เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง จึงกุมหมัดคารวะแขกบางคนที่อยู่ห่างไปไกลอย่างนอบน้อม
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่อยู่แล้ว ตนจึงถือว่าเป็นกึ่งแขกกึ่งเจ้าบ้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ แน่นอนว่าต้องช่วยรับรองแขก
เฉินผิงอันมองไป จุดที่สายตามองไปเห็น บนพื้นดินที่กว้างขวางของทางทิศใต้ปรากฏร่างของผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่เหนือการคาดคิดของเขา
เฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายร่ายวิชาอภินิหารอะไร ถึงสามารถมองข้ามพันธนาการขุนเขาสายน้ำที่กระโจมเจี่ยจื่อตั้งใจจัดวางไว้ไปได้โดยตรง ทำเหมือนว่ามันไม่มีอยู่
หากขอบเขตต่างกันมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นต่อให้คิดมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
เขาอิจฉาผู้อาวุโสท่านนั้นที่ควักดวงตาของตัวเองไปไว้ในสองใต้หล้าจากใจจริง ฟ้าดินกว้างใหญ่ คิดจะเดินทางไกล มีที่ใดบ้างที่จะไปเยือนไม่ได้? อยากกลับบ้านเกิด ใครเล่าจะขัดขวางได้? ปิดประตูไม่รับแขก ใครจะกล้ามาที่บ้าน?
ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงสมควรเป็นเช่นนี้จริงๆ
หลงจวินเห็นคนผู้นั้นปรากฏตัวกะทันหันก็รู้สึกเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ อารมณ์หนักอึ้งเคร่งเครียดขึ้นมาอีกหลายส่วน
ชุดคลุมสีเทาพลิ้วกายมาอยู่บนหัวกำแพงทางทิศใต้ ใช้ปราณกระบี่รวมขึ้นเป็นเรือนกายที่พร่าเลือน หลงจวินเองก็ไม่ได้เปิดปากพูด เพียงแค่จ้องข้อยกเว้นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้นเขม็ง
ผู้เฒ่าตาบอดที่นิสัยแปลกประหลาดผู้นี้ หมื่นปีที่ผ่านมานับว่ายังเคารพกฎอยู่บ้าง เพียงแค่เฝ้าอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ของตัวเอง ชอบบงการปีศาจใหญ่และเทพเกราะทองให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่แสนลี้อย่างไร้ความยำเกรง บอกว่าต้องการสร้างม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่สะอาดสะอ้านไม่เกะกะตาขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
หลงจวินยำเกรงคนผู้นี้ก็จริง แต่ไม่ถึงขั้นหวาดกลัว ในความเป็นจริงแล้วหลงจวินกับผู้เฒ่าตาบอดรู้จักกันมานานมากแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดี เคยเป็นสหายที่ความสัมพันธ์ไม่เลวด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็แก่กันมากแล้ว สุดท้ายกลายเป็นว่าไม่อาจกลายเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อะไรกันได้
หลีเจินค่อนข้างรู้กาลเทศะ พอเห็นว่าท่าไม่ดี กังวลว่าหากเทพเซียนตีกันแล้วชาวบ้านจะต้องพลอยเดือดร้อน จึงรีบขี่กระบี่เผ่นหนีไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขามุ่งไปทางทิศเหนือ ถึงขั้นไปหลบอยู่ที่ประตูใหญ่โดยตรง เจอกับชายฉกรรจ์กอดกระบี่ก็เอ่ยชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องตลกขบขับ สุดท้ายถามจางลู่ว่ามีเหล้าหรือไม่
เซียนกระบี่ใหญ่จางลู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินผูกม้าจึงโยนเหล้าหมักตระกูลเซียนของสำนักอวี่หลงกาหนึ่งไปให้หลีเจิน บอกว่าเซียวสวิ้นไหว้วานคนให้นำมาส่งให้ เจ้าดื่มประหยัดๆ หน่อย ทุกวันนี้ตัวข้าเหมือนนกนางแอ่นที่ค่อยๆ คาบดินโคลนมาทำรัง สะสมเหล้าไว้ได้แค่สองร้อยกว่าไหเท่านั้น
หลีเจินรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมประเพณียุคหลังของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนถูกบัณฑิตต่างถิ่นอย่างอาเหลียง อิ่นกวานทำลายจนเละเทะไม่เหลือดีแล้วจริงๆ ทุกวันนี้เวทกระบี่ไม่ได้สูงไปยังไง ทว่าแต่ละคนกลับช่างพูดช่างคุยไม่แพ้กันเลย
หลีเจินดื่มเหล้าอย่างเนิบช้าสบายใจ งอนิ้วเคาะลงบนเสากลมที่มีลักษณะเหมือนหินสำหรับผูกม้าเบาๆ “หน้าประตูหลังประตู มีทั้งหมดสี่เสา ในประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็นผูกมังกร วัว ม้า วัว น่าเสียดายที่เอามาใช้สยบกำราบประตูใหญ่นี้ชั่วคราว ไม่อย่างนั้นเจ้าเฒ่าหยวนโส่วที่จ้องพวกมันตาเป็นมันมาหมื่นปีแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินทางผ่านที่นี่ต้องถูกเขาทำลายจนเละไปชิ้นหนึ่ง จากนั้นค่อยเก็บอีกสามเสาที่เหลือใส่กระเป๋าถึงจะยอมเลิกราอย่างแน่นอน”
จางลู่ยิ้มกล่าว “สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะชู้รักของหย่างจื่อผู้นั้นสู้อาจารย์ของเจ้าไม่ได้”
หยวนโส่วก็คือหนึ่งในปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ ตอนอยู่บนสนามรบมักขี่กระบี่แบกทวนยาว แขนยาวเหมือนวานร ในมือร้อยหินหยาบๆ เอาไว้พวงหนึ่ง ล้วนเป็นขุนเขาใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ดีๆ ก็หายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อันดับแรกก็ถูกปีศาจที่มีนามแฝงว่าหยวนโส่วใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตย้ายเอาไปก่อน จากนั้นค่อยหล่อหลอมให้กลายเป็นกำไลข้อมือหินมุก
ครั้งนี้หยวนโส่วไปเยือนใต้หล้าไพศาล ทั้งอาคเนย์ใบถงทวีปและหรดีฝูเหยาทวีปต่างก็เคยไปเยือนมาแล้ว ทุกที่ที่ผ่าน ขอแค่เป็นภูเขาที่มีศาลบรรพจารย์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ล้วนถูกกระบองเขาตีจนแตกยับ
หลีเจินกระโดดขึ้นไปบนเสาผูกวัวอีกเสาหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ นั่งขัดสมาธิเลียนแบบเซียนกระบี่ใหญ่ ดื่มเหล้าคำเล็กๆ วางแผนคิดว่าควรจะหลอกเอาเหล้ากาที่สองมาจากอีกฝ่ายอย่างไรดี
จางลู่ถาม “ดวงจันทร์ในบ้านพวกเจ้าหายไปอีกดวงหนึ่งแล้ว ก่อนหน้านี้เซอเยว่ไปกลับมารอบหนึ่ง สองครั้งที่ไปและกลับ ลมหายใจแตกต่างกันอยู่บ้าง ทำไม นางต่อสู้กับเฉินผิงอันมาหรือ? ดูท่าแล้วจะบาดเจ็บไม่เบาเลย”
หลีเจินพยักหน้ารับ เอ่ยอย่างเสียดาย “ก็แค่เสียเปรียบนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น พี่หญิงเซอเยว่ร้ายกาจจะตายไป เอาชนะเจ้าคนอันดับที่สิบเอ็ดอันดับล่างสุดยังไม่ง่ายเหมือนกระดิกนิ้วอีกหรือ นางโมโหจริงๆ แล้ว ตีแค่สองสามทีก็ทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานคุกเข่าโขกหัวเรียกนางว่ากูไหน่ไน (พี่สาวน้องสาวของปู่ทวด/คำเรียกสตรีในตระกูลที่ออกเรือนไปแล้ว) ได้แล้ว ชื่อเสียงของวีรบุรุษผู้เก่งกล้าถูกทำลายในวันเดียวแท้ๆ โชคดีที่คนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้มีไม่มาก แค่ข้ากับหลงจวิน และข้าก็เป็นคนประเภทปิดปากสนิท ชอบเก็บคำพูดไว้ให้เน่าอยู่ในท้อง เว้นเสียจาก…มีคนเลี้ยงเหล้าข้า ข้าถึงจะพูดมากสักสองสามคำ”
จางลู่ยิ้มกล่าว “ไม่ควรมอบเหล้าให้เจ้าดื่มเลย”
หลีเจินเอ่ย “ได้ยินเจ้าเล่าว่าเจ้าเป็นคนรู้จักเก่ากับเฉินผิงอันหรือ? แล้วยังเคยเจอกันหลายครั้งด้วย?”
