บทที่ 715.4 ออกสองกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

หัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้าม เงาร่างของคนทั้งสองพลันหายวับไป

หลีเจินหัวเราะฮ่าๆ “อิ่นกวานตัวดี ในที่สุดก็อดไม่ไหวเรียกท่าไม้ตายออกมาแล้ว พี่หญิงเซอเยว่ประมาทเสียจริง หล่นลงไปในหลุมคิดจะปีนออกมาก็ยากแล้ว”

หลงจวินกล่าว “ตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนั้นเจ้าเป็นคนมอบออกไป”

หลีเจินยิ้มบางๆ “หากพี่หญิงเซอเยว่คิดจะซักไซ้เอาผิดข้า ก็ต้องมีชีวิตเดินออกมาให้ได้เสียก่อน”

หลงจวินเอ่ย “เดิมทีก็เป็นการออกจากบ่อมองฟ้าแล้วค่อยอยู่บนฟ้า แต่นี่กลับคิดอยากจะกลับไปเป็นกบใต้บ่ออยู่เหมือนเดิม กวนจ้าวสมกับเป็นสหายรักของเฉินชิงตูจริงๆ โง่เง่าพอกัน”

หลีเจินพลันหน้าเปลี่ยนสี ไม่เหลืออารมณ์จะต่อปากต่อคำกับหลงจวินแก้เบื่ออีก

หลงจวินก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก่อนหน้าหลีเจิน

หลีเจินพลันถูกปราณกระบี่กระแทกให้หล่นลงบนหัวกำแพงเมืองในชั่วพริบตา

หลีเจินตะลึงลานทำอะไรไม่ถูกก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอาสองมือกุมหัว ปล่อยให้ร่างลอยลิ่วลงสู่พื้น เขาหัวเราะร่าพลางเอ่ยว่า “หลงจวินออกกระบี่ช่วยคน ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ!”

หลงจวินยื่นมือออกไปกำกระบี่ ร่างกายธรรมพลันปรากฏ ฟ้าดินเกิดเหตุการณ์ประหลาด ปราณกระบี่ม้วนตลบ ทะเลเมฆพันลี้ปริแตกย่อยยับ ปราณกระบี่ทั่วร่างของหลงจวินกับปณิธานกระบี่เก่าแก่มากมายเหมือนกำลังประชันขันแข่งกันบนมหามรรคา

หลีเจินไม่เพียงแต่ไม่กล้าปล่อยให้ร่างร่วงลงพื้นอย่างส่งเดชจนหน้าคลุกดิน ยังรีบเรียกสมบัติหนักคุ้มกันกายชิ้นหนึ่งออกมาพยายามต้านทานปณิธานปราณกระบี่ที่ไม่ยอมรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่เหล่านั้นด้วย พวกตัวอ่อนเซียนกระบี่บนภูเขาทัวเยว่ที่ยังเหลืออยู่เนื่องจากคุณสมบัติและโชควาสนาล้วนด้อยกว่าคนอื่นระดับหนึ่งก็ยิ่งยากจะต้านทาน แต่ละคนเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาปกป้องร่างกายตัวเองเอาไว้

หลงจวินใช้กระบี่ฟาดฟันเข้าหาหัวกำแพงเมืองฝั่งตรงข้ามเต็มแรง ไม่คิดจะออมแรงเอาไว้อีกต่อไป

ไม่อย่างนั้นเซอเยว่จะต้องได้รับความเสียหายบนมหามรรคาอย่างใหญ่หลวง อันที่จริงหลงจวินไม่ได้สนใจเรื่องนี้ เพราะนางเป็นคนรนหาที่เอง แต่หลงจวินจะไม่มีทางยอมให้เฉินผิงอันได้ผลประโยชน์บนมหามรรคาไปเด็ดขาด!

