บทที่ 716.2 ไม่ใช่มือกระบี่ ยากจะรู้ใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันคิดมาถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองม่านฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวยังคงโคจรตามปกติ ตรงจุดที่เขามองว่างเปล่าเพราะเดิมทีนั่นถือเป็นสถานที่ฝึกตนของเซอเยว่ นางเด็ดดวงจันทร์ลงมายังโลกมนุษย์ ดวงจันทร์หนึ่งดวงแบ่งเป็นยี่สิบ ข้าได้มาหนึ่ง แค่นี้ก็พอใจมากแล้ว

หากเอาไปวางไว้ในพื้นที่มงคลรากบัวที่เป็นระดับกลางของบ้านเกิด ก็จะมีดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่สว่างไสวอย่างถึงที่สุดลอยอยู่กลางอากาศ ยามถึงช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ พระจันทร์กลมเต็มดวง บุปผาเบ่งบานพระจันทร์กลมโตคนในครอบครัวกลับมาเจอหน้า

วันที่สิบห้าเดือนแปดของทุกปี พระจันทร์กลมโตเหมือนคันฉ่องบานใหญ่ ทุกคนที่อยู่ในใต้หล้าของพื้นที่มงคลจะชมดวงจันทร์เหมือนกำลังส่องกระจก นอกจากตนแล้วยังสามารถมองเห็นคนทุกคนที่อยากเห็น

แน่นอนว่าเขาบอกไว้แล้วว่าจะนำไปมอบเป็นของขวัญให้กับการฝ่าทะลุขอบเขตของลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าหักใจไม่ลงแม้แต่น้อย

บนพื้นดินนอกนคร เฒ่าตาบอดยังคงพยักหน้าเบาๆ

แม้จะบอกว่าอิ่นกวานผู้นี้มีสถานะเป็นบัณฑิตทำให้เขารู้สึกขวางหูขวางตาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่คนหนุ่มผู้หนึ่งที่ฉลาดมากพอ ต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน หากยังสามารถคาดหวังให้วิถีทางโลกดีขึ้นมากอีกหน่อยก็จะยิ่งดีเข้าไปอีก

ในประวัติศาสตร์เคยมีบัณฑิตคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากสำนักประพันธ์ของใต้หล้าไพศาล ตอนแรกก็มาเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วถึงไปเยือนภูเขาใหญ่แสนลี้ ลำดับอาวุโสไม่ต่ำ ตบะพอใช้ได้ พอไปเจอกับเฒ่าตาบอดก็พูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าปัญญาชนอย่างพวกเราจรดพู่กันลงบนกระดาษ เพียงแค่เขียนว่าวิถีทางโลกในความเป็นจริงเป็นอย่างไร แค่ต้องเขียนบอกเล่าเรื่องราวอันน่าสังเวชและผู้คนที่น่าสงสารที่มีอยู่บนโลกลงไปให้หมดเท่านั้น คนอ่านจะรู้สึกอย่างไร เราไม่รับผิดชอบด้วย คนอ่านจะรู้สึกสิ้นหวังแล้วสิ้นหวังอีกจนถึงขั้นด้านชาไปเลยหรือไม่ ก็ยิ่งไม่ไปสน แค่ต้องการให้ทุกคนรู้ว่าโลกนี้มันย่ำแย่และเกินจะอดทนแค่ไหนเท่านั้น…

ผลคือถูกเฒ่าตาบอดที่ฟังจนหงุดหงิดตบเสียร่อแร่ใกล้ตายอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรมที่ไหนทั้งนั้น

ไม่ใช่ว่าเฒ่าตาบอดรำคาญคำพูดประโยคนั้นหรืออะไร มหามรรคามีเป็นพันเป็นหมื่น เชิญเจ้าเดินได้ตามสบาย ไม่ใช่ลูกชายไม่ใช่ลูกศิษย์ เฒ่าตาบอดคร้านจะสนใจ

เพียงแต่ว่ามาที่หน้าประตูบ้านข้ากลางภูเขา ตอนแรกก็ทำลายกฎก่อน แล้วยังจะกล้ามามือเปล่าอีก ย่อมต้องทิ้งอะไรไว้บ้าง

