงแต่โชควาสนาของเฉินชิงตูไม่เลว สุดท้ายเฉินชิงตูก็คว้าโอกาสเอาไว้ได้ ทั้งยังคว้าไว้ได้อย่างมั่นคง กำโชควาสนานั้นไว้เหมือนมือที่กำกระบี่แน่น

เพียงแต่ว่าด้วยนิสัยดื้อดึงของเฉินชิงตู หมื่นปีมานี้คงไม่ใคร่จะยินดีเปิดเผยเรื่องนี้กับใครอย่างตรงไปตรงมา

ทะเลแปรเปลี่ยนเป็นผืนนา มหาสมุทรกลายเป็นบ้านเรือนเรียงราย ความทรงจำของโลกมนุษย์ล้วนถดถอย

หลีเจินเขย่งปลายเท้าชะเง้อมองสนามรบทางฝั่งนั้น แล้วเอ่ยปลงอนิจจังว่า “สองคนนี้สู้เก่งจริงๆ ไม่ว่าวิธีการแบบไหนล้วนมีหมด ทำเอาข้ามองจนตาลายแล้ว”

เวทคาถาถูกปล่อยออกมาไม่หมดไม่สิ้น วิธีการสารพัดสารพัน สนามรบแต่ละจุดตาต่อตาฟันต่อฟัน

หลีเจินพลันถามว่า “ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะใช้ตบะขอบเขตหยกดิบตั้งแต่แรกแล้ว นี่ไม่เหมือนลักษณะนิสัยของใต้เท้าอิ่นกวานเราเลยนะ การต่อสู้ครั้งนี้ผลลัพธ์คงไม่ใช่ว่าฟ้าร้องดังแต่ฝนตกพรำๆ หรอกกระมัง?”

เสียงฟ้าคำรามดังสนั่นหวั่นไหวอย่างแท้จริง

ตราประทับอาคมห้าอสนีที่ลอยตัวอยู่บนจุดสูงของป๋ายอวี้จิงชิ้นนั้น อักขระดินสิบหกคำ แต่ละคำซุกซ่อนปณิธานที่แท้จริงของมรรคกถาเอาไว้ ในมือของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถือแส้สายฟ้าฟาดโบยลงมายังพื้นดินอย่างเหี้ยมเกรียม

นี่ทำให้จิตวิญญาณของหลีเจินส่ายไหวเล็กน้อย ราวกับว่าผู้ฝึกกระบี่กวนจ้าวในอดีตได้หวนกลับคืนสู่สนามรบยุคบรรพกาลอีกครั้ง

หลีเจินสะบัดศีรษะขับไล่อารมณ์ที่ไร้ความหมายนี้ทิ้งไป

เขากล่าวด้วยสีหน้าเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ไม่ใช่หลิวไฉผู้นั้น ขอแค่เป็นหลิวไฉ มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้น หากบวกกับสมบัติหนักที่ภูเขาทัวเยว่ให้ยืมไปชั่วคราวอีกชิ้นหนึ่ง ต่อให้ใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราจะระมัดระวังมากแค่ไหนก็ยังต้องพ่ายแพ้ราบคาบอยู่ดี”

หลงจวินหัวเราะเยาะเย้ย “ชอบฝากความหวังไว้ที่ผู้อื่น ไม่ใช่กวนจ้าวอะไรแล้ว ทุกวันนี้แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังไม่อยากเป็นด้วยรึ?”

หลีเจินบ่นอย่างไม่พอใจ “หลงจวิน เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ทุกครั้งที่พูดคุยกับข้าล้วนชอบพูดเหน็บแนมอยู่เรื่อย ทำไมเจ้าไม่ไปงัดข้อกับใต้เท้าอิ่นกวานเอาเล่า?”

หลงจวินยังคงจับตามองทิศทางการดำเนินไปของสนามรบแถบนั้น จึงให้คำตอบอย่างไม่ใส่ใจ “พูดสู้เขาไม่ได้ แล้วยังจะต้องหาความอัปยศใส่ตัวไปไย”

หลีเจินเงียบงันมิอาจตอบโต้ได้