ก่อนหน้านี้ยอมปล่อยให้เซอเยว่ไปที่หัวกำแพงเมือง ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันก็ดี ถามมรรคาสังหารกันเองก็ช่าง เดิมทีก็เป็นข้าวหัวขาด (อาหารมื้อสุดท้ายที่นักโทษได้กินก่อนถูกประหาร) มื้อหนึ่งที่หลงจวินทำทานให้แก่สุนัขไร้บ้านตัวหนึ่งเท่านั้น

หลังจากเฉินผิงอันปล่อยกระบี่หนึ่งออกไปในใจ

ดวงจันทร์ในหัวใจก็ปริร้าวแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เรือนกายของเซอเยว่ล่องลอยอยู่ในกรงขังฟ้าดิน แม้ว่าจะไม่ใช่เซอเยว่ทั้งหมด แต่นางก็ยังตกเป็นนกในกรงอยู่ดี

อีกหนึ่งกระบี่

กระบี่ของร่างจริงเฉินผิงอันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องหลังร่วงลงพร้อมกัน

ฟ้าดินร่วมผสานกับหนึ่งกระบี่

ฟันร่างจริงส่วนหนึ่งของเซอเยว่ที่เรือนกายหลอมรวมขึ้นเป็นแสงจันทร์เล็กจ้อยจุดหนึ่งออกก่อน จากนั้นค่อยบดขยี้เป็นผุยผง ขยี้แล้วขยี้อีก

ดวงจันทร์เต็มดวงในฟ้าดินแตกสลายแล้วกลับมาเต็มอีกครั้ง แสงจันทร์ที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งแหลกสลายเป็นเถ้าธุลีครั้งแล้วครั้งเล่า หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงไปคือร่างจริงของเซอเยว่ ยิ่งเป็นมรรคกถาของเซอเยว่

เฉินผิงอันแหงนหน้าขึ้นมองแล้วหลุดหัวเราะพรืด

กระบี่ที่ผู้อาวุโสหลงจวินลงแรงอย่างเต็มกำลัง ดูเหมือนว่าก็ไม่ถือว่าเร็วสักเท่าไรเลยนะ

บนหัวกำแพงเมืองอีกครึ่งหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ฟ้าดินกลับคืนมาสว่างชัดเจนอีกครั้ง

หลงจวินยื่นมือไปคว้าปราณกระบี่วุ่นวายและเศษเสี้ยวแสงจันทร์แล้วจับกุมเอาไว้

แม่นางหน้ากลมที่ใบหน้าซีดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกายหลงจวิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เซอเยว่ขอบคุณผู้อาวุโสหลงจวิน”

หลงจวินมองภาพบรรยากาศบนร่างของเซอเยว่แวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยังดี โชคดีที่ไม่เสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคามากนัก สามารถอาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนนิสัย ตั้งใจฝึกตนได้พอดี ไปมานะฝึกตนอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลสักพักหนึ่งก็น่าจะชดเชยกลับมาได้แล้ว”

เซอเยว่พยักหน้ารับเงียบๆ

เรือนกายสีแดงสดสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม มองมายังเซอเยว่แล้วหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “ไม่ทันระวัง ไม่ได้กะน้ำหนักให้ดี แม่นางเซอเยว่โปรดอภัยให้ด้วย”

ในใจเซอเยว่มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่ถูกนางเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่ได้เปิดปากเอ่ยออกมา มหามรรคาที่ได้รับความเสียหายในเวลานี้ไม่ได้เบาสบายนัก หากไม่เป็นเพราะร่างจริงของนางเปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์ ได้รับเงื่อนไขที่ดีพร้อมอย่างที่หลีเจินกล่าวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวทั่วไปก็คงเจ็บปวดจนลงไปนอนชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นแล้ว ส่วนพวกผู้ฝึกตนทั้งหลายก็ยิ่งหวาดผวาอยู่ในใจไม่คลาย อนาคตบนมหามรรคาเลือนรางลงนับแต่นี้

หลีเจินไปห้อยตัวอยู่บนหัวกำแพงจุดที่ห่างจากหลงจวิน เซอเยว่ไปค่อนข้างไกล เขายื่นหัวมองไปยังฝั่งตรงข้าม เห็นเพียงว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กลางฝ่ามือมีดวงจันทร์ขนาดจิ๋วดวงหนึ่งของฟ้าดินที่กลั่นเอาแก่นที่ยอดเยี่ยมบริสุทธิ์ที่สุดมาไว้