และการที่เขาแค่ร่อแร่ปางตายก็ไม่ใช่เพราะเฒ่าตาบอดออมมืออะไร แต่เป็นเพราะบรรพบุรุษสำนักประพันธ์รีบร้อนรุดมาลงมือช่วยเศษซากจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ของอีกฝ่ายเอาไว้ได้ ครั้นจึงพากลับไปที่ใต้หล้าไพศาล

ด้านข้างยังมีอาเหลียงที่มีความสุขบนความทุกข์คนอื่นทำสีหน้าประมาณว่าข้าไม่ได้ทำอะไรสักอย่างเลยนะ

ภายหลังอาเหลียงจากไปแล้วหวนกลับมา ไม่ดื่มเหล้าแล้วยังพูดจาภาษาคนอย่างที่หาได้ยาก เขาบอกว่าผลงานมีชื่อเสียงที่สืบทอดกันมา ต่อให้เขียนได้ดีแค่ไหนก็ยังไม่ดีพอ ยังคงเป็นคนอ่อนแอคนหนึ่งที่ต้องการดึงให้ผู้อ่านมาแบ่งเบาความทุกข์ทรมานยากจะแบกรับในใจไปจากตน

ต่อให้จะเป็นบทความใต้ปลายพู่กันที่ต่อให้ดีแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดเหมือนกัน กระนั้นก็ยังแบ่งความคิดออกเป็นสองแบบ ต่อให้เขียนบทความที่เยือกเย็นด้วยจิตใจที่เร่าร้อนกระตือรือร้น สุดท้ายทั้งตัวอักษรและความคิดจิตใจก็เยียบเย็นเหมือนกันอยู่ดี

เกลียดแค้นที่ฟ้าดินต้องมีความทุกข์ความเศร้าใหญ่หลวง หรือแค่เกลียดแค้นที่สรรพชีวิตในฟ้าดินไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนกับข้า ต่างกันราวฟ้ากับเหว

บทความเหมือนกัน ตัวอักษรบรรยายถึงความเศร้ารันทดเหมือนกัน แต่กลับมีจิตใจที่ร้อนหนาวต่างกัน คนทั่วไปแค่หยิบมาเปิดอ่านย่อมไม่รับรู้ แต่บัณฑิตที่ต้องการจะฝึกอบรมตน ดูแลบ้านเรือน ปกครองบ้านเมืองให้ดี มีหรือจะไม่รู้

ตอนนั้นเฒ่าตาบอดถามเขาว่าทำไมถึงไม่เขียนเอง

เจ้าชาติสุนัขผู้นั้นเพียงแค่ยืนเอนตัวพิงรั้วไม้ ใช้สองมือปาดลูบเส้นผม บอกว่าข้าเคยเจอกับคนของสำนักประพันธ์ที่ไม่ได้ใช้พู่กันเขียนหนังสือ แต่ใช้ชีวิตคนในโลกมนุษย์มาเป็นบทประพันธ์ที่บทยาวก็ยาวเป็นพันเป็นหมื่นปี บทสั้นก็สั้นหลายสิบปีมานักต่อนักแล้ว

บ้างก็อ่านจนจิตใจดื่มด่ำมัวเมา บ้างก็พบเห็นจนจิตใจแหลกสลาย ทว่าล้วนเป็นบทประพันธ์ที่ดีในใจของข้าอาเหลียงทั้งสิ้น

เฉินผิงอันเห็นว่าผู้อาวุโสเงียบไปนานก็อดไม่ไหวถามว่า “ผู้อาวุโสเดินทางมาครั้งนี้เพราะมีเรื่องจะให้ผู้เยาว์ไปทำหรือ?”

เฒ่าตาบอดเก็บความคิดกลับคืนมา ส่ายหน้า “แค่มาดูเท่านั้น”

หมาแก่ตัวนั้นได้แต่แอบนินทาอยู่ในใจ เฒ่าตาบอดดวงตาทั้งคู่ของเจ้าหายไปแล้ว ยังจะมาดูกับท่านปู่เจ้าสิ

มันเริ่มคิดถึงอาเหลียงชาติสุนัขผู้นั้นขึ้นมาบ้างแล้ว ต้องให้เฒ่าตาบอดเจอกับเจ้านั่นถึงจะเรียกว่าจนปัญญาอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันพลันประสานมือคารวะ

เฒ่าตาบอดยิ้มกล่าว “ทำไม คิดจะยั่วยุให้ข้าช่วยออกแรงหรือ?”

เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นแล้วก็เอ่ยว่า “ผู้เยาว์เพียงแค่ขอบคุณที่แม้ผู้อาวุโสจะรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่กลับเก็บความผิดหวังนี้ไว้ที่ตัวเองคนเดียวมาได้นานหมื่นปี”

คำโบราณกล่าวไว้ว่า ขุนเขาตระหง่านโอฬาร เป็นเพราะฟ้าไม่ราบเรียบ (คำว่าไม่ราบเรียบ ภาษาจีนใช้ 不平 ซึ่งคำนี้ยังสามารถแปลว่าความไม่ยุติธรรมได้ด้วย)

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในใจผู้อาวุโสที่กักขังตัวเองอยู่ในพื้นที่หนึ่งมานานหนึ่งหมื่นปีผู้นี้ยิ่งมีความอยุติธรรมที่ใหญ่ยิ่งกว่า

เฒ่าตาบอดพยักหน้ารับเบาๆ ยกมือที่เหี่ยวแห้งขึ้นเกาข้างแก้ม แล้วคลี่ยิ้มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ดีมาก ข้าเกือบจะอดไม่ไหวซ้อมเจ้าให้ร่อแร่ปางตายเสียแล้ว ฉลาดจริงเสียด้วย เป็นคนที่รู้จักถนอมความโชคดี ไม่อย่างนั้นคาดว่าคงไม่ต้องรอให้หลงจวินและหลิวชามาหาเรื่องเจ้าแล้ว”

เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

ผู้อาวุโสที่สามารถทำให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเองถึงสองครั้งผู้นี้ ไม่เหมือนว่ากำลังล้อเล่นอยู่เลย

ผู้เฒ่าหมุนกายแล้วเดินจากไป

เขาเพียงแค่มาดูที่นี่แล้วก็พูดคุยแค่สองสามประโยคจริงๆ

ส่วนกับหลงจวินนั้น เฒ่าตาบอดไม่มีอะไรให้พูด คิดดูแล้วอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน สหายในอดีต ล้วนแยกย้ายเดินกันไปคนละเส้นทาง

หมาแก่ขอบเขตบินทะยานตัวนั้นวิ่งตุปัดตุเป๋ตามติดไปด้านหลังเฒ่าตาบอด

ร่างของหลงจวินเองก็สลายหายตามไป กลับคืนมาเป็นชุดคลุมสีเทาที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

เฉินผิงอันพลันตะโกนขึ้นว่า “ผู้อาวุโส อาเหลียงเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เฒ่าตาบอดไม่ได้หันกลับมา เพียงเอ่ยว่า “เป็นตะพาบที่แบกภูเขา เจ้าชาติสุนัขมีความสุขนักล่ะ”

เฉินผิงอันทั้งกังวลทั้งวางใจได้ ดูท่าคิดจะให้อาเหลียงมาหาบ่อยๆ ยามที่มีเวลาว่าง ตอนนี้คงไม่ต้องหวังแล้ว

เฉินผิงอันทอดสายตามองไปเป็นครั้งสุดท้าย ตราผนึกขุนเขาสายน้ำเปิดขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าสิ่งที่เขาเห็นในใจคือภูเขาทัวเยว่ลูกนั้นที่คุมเชิงอยู่ตรงข้ามกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ไกลๆ ขุนเขาสายน้ำมีความต่าง คนรู้จักยังสุขสบายดี

อยากดื่มเหล้าอีกแล้ว

เฉินผิงอันแอบเอาเหล้ากาหนึ่งออกมาจากกระบี่บินสืออู่ก่อน แล้วค่อยย้ายไปไว้ในฟ้าดินเล็กจักรวาลชายแขนเสื้ออย่างลับๆ ล่อๆ เพิ่งจะหยิบกาเหล้าออกมาจากชายแขนเสื้อ หมายจะดื่มสักคำ แต่กลับถูกหนึ่งกระบี่ของหลงจวินฟาดกาเหล้าและเหล้าในกาให้แหลกเละไปพร้อมกัน