จางลู่ตบเสาผูกมังกรที่อยู่ใต้ก้นตัวเองแปะๆ “คนเฝ้าประตูใหญ่คนหนึ่ง คนต่างถิ่นไปๆ มาๆ ล้วนไม่ต้องพบเจอกับข้าหรอกหรือ?”
ศึกสิบสามในครานั้น จางลู่พ่ายแพ้จึงถูกเนรเทศให้มาเฝ้าประตูใหญ่ที่นี่
หลีเจินเงยหน้ามองท้องฟ้า วางกาเหล้าไว้บนยอดของเสาใต้ฝ่าเท้าเบาๆ พลันใช้เสียงในใจพูดกลั้วหัวเราะว่า “เฝ้าประตูหรือ พี่จางลู่พูดได้ถูกต้อง เพียงแค่ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ดาบแคบพิฆาตเล่มหนึ่ง สุดท้ายตกหล่นอยู่ในบ้านเกิดของเจ้า ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ส่วนเบาะรองนั่งที่มองดูคล้ายนักพรตน้อยทิ้งเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ ทุกวันนั่งอยู่ใกล้กับเสาผูกวัวต้นนี้ฆ่าเวลาไปวันๆ ก็มีวิถีมีหนทางให้สืบสาวตามหาอยู่เช่นกัน”
หลีเจินหันหน้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสาร “ดูเหมือนว่าเจ้ามักจะจิตใจไม่สงบอยู่เช่นนี้เสมอ จุดจบก็เลยไม่ค่อยดีแบบนี้มาตลอด”
จางลู่ถึงกับโยนเหล้าหมักของเกาะหลูฮวาที่ตัวเองเก็บสะสมไว้กาหนึ่งไปให้หลีเจิน
หลีเจินยิ้มอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เดิมนึกว่าวันหน้าจะไม่ได้ดื่มเหล้าเซียนจากเซียนกระบี่ใหญ่จางอีกแล้ว”
จางลู่กล่าว “หลีเจินพูดความจริงสองสามคำ เป็นเรื่องที่หาได้ยากปานใด ตามหลักแล้วก็ควรมีเหล้าดื่ม”
หลีเจินเอากาเหล้าที่มีเหล้าและกาเหล้าที่ว่างเปล่าวางไว้ข้างเท้าฝั่งซ้ายหนึ่งใบฝั่งขวาหนึ่งใบ สีหน้าเศร้าสร้อยอย่างที่หาได้ยาก พึมพำว่า “จำได้ไม่สู้จำไม่ได้ รู้ไม่สู้ไม่รู้”
คนที่มีปัญญามีความรู้ คนที่บรรลุมรรคาอย่างแท้จริง ถึงจะรู้สึกกลัวความแปรปรวนไม่แน่นอนของมหามรรคาจริงๆ
จางลู่ยิ้มกล่าว “ดูท่าเฉินผิงอันเอาชนะเซอเยว่ได้จะทำให้เจ้าอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไรนะ”
หลีเจินแบมือออกมา ยิ้มเอ่ยกับเซียนกระบี่ใหญ่ที่กำลังดื่มเหล้าว่า “วันวานเทพเดินทางมาถึงริมต้นกุ้ย ห้อยเบ็ดตกกวีในโลกมนุษย์ วันนี้แหงนหน้ามองดวงจันทร์ เซียนกระบี่พสุธาร่ำสุรา เข้ากับบรรยากาศจะตายไป ข้าแต่งกลอนหนึ่งบทกับท่านมอบเหล้าหนึ่งกา อย่าให้มือของสหายว่างเปล่าไร้กาเหล้าสิ”
จางลู่โบกมือ “ไสหัวไป”
หลีเจินทอดถอนใจ ได้แต่เปิดเหล้ากานั้น แหงนหน้ากระดกดื่มอย่างสำราญท่ามกลางความเงียบงัน
ไม่รู้ว่าเฒ่าตาบอดผู้นั้นมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่เพราะคิดจะทำอะไรกันแน่
หากเฒ่าตาบอดกับหลงจวินต่อสู้กันอย่างลืมรักตัวกลัวตายขึ้นมา เป็นเหตุให้ท้องน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลง ก็จะยิ่งวุ่นวายซ้ำเติมลงไปบนความวุ่นวายอีกที