ไม่แน่ว่าเมื่อเทียบกับดวงจันทร์ของเฉินฉุนอันผู้รอบรู้แล้ว ยังพอจะสามารถทัดเทียมในระดับความบริสุทธิ์ด้วยได้

เฉินผิงอันสั่นฝ่ามือน้อยๆ ดวงจันทร์ก็โยกคลอนขึ้นลงตามไปด้วยคล้ายว่ามีภูเขาลูกหนึ่งอยู่บนเส้นลายมือของฝ่ามือ

ใช้สิ่งนี้มาชดเชยความเสียหายจากการที่หนึ่งกระบี่ทำลายดวงจันทร์ในใจให้ปริแตกไป แค่คำว่ามากพอเหลือแหล่จะใช้บรรยายพอได้อย่างไร

เซอเยว่เอ่ย “การต่อสู้ในวันนี้ ย่อมต้องเอาคืนแน่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเวลาว่างก็มาใหม่นะ ยินดีต้อนรับสุดๆ ไปเลย”

เฉินผิงอันขยับสายตามองไปทางหลีเจินที่ทำลับๆ ล่อๆ อยู่ไกลๆ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดูของขวัญมาเยี่ยมเยือนของแม่นางเซอเยว่ แล้วก็ลองหันไปดูความขี้เหนียวของเจ้าสิ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ป่านนี้แม่งคงเอาหัวโหม่งกำแพงให้ตัวเองตายสิ้นเรื่องสิ้นราวไปนานแล้ว”

หลีเจินใช้สองมือยันไว้บนหัวกำแพงเมือง เรือนกายแนบติดกำแพง โผล่ออกมาแต่หัว ทำหน้าตาน่าสงสารไม่พูดไม่จา

ขนาดเซอเยว่ยังมีจุดจบน่าอเนจอนาถเช่นนี้ ตนหลบเลี่ยงใต้เท้าอิ่นกวานไว้หน่อยน่าจะดีกว่า

ต้องรู้ว่าบนบันทึกลับของกระโจมเจี่ยจื่อ เซอเยว่คือผู้ฝึกตน ผู้บรรลุมรรคาที่ต่อให้ต่อสู้ไม่ได้ก็สามารถหนีเอาชีวิตรอดเก่งที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่เซอเยว่ยังได้รับการขนานนามให้เป็นคลังยุทโธปกรณ์ของใต้หล้า วิธีการเวทคาถาของนางมีมากมายหลากหลาย ดังนั้นการต่อสู้ระหว่างคนขอบเขตเดียวกัน นางจึงได้เปรียบอย่างถึงที่สุด

แต่การที่เซอเยว่เสียเปรียบในครั้งนี้ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วยังคงเป็นเพราะนางไม่ควรไม่เอาเรือนกายทั้งหมดมาที่หัวกำแพงเมืองแห่งนี้

หลีเจินถอนหายใจเฮือกใหญ่ การค้าในวันนี้ของใต้เท้าอิ่นกวานไม่ขาดทุนอีกแล้ว ซ้ำยังได้กำไรก้อนใหญ่ ไม่เข้าท่าเลย ช่างทำให้คนเสียใจยิ่งนัก

หลงจวินเปิดตราผนึกใหม่อีกครั้ง เฉินผิงอันยังคงเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ พยักหน้ารับเบาๆ สายตามองขึ้นสูงเล็กน้อย จ้องเซอเยว่เขม็งพลางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แม่นางเซอเยว่ โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่งไกลๆ”

เฉินผิงอันเองก็มีเรื่องประหลาดใจที่ไม่เล็กไม่ใหญ่อยู่อย่างหนึ่งเช่นกัน แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายคนนี้ไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วเหตุใดถึงได้เกียจคร้านเช่นนั้น ไม่ฆ่าคนบ้างเลยหรือ?

หลีเจินกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง น่าเสียดายที่เซอเยว่กลายร่างเป็นแสงจันทร์พุ่งห่างไปไกลในชั่วพริบตาแล้ว พอไปถึงประตูใหญ่ของที่ตั้งภูเขาห้อยหัวเก่าก็ออกเดินทางไกลพันหมื่นลี้ สุดท้ายไปผสานรวมกับร่างจริงที่เหลืออีกเกินครึ่งซึ่งอยู่ในใบถงทวีป

ทุกวันนี้ใต้หล้าไพศาลและใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปที่มหามรรคาค่อยๆ ผสมผสานกัน ฟ้าอำนวยจึงเริ่มค่อยๆ เอนเอียงไปทางหนึ่ง

ไม่ได้มีภาพบรรยากาศที่หนึ่งประตูกางกั้นกลางวันกลางคืนมีความแตกต่างอีกแล้ว

ในใจเซอเยว่มีปริศนาข้อหนึ่ง เหตุใดกระบี่ที่สองของเฉินผิงอันถึงคล้ายจะไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่

ไม่อย่างนั้นต่อให้หลงจวินออกกระบี่ช่วยเหลือ อย่างน้อยที่สุดเซอเยว่ก็คงต้องทิ้งจิตวิญญาณดวงจันทร์ไว้มากกว่านั้น

เพียงแต่ว่าแม่นางหน้ากลมที่ใจกว้างขวางเป็นปฐพีกลับยังอดเศร้าสลดไม่ได้ จิตวิญญาณดวงจันทร์ครึ่งหนึ่ง อยู่ๆ ก็หายไปทั้งอย่างนี้

บนยอดเขาแห่งหนึ่ง แม่นางหน้ากลมยู่หน้าอย่างแรง จากนั้นก็ค่อยๆ ทรุดตัวนั่งยองลงบนพื้น ตบแก้มตัวเองเบาๆ ปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ไม่ร้องๆ

เฉินผิงอันหมุนตัวเดินจากไป

คิดไม่ถึงว่าหลงจวินจะปล่อยอีกกระบี่เข้าใส่

ดูท่าคราวนี้เจ้าหมาแก่หลงจวินคงจะมีไฟโทสะจริงๆ แล้ว

เรือนกายหายไป ก่อนจะไปรวมตัวกันใหม่อีกครั้งเบื้องหน้า เฉินผิงอันแผดเสียงหัวเราะดังก้อง

หัวกำแพงเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้าม หลีเจินแอบเดินมาหยุดอยู่ข้างกายชุดคลุมสีเทาอย่างระมัดระวัง “คราวนี้เซอเยว่กลับบ้านเกิดไม่ได้เอาร่างจริงเดินทางไกลมาที่นี่ทั้งหมด ใต้เท้าอิ่นกวานก็ช่างหักใจลงมืออำมหิตได้ลงคอจริงๆ เดิมพันมากก็ได้มาก นับถือๆ”

หลงจวินไม่คิดจะสนใจหลีเจินแม้แต่น้อย เพียงแค่หัวเราะหยันอย่างเย็นชากับตัวเอง “บังอาจเหยียบย่ำอยู่บนชื่อต้องห้ามนั้นอย่างเปิดเผย ไม่กลัวเจ้าลัทธิสามที่อยู่ในป๋ายอวี้จิงจะสัมผัสได้สักนิดเลยรึ”

ส่วนป๋ายอวี้จิงของจริงที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว นักพรตหนุ่มคนหนึ่งสวมกวานดอกบัวบนศีรษะเดินอยู่บนราวรั้วพลางยกฝ่ามือพิศดูเหตุการณ์ที่อยู่ห่างไกลไปด้วย เขายิ้มเอ่ยว่า “อักษรดี อักษรดี ชื่อดี ชื่อดี”

เฉินผิงอันนั่งลงตรงจุดหนึ่งของหัวกำแพงเมือง สองเท้าลอยอยู่กลางอากาศ แกว่งเท้าทั้งสองเบาๆ

มือข้างหนึ่งถือประคองจันทร์กลมโตดวงเล็กที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด มืออีกข้างหนึ่งหมุนควงกริชเฉาจื่อที่คนรุ่นหลังแกะสลักตัวอักษรลงไปอย่างส่งเดช