เฉินผิงอันเคยชินเสียแล้ว ร่างของเขาเปล่งวูบหนึ่งทีก็กลับมาอยู่บนหัวกำแพงเมืองอีกครั้ง ก้าวเดินเลียนแบบลูกศิษย์ของตน ทั้งไหล่และชายแขนเสื้อกว้างล้วนโยกส่ายไปพร้อมกัน พูดเสียงดังว่าเต้าหู้เหม็นอร่อย เพิ่มเนื้อหมาแก่ตุ๋นให้เปื่อยเข้าไปด้วย คาดว่าต้องสุดยอดยิ่งกว่าเดิม

เฉินผิงอันไม่รู้ว่า ฟ้าดินด้านนอกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เขามองไม่เห็น

เฒ่าตาบอดกลับ ‘มองเห็น’ ภาพเหตุการณ์บนหัวกำแพงเมืองอย่างชัดเจน

หมาแก่ตัวนั้นฉวยโอกาสตอนที่เฒ่าตาบอดยังอารมณ์ดีใช้ได้พูดพึมพำขึ้นว่า “ข้าไม่ได้ไปหาเรื่องเขาสักหน่อย เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกก็ติดใจเนื้อบนร่างข้าแล้ว น่าชิงชังนัก น่าชิงชัง”

เฒ่าตาบอดหัวเราะเยาะ “เจ้าคู่ควรให้ไปหาเรื่องอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยหรือ ใครให้ดีสุนัขเจ้ายืมใช้กัน?”

หมาแก่ไม่กล้าเถียง ได้แต่ส่ายหางขอความสงสาร

บนพื้นดินแห่งหนึ่งที่ห่างจากภูเขาทัวเยว่ไปไกลพันลี้ ตอนนั้นเฒ่าตาบอดมาหยุดยืนอยู่ที่นี่แล้วก็ได้วาดเส้นเขตแดนให้มันกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง

วางสุรารสเลิศเอาไว้กาหนึ่ง เฒ่าตาบอดจงใจทิ้งสิ่งนี้ไว้ที่นี่

ปีศาจใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่ไม่กล้าไปขยับกาเหล้านั้น ได้แต่หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้มันตั้งวางอยู่บนพื้นดินอย่างโดดเดี่ยวเช่นนั้น

ต่อให้แน่ใจแล้วว่าเหล้ากานั้นไม่มีความผิดปกติใดๆ เป็นเพียงแค่เหล้าธรรมดากาหนึ่ง แต่กระนั้นก็ยังไม่มีปีศาจใหญ่ตนใดไปขยับเขยื้อนมัน

หมื่นปีที่ผ่านมา ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้แข็งแกร่งคือผู้สูงศักดิ์

เฒ่าตาบอดที่แยกดินแดนไปปกครองเองก็คือหนึ่งในขอบเขตสิบสี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของหลายๆ ใต้หล้า

ใต้หล้าเปลี่ยวร้างในทุกวันนี้ หลังจากที่เซียวสวิ้นไปเยือนเหวลึกบ่อโบราณมาครั้งหนึ่งก็มีบัลลังก์เพิ่มมาอีกหนึ่งแห่ง เพียงแต่ว่านางใช้โชคชะตาผสานมรรคากับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หาได้ใช้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาผสานมรรคากับฟ้าดินไม่

ขอบเขตสิบสี่มหัศจรรย์ลี้ลับจนเกินจะคาดเดาอย่างแท้จริง ทั้งสองฝ่ายต่างกันตรงไหน ล้วนไม่มีใครกล้าถาม

ในความเป็นจริงแล้วสามารถถามอาเหลียงที่อยู่ด้านล่างภูเขาทัวเยว่ได้ เพียงแต่ใครเล่าจะกล้าไปหาเรื่อง ราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ? คิดว่าเขาออกมาจากภูเขาทัวเยว่ไม่ได้จริงๆ หรือไร?