หลีเจินหัวเราะ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?
แล้วหลีเจินก็ร้องไห้ เหตุใดถึงต้องมีข้า?
จางลู่ชำเลืองตามองผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม ดูท่าคงไม่ได้เปรียบใดๆ มาจากทางฝั่งของเฉินผิงอันเลย
อิ่นกวานหนุ่มที่ต้องเฝ้าพิทักษ์พื้นที่แห่งหนึ่งมานานเหมือนถูกกักขังไม่ได้สติวิปลาส ทว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ที่มีอิสระเสรีกลับใกล้บ้าเต็มทีแล้ว
เฉินผิงอันไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงของหัวกำแพงเมืองตลอดเวลา เขาเดินออกไปหนึ่งก้าว ร่างร่วงดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างว่องไว หมายจะทิ้งตัวลงพื้นทั้งอย่างนี้ คิดไม่ถึงว่าเท้าทั้งสองยังไม่ทันแตะพื้นก็โดนกระบี่ที่หลงจวินปล่อยออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเข้าเสียก่อน
หมาเฒ่าหลงจวินเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไปแล้ว
เฉินผิงอันได้แต่ขยับจิตเล็กน้อย มาปรากฏตัวอยู่ในขีดอักษรของตัวอักษรใหญ่บนกำแพงที่อยู่ใกล้กับพื้นดินที่สุด
พยายามขยับเข้าใกล้ผู้อาวุโสท่านนั้นให้มากที่สุด
พูดคุยกับผู้อาวุโสคนหนึ่งในจุดที่สูงที่สุด ไม่ให้ความเคารพเกินไปแล้ว
ผู้อาวุโสไม่ถือสา นั่นก็เพราะความใจกว้างของผู้อาวุโส คนรุ่นเยาว์ถือสาหรือไม่ถือสา คือมารยาทที่ได้รับการสั่งสอนมาจากตระกูล
ไม่ใช่ปฏิบัติแค่กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสและเฒ่าตาบอดเท่านั้น ตลอดเวลาที่เฉินผิงอันออกท่องยุทธภพ ข้ามขุนเขาสายน้ำพันหมื่นลี้ก็ล้วนทำเช่นนี้
ข้างเท้าของเฒ่าตาบอดมีหมาแก่ที่ท่าทางไร้ชีวิตชีวาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่ มันกำลังยกขาหน้าข้างหนึ่งตะกุยดินเบาๆ อย่างเบื่อหน่าย
แล้วก็เพราะเฉินผิงอันไม่สามารถฝ่าตราผนึกของกระโจมเจี่ยจื่อออกไปได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องรีบใช้เสียงในใจเอ่ยกับผู้อาวุโสหลงจวินว่ารีบไปพบปะญาติที่นอนหมอบอยู่บนพื้นนั่นเสีย
เฒ่าตาบอดเอ่ยกับหลงจวินก่อนว่า “ไม่ตีกัน ข้าแค่จะมาคุยกับใต้เท้าอิ่นกวานสองสามคำเท่านั้น”
หลงจวินพยักหน้ารับ
แม้ว่าเฒ่าตาบอดจะนิสัยเจ้าอารมณ์ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามักพูดหนึ่งไม่มีสอง เชื่อใจได้
จากนั้นเฒ่าตาบอดก็หันศีรษะเบี่ยงมาทางด้านข้างเล็กน้อย “ภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พูดแบบไหนชินกว่า?”