มีดสั้นที่ได้มาจากภูเขาเกอลู่ คนรุ่นหลังแกะสลักสองคำลงไปว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ สุดท้ายก็ตกมาอยู่ในมือของคนหนุ่มแซ่เฉินนามผิงอัน

เฉินผิงอันมองพระจันทร์ดวงจิ๋วแล้วคลี่ยิ้ม เก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ

วันหน้าจะเอาไปมอบให้กับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน ถือเป็นของขวัญที่นางฝ่าทะลุขอบเขตห้าสู่ขอบเขตหกก็แล้วกัน

หากเลื่อนจากขอบเขตหกฝ่าสู่ขอบเขตเจ็ดได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นลูกศิษย์ก็ทำให้อาจารย์พ่อลำบากใจนิดๆ แล้ว

กริชเฉาจื่อเล่มนั้นพลิกหมุนอยู่ระหว่างปลายนิ้วและหลังมือของเฉินผิงอันรัวเร็วราวกับบิน

เฉินผิงอันหยุดมือกะทันหัน เก็บมีดสั้น สองมือค้ำดันไว้บนหัวกำแพง แหงนหน้าพึมพำกับตัวเอง

โชคดีที่ยังสงบสุข ได้เห็นแสงตะวันอีกครั้ง แต่คนหนุ่มสาวที่เหลือก็บริสุทธิ์ถึงเพียงนั้น กลับเป็นดั่งน้ำค้างรุ่งอรุณ เพียงพริบตาก็สูญสลาย

ในอดีตครั้งที่อาเหลียงหวนจากใต้หล้ามืดสลัวกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งเป็นต่างบ้านต่างเมืองของตัวเองอีกครั้ง

คนทั้งสองดื่มเหล้าร่วมกัน อาเหลียงเคยพูดว่า เฉินผิงอัน อันที่จริงเจ้าช่างน่าสงสารจริงๆ

เจ้าไม่เคยเห็นการถกอภิปรายของสามลัทธิ ซิ่วไฉเฒ่าที่ยังไม่ได้เปิดปากพูดก็เหมือนว่าชนะแล้ว ไม่เคยเห็นเหวินเซิ่งที่เปี่ยมไปด้วยปณิธานอันฮึกเหิม สีหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวากับตาตัวเอง

เจ้าไม่เคยเห็นอาจารย์ที่มีเพียงจอนผมสองข้างที่เป็นสีดอกเลา ทว่าโฉมหน้ากลับไม่ถือว่าแก่ชรา

เจ้าไม่เคยเห็นชุยฉานตอนเป็นหนุ่มที่สวมชุดขาวเหนือหิมะคีบเม็ดหมากสีดำอยู่บนก้อนเมฆหลากสี

เจ้าไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มจั่วโย่วที่พอทำผิดก็ยังคงเชิดหน้าทระนงตนอยู่เสมอ