ภูเขาทัวเยว่กับอาเหลียง เป็นทั้งการสยบกำราบ และยิ่งเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองที่สถานการณ์มีความลุ่มลึกลี้ลับอย่างหนึ่ง

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นตัวอาเหลียงเองที่ไม่ยินดีจะเปิดทางเส้นนั้นแล้วมาถามกระบี่กับภูเขาทัวเยว่

ผู้ฝึกตนหญิงปีศาจใหญ่คนหนึ่งที่หากนับกันตามลำดับอาวุโสแล้วก็คือศิษย์พี่หญิงของหลีเจิน ใช้เรือนกายของสาวงามที่รูปโฉมงามพิลาสเดินทางจากใต้หล้าไพศาลมายังพื้นที่ขุ่นมัวว่างเปล่าด้านล่างภูเขาทัวเยว่

นางมองกายธรรมของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่นั่งขัดสมาธิ ใช้ตัวอักษรสีทองมากมายมารองต่างเบาะนั่ง คล้ายคนนอกโลกที่มาอาศัยภูเขาลูกนี้ฝึกตนอยู่ไกลๆ

นางไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงได้เลือกเช่นนี้ อาจารย์โจวมหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้าเคยอธิบายให้นางฟังถึงสัจธรรมที่ว่า ‘ผู้ใดไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงโทษ’

ดังนั้นนางจึงยิ่งไม่เข้าใจที่อาเหลียงทำลายตบะของตัวเองเช่นนี้

ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมมองเห็นผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาทัวเยว่คนนั้นแล้วก็รีบนั่งตัวตรงทันที “พี่หญิงซินจวง เหตุใดถึงยังมีรูปโฉมเดิมเหมือนที่เคยเจอในปีนั้นเลยเล่า?” (ซินจวงแปลว่ารูปโฉมใหม่/แต่งหน้าใหม่ คำว่ารูปโฉมเดิมที่อาเหลียงใช้เป็นการเล่นคำกับชื่อของสตรี)

สตรีปีศาจใหญ่ที่ใช้นามแฝงว่าซินจวงหวนนึกถึงความทรงจำช่วงหนึ่งในอดีตแล้วพลันขมวดคิ้ว “ผายลมเจ้าน่ะสิ!”

คำพูดเหลวไหลของตนไปชนตอเข้าแล้วหรือไง?

อาเหลียงไม่กลัวสถานการณ์เช่นนี้มากที่สุด พูดด้วยสีหน้าแฝงอารมณ์อันลึกซึ้ง “ดูท่าพี่หญิงซินจวงจะยังคงจดจำความทรงจำเมื่อครั้งแรกที่พวกเราพบเจอกันได้อย่างชัดเจน นี่ช่างปลอบประโลมจิตใจข้าได้ดีนัก มีบุรุษดีๆ สักกี่คนที่ควรค่าให้พี่หญิงซินจวงจดจำได้นานเป็นร้อยปี”

ซินจวงหลุดหัวเราะพรืด “หากเจ้าเปลี่ยนทางเลือกใหม่ จะฟันข้าให้ตายด้วยกี่กระบี่ล่ะ?”

อาเหลียงอับอายเล็กน้อย สตรีผู้นี้พูดจาสัปดนเก่งนัก ทำเอาข้าสะอึกพูดไม่ออก

ซินจวงไม่เข้าใจความนัยลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ เพียงแค่คิดไปว่าบุรุษผู้นี้ใจลอยแบ่งจิตไปควบคุมปณิธานกระบี่มาสยบความผิดปกติของพื้นที่ว่างเปล่าใต้ฝ่าเท้าทั้งสองอีกครั้ง

อาเหลียงรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ต้องใช้ท่าไม้ตายซะแล้ว

อุตส่าห์ได้กลับมาพบเจอกันใหม่ ข้ายังคงหล่อเหลาคมคายดังเดิม เวทกระบี่สูงกว่าเดิม คิดดูแล้วพี่สาวท่านนี้ก็น่าจะชินแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เล่นบทบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญสักหน่อยแล้วกัน

อาเหลียงกระแอมหนึ่งทีให้ลำคอชุ่มชื้น

คิดไม่ถึงว่าซินจวงจะพูดกลั้วหัวเราะเสียงเย็นว่า “หุบปากไปเลย”