เฉินผิงอันตอบ “แล้วแต่ท่านผู้อาวุโสเลย”
เฒ่าตาบอดหัวเราะ เฉินชิงตูชอบเด็กรุ่นหลังที่มีนิสัยข้างนอกอ่อนโยนข้างในเคร่งครัด มองดูเหมือนพูดง่ายแบบนี้ที่สุดจริงๆ
เฉินชิงตูไม่ค่อยชอบพูดความในใจกับคนอื่นสักเท่าไร แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเช่นนี้
ก็เหมือนปีนั้นที่อาเหลียงหมอบคลานแอบขึ้นเขาไป พอไปถึงหน้าประตูบ้านตนก็พูดโอ้อวดว่า บุรุษคนหนึ่งที่ชอบดื่มเหล้าเพียงลำพัง จะต้องมีเรื่องราวมากมายอย่างแน่นอน
และแน่นอนว่านอกจากจะคุยโวประจบสอพลอแล้ว อาเหลียงยังบอกอีกว่าไม่ว่าจะแขกหรือเจ้าบ้านก็ล้วนเป็นบุรุษที่มีเรื่องราว ต่างก็คิดอยากจะหลอกถามเรื่องเก่าแก่ในปฏิทินเหลืองบางอย่างไปจากตนกันทั้งนั้น
เฒ่าตาบอดไม่ปล่อยให้เขาสมปรารถนา ถึงขนาดที่ว่าเอาเหลียงพกเหล้ามาเยี่ยมเยือนด้วย เขาก็ยังปล่อยทิ้งให้เสียเปล่า
เฒ่าตาบอดพลันยกเท้าเตะหมาแก่ที่อยู่ข้างกายจนปลิวกระเด็น สบถด่าว่า “ขอบเขตบินทะยานตัวหนึ่ง ไม่มีเงินแล้วยังไม่เคยเห็นเงินมาก่อนด้วยหรือ?! หรือว่าบนพื้นมีขี้ให้กิน ห๊ะ?”