เจ้าไม่เคยเห็นเสี่ยวฉีตอนอายุยังน้อยที่ตอนอ่านตำรามักจะชอบขมวดคิ้วน้อยๆ

เจ้าไม่เคยเห็นหลิวสือลิ่วที่ยื่นสองมือไปกดศีรษะสองหัวห้ามศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนที่ทะเลาะกันอย่างโมโหโทโส ส่วนตัวเขาเองหัวเราะอย่างเซ่อซ่า จากนั้นพอได้รับสายตาบอกเป็นนัยจากอาจารย์ก็คลายมือใหญ่ออกจากศีรษะหนึ่งเล็กน้อย ให้เสี่ยวฉีศิษย์น้องที่อายุน้อยกว่าสามารถแตะศิษย์พี่จั่วที่ไร้เหตุผลได้เบาๆ หนึ่งที สุดท้ายอาจารย์ก็ทำตัวเป็นคนไกล่เกลี่ยเป็นกาวประสานใจ บอกว่าพอแล้วๆ เสี่ยวฉีจะยกสองแขนกอดอก คิ้วตาบานเป็นกระด้ง ลักษณะเช่นนั้นคล้ายคลึงกับตอนที่อาจารย์ถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างมาก ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ชุยฉานที่เรือนกายสูงเพรียวก็จะวางสองมือไว้บนไหล่ของศิษย์น้องจั่วโย่ว วางปลายคางไว้บนหัวของเด็กหนุ่มที่ยังขุ่นเคือง บอกว่าช่างเถิดๆ เจ้าเป็นศิษย์พี่ก็ยอมๆ ให้ศิษย์น้องหน่อย เสี่ยวฉีที่ได้เปรียบไปแล้วยังไม่ยอมทำตัวดีๆ ยังจะยิ้มเย้ยศิษย์พี่จั่วพลางโคลงศีรษะพูดว่าข้าต้องให้เขายอมให้ด้วยหรือ?! เมื่อจั่วโย่วถลึงตาใส่ ศิษย์น้องเล็กก็จะรีบวิ่งไปหลบหลังศิษย์พี่ตัวใหญ่ยักษ์ทันที แต่พอศิษย์พี่ใหญ่ปล่อยไหล่ของศิษย์พี่จั่ว เสี่ยวฉีรู้สึกว่าท่าไม่ดีจึงรีบไปหลบหลังอาจารย์ทันใด อาจารย์จึงกางแขนสองข้างออกกว้าง ปกป้องเสี่ยวฉีไว้ด้านหลัง ซ้ายหนึ่งก้าว ขวาหนึ่งเท้า ขวางลูกศิษย์คนรองที่ยังคงไม่ยอมเลิกรา เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าจั่วโย่วคนนั้น

ใช่แล้ว

เฉินผิงอันล้วนไม่เคยเห็น

ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มพลางดื่มเหล้า กระดกดื่มเหล้าในถ้วยไปอึกใหญ่ บอกว่าข้าแค่เคยได้ยินท่านเล่า ได้ฟังแล้วก็ทำได้เพียงจินตนาการเอาเท่านั้น แต่ว่าแค่ได้ยินแค่ได้จินตนาการ ข้าก็มีความสุขมากแล้ว

อาเหลียงมองเห็นความเสียใจที่คล้ายจะวิ่งออกมาจากในรอยยิ้มของคนหนุ่ม วิ่งออกมาจากในถ้วยเหล้าที่ว่างเปล่านั้น

ความเสียใจมักจะดื้อรั้นอย่างนี้เสมอ ขนาดสายตายังเก็บซ่อนไม่อยู่ สุราก็รั้งไว้ไม่ไหว

ดังนั้นสุดท้ายอาเหลียงจึงดื่มเหล้าชามสุดท้ายจนหมดตามไป เอ่ยอย่างทั้งปลงอนิจจังทั้งปลอบใจว่า ครั้งนั้นออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เหมือนว่าข้าจะแก่เสียแล้ว จากนั้นก็มีวันหนึ่ง มีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานร่างผอมแห้งผิวดำเกรียมคนหนึ่ง ข้างกายมีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนหนึ่งติดตามมา พากันเดินมาหาข้า

เวลานี้ตอนนี้บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันเองก็อยากเดินกลับไปบ้านเกิด เดินกลับไปพร้อมกับคนมากมาย บนเส้นทางยาวไกลของการกลับบ้านเกิด ต่อให้ตลอดทางจะต้องเจอกับคนแปลกหน้ามากมายแค่ไหน เขาก็จะยังตั้งใจมองให้ถ้วนทั่ว

เฉินผิงอันสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย ยืดเอวขึ้นตั้งตรง สายตามองไปทิศไกลอยู่ตลอดเวลา

กลอนคู่ ตัวอักษรชุนและตัวอักษรฝูของบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงคงได้เปลี่ยนใหม่ทุกปีกระมัง

เป็นนักเดินทางไกลคนหนึ่ง ต่อให้ยากลำบากก็อดทนไว้ไม่คิดถึงบ้าน แน่นอนว่าเป็นเพราะคิดถึงบ้านเกิดมากๆ อย่างไรล่ะ