บุรุษผู้นี้เคยขี่กระบี่ออกเดินทางไกลในใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง เพราะก่อเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน ท่าทางยามขี่กระบี่ของเขาจึงมีปีศาจใหญ่จำนวนไม่น้อยเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน

ด้านหนึ่งก็เอามือสองข้างเท้าเอว ด้านหนึ่งท่องกลอนเสียงดังไปด้วย พูดจาน่าฟังบอกว่าเซียนกระบี่เซียนแห่งบทกวีมีเสน่ห์เหมือนๆ กัน ต้องรู้ว่าด้านหลังของเขายังมีปีศาจใหญ่ที่ไล่ตามมาทุ่มเวทอาคมเข้าใส่ไม่หยุดหมายสังหารเขาด้วย

อาเหลียงถอนหายใจหนึ่งที สาวงามไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ช่างทำลายบรรยากาศ ทำร้ายน้ำใจคนเป็นที่สุด

ซินจวงถาม “เจ้ามีขอบเขตเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก?”

อาเหลียงกล่าว “ข้าสามารถตอบอย่างจริงใจได้ แต่พี่หญิงซินจวงก็ต้องฟังคำพูดประโยคหนึ่งของข้าเสียก่อน”

ซินจวงพยักหน้ารับ

แล้วก็จริงดังคาด ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือการคาดการณ์แม้แต่น้อย

เห็นเพียงว่าบุรุษผู้นั้นใช้มือตบเข่า ยิ้มบางๆ พลางท่องบทกวี

รอยยิ้มไม่มาก แต่เสียงกลับไม่เบา “นี่คือสามบทเพลงใหม่ที่ข้าอาเหลียงแต่งขึ้นเอง”

หนทางยากลำบาก อยากร่ำสุรา เขียนบทกวีถึงภูผาเทียนเหล่ายามท่องนิทราทิ้งแก่สหาย

ลำนำผีผา บทเพลงโศกนิรันดร์ บทอำลาทุ่งหญ้าโบราณ

เวทนาลูกหลานผู้สูงศักดิ์ อำลาไร้บ้าน ภาพวาดมอบให้แด่แม่ทัพเฉา (ทุกวรรคข้างตนล้วนเป็นชื่อบทกลอนที่มีชื่อเสียงของจีน ในแต่ละบทมีเนื้อหาแตกต่างกันไป)

“หากไม่เป็นเพราะปัญหาเรื่องความคล้องจอง ไม่อย่างนั้นอันที่จริงหากเปลี่ยนเป็น ภูเขาหนีกง บันทึกฟู่ซิน ร้อยห้าทิวาราตรีจันทร์เต็มดวง ก็ไม่เลวเหมือนกัน”

“ชำระม้าศึก มอบบุปผา เดินเล่นริมนทีหาวลีเลิศล้ำ อืม หากเปลี่ยนเป็นสามสายน้ำพิศน้ำขึ้นสิบท่วงทำนอง ดูเหมือนว่าจะดีกว่าหน่อย”

“เจ้าตัวดี ความคิดพรั่งพรูดุจน้ำพุเช่นนี้ เหมือนล้อรถแล่นหมุนที่รั้งอย่างไรก็รั้งไม่อยู่เลยนะ ร้ายกาจๆ”

ซินจวงถาม “พูดจาส่งเดชเสร็จหรือยัง?”

สุดท้ายอาเหลียงพยักหน้ารับ สีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง สองมือกำเป็นหมัดวางไว้บนหัวเข่า พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ ‘เจี่ยอี้ร่ำไห้โศกสุดแสน คนเหงาคนอื่นร้องไม่ออก’ ช่างกล่าวได้ดี ‘เมามายตกหลังม้าอย่าได้ขบขัน ขอเชิญทุกท่านพกสุรามาร่วมดู’ ก็กล่าวได้ดีจริงๆ”

ซินจวงรอฟังคำตอบนั้นเงียบๆ

เหตุใดเจ้าอาเหลียงถึงได้ไม่เห็นค่าขอบเขตสิบสี่ของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเช่นนี้

‘เพราะข้าทะนุถนอมเห็นค่าขอบเขตสิบสี่ที่ได้มาไม่ง่ายนี้อย่างมาก’