หมาแก่ตัวนั้นเกือบจะขุดเจอสมบัติอาคมที่ระดับขั้นพอใช้ได้ซึ่งถูกทิ้งอยู่ในจุดลึกของซากปรักสนามรบแห่งนี้อยู่แล้วเชียว
หลังจากพลิกตลบอยู่หลายรอบ มันก็ร้องครางหงิงในลำคอ ก่อนจะนอนหมอบนิ่งไม่กระดุกกระดิกอีก
เฉินผิงอันยังคงคลี่ยิ้มเหมือนเดิม ก็จริงนะ ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานผู้ยิ่งใหญ่ มาแย่งสมบัติวิเศษอะไรกับเด็กรุ่นหลังที่เป็นก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่ง ต้องมียางอายเสียบ้าง
หมาแก่ที่เซื่องซึมเผยอเปลือกตาขึ้นชำเลืองมองอิ่นกวานหนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสด ฟังจากเซียนกระบี่ทั้งหลายที่มาเป็นแขกในภูเขาใหญ่พูดกัน คนหนุ่มผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นยอดฝีมือในการเก็บเงิน เฒ่าตาบอดเจ้านี่ตาบอดจริงๆ ไม่ไปด่าคนอื่น ดันมาด่าหมาบ้านตัวเอง
เฒ่าตาบอดใช้ภาษากลางของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถามคนหนุ่ม “เจ้ารู้ที่ซ่อนตัวของเซอเยว่ได้อย่างไร? เซอเยว่เพิ่งปรากฎตัวบนโลกได้ไม่กี่ปี ขนาดทางฝั่งภูเขาทัวเยว่ยังปิดบังไว้เสียมิดชิด คฤหาสน์หลบร้อนก็ไม่มีทางจะมีบันทึกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับนางได้”
“ผู้น้อยเดิมพันกับหนึ่งในหมื่น”
เฉินผิงอันถึงขั้นคร้านจะใช้เสียงในใจ เขาเปิดปากพูดโดยตรงว่า “ข้าเรียกฟ้าดินเล็กใหญ่สามแห่งออกมาแทบจะพร้อมกัน เซอเยว่กลับยังมีสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ ถึงขั้นไม่ได้เลือกใช้จิตวิญญาณดวงจันทร์แห่งชะตาชีวิตของนางมาฝืนฝ่าค่ายกลออกไป แต่เลือกที่จะแลกเปลี่ยนความเสียหายบนมหามรรคากับข้า ดังนั้นนางแทบจะให้คำตอบข้าตรงๆ แล้วว่า นางเองก็กำลังเดิมพัน เดิมพันว่าข้าหาตัวนางไม่เจอ ข้าที่ต้องประคับประคองค่ายกลใหญ่สามแห่งพร้อมๆ กันต้องเผาผลาญปราณวิญญาณไปด้วย แต่นางกลับสามารถนั่งดูดายอยู่เฉยๆ บนดวงจันทร์ในหัวใจได้ แล้วไยจะไม่ยินดีทำเล่า”
เฉินผิงอันกำหมัดเคาะตรงหัวใจเบาๆ ยิ้มกล่าว “ไกลสุดขอบฟ้าใกล้เพียงเบื้องหน้า ใกล้ยิ่งกว่าเบื้องหน้า แน่นอนว่าต้องเป็นจิตใจของผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ทุกคนต่างก็เคยเห็นแสงจันทร์มาก่อน เป็นเหตุให้ในใจทุกคนล้วนมีแสงจันทร์ ต่างกันแค่ว่าบ้างก็แสงจันทร์สว่างไสว บ้างก็หม่นมัวเท่านั้น ต่อให้จะมีเพียงเงาเลือนรางอยู่ในทะเลสาบหัวใจ ก็ล้วนสามารถกลายเป็นที่ซ่อนตัวที่ดีเยี่ยมที่สุดของเซอเยว่ได้ แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นขอบเขตระหว่างเซอเยว่กับคู่ต่อสู้ต้องไม่ต่างกันมากเกินไป ไม่อย่างนั้นก็คือการพาตัวไปติดร่างแห เจอกับผู้เยาว์ เซอเยว่สามารถประมาทเช่นนี้ได้ แต่หากเจอกับผู้อาวุโส นางย่อมไม่กล้าทำเรื่องบุ่มบ่ามเช่นนี้แน่นอน”
เฒ่าหูหนวกพยักหน้าเบาๆ
เทียบกับตอนที่เฉินชิงตูยังเป็นหนุ่มแล้ว ความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบยิ่งกว่า