อาเหลียงกลับไม่ได้ทำเล่นแง่ เขายิ้มเอ่ยว่า “น่าเสียดายหญิงซินจวงนัก อายุไม่น้อยแล้ว แต่กลับออกเดินทางน้อยเกินไป จึงไม่เข้าใจ เพราะถึงอย่างไรหากไม่ใช่มือกระบี่ก็ยากจะรู้ใจ”

ซินจวงเงียบงัน

มือกระบี่ก็ดี ผู้ฝึกกระบี่ก็ช่าง ใต้หล้าแห่งหนึ่งล้วนให้การยอมรับ

มีเพียงบุรุษคนนี้ที่พยายาม ‘แสร้ง’ ทำตัวสุภาพมีอารยธรรมมากเกินไปที่ทำให้คนอิดหนาระอาใจยิ่งนัก มักรู้สึกว่าไยต้องทำเช่นนี้ เจ้าก็เป็นเซียนกระบี่ของเจ้าไปสิ

ซินจวงเคยถามอาจารย์โจวว่า หากคนส่วนใหญ่ของใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแบบอาเหลียง อาจารย์จะเลือกอย่างไร

อาจารย์โจวยิ้มกล่าว ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงไม่มาบ้านเกิดของพวกเจ้าแล้ว ส่วนการที่อาเหลียงคืออาเหลียง นั่นก็เพราะอาเหลียงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

เล่าลือกันว่าการที่อาเหลียงพกกระบี่มาเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไร้ความยำเกรงอยู่หลายครั้ง แท้จริงแล้วก็เพื่อตามหาโจวมี่ ‘เจี่ยเซิง’ ที่ในอดีตไม่อาจทำตามปณิธานได้ในใต้หล้าไพศาล จึงได้แต่ร้องไห้กับเทพและผีผู้นั้น

เพียงแต่ว่าโจวมี่ไม่เคยยอมออกมาพบเขา

อาเหลียงพลันลุกขึ้นยืน สีหน้าเอาจริงเอาจัง ท่องถ้อยคำในตำราที่เคยอ่านตอนเป็นเด็กหนุ่มทั้งยังเข้าใจความนัยอันเป็นจิตวิญญาณของมันมานานแล้วด้วยเสียงทุ้มหนักกังวาน

‘สายตามองไกลหมื่นลี้ จิตใจท่องพื้นที่รกร้าง จิตวิญญาณแหวกดิน ฟ้าเปี่ยมพลานุภาพ’

‘เมฆคล้อยมังกรผงาด วสันต์ฤดูบุปผชาติพฤกษ์ชาติเบ่งบาน โชควาสนาอยู่ที่ข้า ทั้งใจทั้งมือ’

คำพูดของอาเหลียงกลายเป็นตัวอักษรสีทองที่แต่ละตัวใหญ่เท่าขุนเขา กระแทกเข้าใส่เหวลึกด้านล่างเบาะรองนั่งสีทอง

เจียวหลงสีทองที่จำแลงมาจากตัวอักษรผลุบเข้าผลุบออกอยู่ในเมฆขาวท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้าและสายลมฤดูใบไม้ผลิ สยบข่มปราณดุร้ายที่พวยพุ่งเทียมฟ้าขุมนั้นลงไป

อริยะลัทธิขงจื๊อ ปราณเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ไพศาล ปากอมบัญชาสวรรค์ คำพูดออกจากปากเวทคาถาตามติด

จุดที่ห่างไปไกลและลึกมากในใต้ดิน เกิดความเคลื่อนไหวสะเทือนเลือนลั่น ทว่ากลับเหมือนถูกขวางทางไว้จึงได้แต่ถอยร่นกลับไปชั่วคราว เพียงแต่ว่าพลานุภาพที่ยังเหลืออยู่ก็ยังคงส่งมาถึงตรงเบาะรองนั่งสีทอง

ทำให้ซินจวงรู้สึกอกสั่นขวัญผวา

บุรุษใช้สองมือปาดเสยเส้นผม ยิ้มถามปีศาจใหญ่หญิงของภูเขาทัวเยว่ว่า “บัณฑิต ดุดันห้าวหาญหรือไม่?!”