ตอนนั้นในบรรดาผู้ฝึกกระบี่มากมายของใต้หล้า เป็นกวนจ้าวที่ชอบคิดชอบกังวลมากที่สุด มักจะวางแผนก่อนค่อยลงมือ หลงจวินเอาแต่ร้องจะตีร้องจะต่อย ฉายประกายคมกริบเฉียบแหลม เฉินชิงตูนอกจากออกกระบี่แล้วกลับเป็นคนที่ชอบลืมตามองดูมากที่สุด มองใต้ฟ้ามองบนฟ้า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนต้องเรียนรู้ ส่วนความฉลาดและกลอุบายนั้น ดูเหมือนว่าหากเป็นช่วงอายุเท่ากัน ก็ไม่ได้มีมากเท่าอิ่นกวานหนุ่มตรงหน้านี้จริงๆ
ดังนั้นถึงได้บอกว่าบัณฑิตไม่มีใครดีสักคน
เฒ่าตาบอดถามอีกครั้ง “หากเซอเยว่ยินดีทุ่มจิตวิญญาณดวงจันทร์แห่งชะตาชีวิตหนึ่งถึงสองส่วนทิ้งไป แต่ก็ต้องทำลายกระบี่บินแปลกประหลาดเล่มนั้นของเจ้าให้ได้ จะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ในที่สุดก็ใช้เสียงในใจเอ่ยตอบ “นางไม่มีทางทำได้ ข้าก็แค่ปล่อยนางไปเท่านั้น ข้าจะคลายนกในกรงออก เก็บไว้เพียงดวงจันทร์ใต้บ่อเท่านั้น อย่างมากก็แค่ใช้การแหลกสลายของตราประทับอาคมห้าอสนีชิ้นนี้แลกมาด้วยจิตวิญญาณดวงจันทร์หนึ่งถึงสองส่วนของนาง เอามาช่วยหล่อหลอมกระบี่บินดวงจันทร์ใต้บ่อของข้า แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ สุดท้ายการค้านี้ก็ยังไม่ขาดทุน แล้วยังได้กำไรด้วย”
ใช้แก่นวิญญาณดวงจันทร์บนฟ้าที่บริสุทธิ์มาหล่อหลอมดวงจันทร์ใต้บ่อ ขัดเกลาคมกระบี่ ต่อให้ตอนนี้เฉินผิงอันเพียงแค่คิดก็ยังรู้สึกว่าวันหน้าหากมีโอกาสได้พบเจอกับเซอเยว่อีกครั้ง ทั้งสองฝ่ายยังสามารถลองดูได้
อันที่จริงตอนนั้นจะรั้งตัวเซอเยว่ไว้ได้หรือไม่ เฉินผิงอันไม่ได้มีความดึงดันเท่าใดนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มหามรรคาบางส่วนแสดงตัวออกมายามที่กระบี่บินทำลายดวงจันทร์ เฉินผิงอันยังสามารถอาศัยสิ่งนี้มารับรู้ได้คร่าวๆ ว่าตอนเซอเยว่อยู่ใต้หล้าไพศาล นางแทบจะไม่เคยฆ่าคนเลย เฉินผิงอันจึงไม่มีจิตสังหารที่เข้มข้นเท่าใดนัก
ก่อนหน้านี้เซอเยว่เพิ่งจะขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง เขาก็มองนางเป็นเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเท่านั้น
แน่นอนว่าเฉินผิงอันคิดจะฆ่าให้สะใจตัวเองก็ทำได้ เพราะยังคงอยู่ในสนามรบใหญ่ สิ่งที่เฉินผิงอันกำลังเผชิญก็ยังคงเป็นกองทัพใหญ่เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งแห่ง
ทว่าหากเปลี่ยนมาเป็นการจับคู่เข่นฆ่าอย่างสมชื่อเมื่อไหร่ เฉินผิงอันจะรีบเปลี่ยนความคิดและสภาพจิตใจทันที
นับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเองก็เป็นกังวลว่าเซอเยว่ผู้นั้นจะอับอายจนพานเป็นความโกรธ แล้วกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมร่างจริงทั้งหมดในรูปลักษณ์ของจันทร์เต็มดวง มาต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเขาจนตายตกไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงหยุดมือ เพียงแค่ชิงเอาจิตวิญญาณดวงจันทร์ของนางมาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น